จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 47 วันพรุ่งข้ามาได้อีกหรือไม่
“แน่นอนเลยทีเดียวว่า ดอกหยุนหลินนั้นเป็นยาที่มีสรรพคุณในการช่วยดับร้อนและขับพิษ กลีบดอกที่ยังสดๆ นั้นทำไปปรุงยาจะออกฤทธิ์ดีที่สุด ทว่าดอกไม้ชนิดนี้ราคาสูงอย่างมาก และยังเหี่ยวเฉาได้ง่ายด้วย คนทั่วไปจะคิดว่าดอกที่เหี่ยวเฉาแล้วจะใช้การมิได้ แต่ก้านรากของมันสามารถนำไปบดเป็นผงเพื่อทำเป็นแผ่นแปะใบหน้าหรือไม่ก็ยาขี้ผึ้งได้ และก็มีสรรพคุณที่มิเลวเลยทีเดียว” หยุนถิงรีบหยิบขึ้นมา
“หากเจ้าอยากได้ ที่นั่นยังมีอีกกี่ดอก?” จวินหย่วนกล่าวอย่างอดทนมิได้เมื่อเห็นนางมีท่าทีโลภมากเยี่ยงนั้น
“มิต้องหรอก ข้ายกให้ซื่อจื่อของเจ้าใช้ ดอกเหล่านี้ที่ถูกเด็ดออกมิใช่แล้วนั้นก็เพียงพอสำหรับใช้ทำสิ่งของได้มากมายแล้ว” หยุนถิงกล่าวพลางจึงหยิบและเก็บอาหารซึ่งทานแล้วกว่าครึ่งทั้งหมดที่ถูกโยนลงบนโต๊ะและบนพื้นขึ้นมาราวกับเป็นของล้ำค่า
จวินหย่วนโยวเองก็มิอยากจะกล่าวอันใดไปมากกว่านี้อีก นางยิ้มพลางมองไปยังคนโลภมากผู้นั้นด้วยสีหน้าจนปัญญา
“ซื่อจื่อเจ้าไปนั่งพักผ่อนตรงนั้นก่อนเถิด ข้าจะเก็บกวาดบริเวณนี้เสียหน่อย” หยุนถิงเสนอ
“ได้”
ดังนั้นระหว่างหยุนถิงจัดการเก็บกวาดอยู่นั้นก็ถือโอกาสนำเครื่องปรุงยาล้ำค่าหายากเหล่านั้นเข้ามาในมิติ มิติของนางมิใช่เพียงแค่สามารถเก็บวางของได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเลียนแบบ ซึ่งเป็นมิติสร้างเลียนแบบที่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นหยุนถิงจึงสร้างเลียนแบบเครื่องปรุงยาขึ้น และหยิบออกมาทันทีอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้ก็คงจะร่ำรวยเป็นแน่แล้ว
เพียงแต่สิ่งของช่างมากเกินไปเแล้ว หยุนถิงมิอาจสร้างเลียนแบบทั้งหมดได้ในเพียงแค่เวลาชั่วครู่เดียว ดังนั้นนางจึงมองไปยังจวินหย่วนโยว “ซื่อจื่อ แล้ววันพรุ่งข้าสามารถมาได้อีกหรือไม่?”
“ได้สิ แต่มีเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ท่านลั่วก็จะกลับมาแล้ว นิสัยใจคอของเขาผู้นี้ช่างแปลกประหลาดมาก มิเคยชอบให้ผู้ใดมารบกวน แต่ถ้าหากเจ้าอยากมาละก็ข้าจะไปเอ่ยกับเขาให้” จวินหย่วนโยวตอบกลับ
ความจริงแล้วเขาเองก็มิมีอะไรอยู่ในใจเพียงแต่ท่านลั่ว นั้นมีนิสัยรักสันโดษ มิค่อยลงรอยกับใคร บางครั้งเขาก็มิไว้หน้าข้าด้วยซ้ำ จวินหย่วนโยวมิอยากทำให้ หยุนถิง
“ครึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว ซื่อจื่อมิต้องไปเอ่ยกับเขาแล้วล่ะ โดยปกติหมอเทวดาที่มีความเก่งกาจมักจะมีนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้แหละ ลูกศิษย์ที่ได้รับการฝึกอย่างดีจนเก่งว่าอาจารย์ก็มีถมไป อีกอย่างถ้าหากจะพูดถึงการขับพิษของเขาให้กับเจ้านั้น ยังมิแน่ว่าความเชี่ยวชาญในการขับพิษรักษาระหว่างข้ากับเขานั้นใครเก่งใครด้อยกว่ากันแน่ ” หยุนถิงกล่าวอย่างพอใจ
นางเก็บกวาดดอกไม้เหล่านั้นที่ถูกเด็ดออกมิได้ใช้แล้วทั้งหมดมา แล้วยังหยิบเครื่องปรุงยาทั่วไปเพิ่มอีกสองสามชนิดด้วย หลังจากนั้นจึงเดินออกมาจากป่าไผ่
หยุนถิงกำลังสำราญอยู่ในห้องกับการเคลื่อนย้ายยาสมุนไพรเหล่านั้น
““พ่อบ้านบอกว่าชานมขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก และของทั้งหมดในวันนี้ก็ขายหมดแล้ว หรือควรจะนำโคนมมาเลี้ยงดีหรือไม่?” จวินหย่วนโยวถาม
“ต้องการแน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ต่อไปข้าวางแผนที่จะเปิดร้านชานมค้าปลีกแบบลูกโซ่เพิ่มอีกหนึ่งร้าน ถึงเวลานั้นคงจะต้องการโคนมเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน เรื่องนี้คงจะต้องรบกวนให้ซื่อจื่อช่วยกระมัง ”หยุนถิงมองมา
“ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปซื้อ”
“ซื่อจื่อ โคนมทั่วสี่แคว้นมีเท่าใดก็นำเข้ามาทั้งหมดเท่านั้น และจะต้องเลือกแต่เฉพาะชั้นดีที่สุด อีกอย่างคือก่อนที่จะทำการซื้อต้องลงนามข้อตกลงกับพวกเขาก่อน ว่าต่อไปถ้ามีโคนมชั้นดีก็จะต้องจัดส่งมาให้พวกเรา ถ้าหากทำผิดตามข้อตกลงก็จะต้องชดใช้เงินจำนวนมากให้” หยุนถิงกล่าวเตือน
จวินหย่วนโยวคาดมิถึงว่ายัยเด็กน้อยผู้นี้จะคิดรอบคอบได้ถึงเพียงนี้ พลางกล่าวชื่นชม “ได้ ข้าจะให้พ่อบ้านไปจัดการทำข้อตกลง ส่วนร้านชานมที่เจ้ากล่าวถึงนั้นคืออันใด?”
“ก็คือการนำชานมทำเป็นอาหารจานด่วน เช่นขนมกุ้ยฮวา หรือขนมฝูหรง ที่ทุกคนสามารถซื้อได้และก็สะดวกมากด้วย เพราะมีเพียงแค่คนที่ไปรับประทานอาหารเท่านั้นถึงจะซื้อสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในโรงเตี๊ยม แต่ประชาชนทั่วไปอีกจำนวนมากมิมีกำลังซื้อที่เพียงพอ ดังนั้นจึงมิควรกำหนดราคาของชานมไว้สูงนัก เพื่อให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่มคนและรับประกันว่าแต่ละคนจะสามารถจับต้องได้ แต่จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าจะต้องมีนมสดมากเพียงพอ และตอนนี้ก็ยังมีโคนมอยู่มิมากอีกด้วย ดังนั้นช่วงนี้ควรส่งให้กับโรงเตี๊ยมก่อนเถอะ” หยุนถิงอธิบาย
“เจ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เยี่ยงไร?” จวินหย่วนโยวกล่าวความสงสัยภายในใจออกมา
เรื่องธุรกิจการค้าเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาเองก็ยังต้องคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนที่ตัดสินใจ แต่นางกลับกล่าวออกมาอย่างตรงจุดตรงประเด็น ช่างน่าแปลกเสียจริง
“เห็นบ่อยจนเริ่มชินหูชินตาไปเสียแล้ว” หยุนถิงตอบ ยังมิอาจกล่าวได้ว่าในนปัจจุบันจะมีร้านชานมไก่ทอดอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งน่ะ
“ถ้าเช่นนั้นเกิดอันใดขึ้นกับเรือนำเที่ยวใรวันนี้กันเล่า?” เหตุใดจึงเคลื่อนที่ไป ๆ มา ๆ ได้อย่างรวดเร็วนัก แม้แต่จวินหย่วนโยวเองก็มิเคยเห็นมาก่อน
“อ๋อ นั่นนะหรือ ข้าได้ทำการติดตั้งเครื่องยนต์ชนิดที่แนะนำลงในเรือนำเที่ยวลำนั้น เป็นชนิดควบคุมแบบระยะไกลได้ สามารถควบคุมได้ตามใจชอบ อยากจะให้เรือแล่นไปทางนั่นก็ให้หันไปทางนั่น สะดวกสบายอย่างมาก” หยุนถิงกล่าวพลางก็หาวออกมา
เมื่อเห็นว่านางง่วงนอนแล้ว จวินหย่วนโยวจึงมิได้เอ่ยอันใดมากไปกว่านั้นอีก ทั้งสองคนจึงต่างไปอาบน้ำและเข้านอนทันที
มีเพียงแต่จวินหย่วนโยวเท่านั้นที่ยังนอนมิหลับ ถึงแม้ยังมิเข้าใจว่าเครื่องยนต์นี่คืออะไร แต่ทำให้เรือนำเที่ยวเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมากกว่าปกติ หากใช้สำหรับการคมนาคมทางน้ำหรือทางการรบของทหารเรือก็คงจะมิมีศัตรูกล้าต่อกรแล้ว
ยัยหนูน้อยผู้นี้รู้หรือไม่ว่าการกระทำของนางเป็นในวันนี้ช่างเป็นการสร้างความปั่นป่วนโกลาหลที่เหมือนกับอดีตอย่างไรล่ะ หากฮ่องเต้หรืออีกสี่แคว้นอื่น ๆ รู้เข้าก็คงจะมีคนจำนวนมิใช่น้อยเป็นห่วงอย่างแน่
หยุนถิง โม่ฉือหานคงจะตาบอดไปแล้วจริง ๆ กระมัง จวินหย่วนโยวเผยอมุมปากด้วยความพอใจ และปิดตาลง
หลับสบายทั้งคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง
เช้าวันที่สอง เมื่อหยุนถิงทานข้าวเช้าแล้วจึงพาเยว่เอ๋อร์กับหลงเอ้อไปยังบ้านตระกูลซู
ระหว่างครึ่งทางก็พลันเห็นบรรดาสตรีจำนวนมากมายกำลังล้อมวงกันอยู่ตรงหน้าร้านแผงขายขนมอบบนถนนใหญ่ หยุนถิงจึงรู้สึกมิเข้าใจเล็กน้อย “หลงเอ้อ เหตุใดวันนี้จึงมีคนจำนวนมากมายเยี่ยงนี้มาซื้อขนมอบกันเล่า?”
“ขอเรียนนายหญิงว่าตอนนี้ยังเหลืออีกยี่สิบวันก็จะถึงเทศกาลดอกท้อบานแล้ว ในทุก ๆ ปีของเทศกาลดังกล่าวฮองเต้จะพาคณะขุนนางชั้นผู้ใหญ่พร้อมด้วยพระธิดาของพระองค์เสด็จไปชมดอกไม้ที่สวนทางใต้ แต่ปัจจุบันมิเป็นเช่นนั้น เพราะว่าสตรีทุกคนของเมืองหลวงสามารถมาเข้าร่วมงานเทศกาลดอกท้อได้ ซึ่งจะมีการนำดอกท้อมาทำเป็นวัตถุหลักสำหรับประกอบอาหาร โดยผู้ที่ชนะเลิศก็จะได้รับเงินรางวัลใหญ่ไป และได้ยินมาว่าเทศกาลดอกท้อในวันนี้หลีอ๋องเป็นคนรับผิดชอบคอยจัดการและดูแล” หลงเอ้อตอบตามค๒วามเป็นจริง
เดิมทีหยุนถิงมิชอบสถานที่ครึกครื้นรื่นเริงเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงหลีอ๋องขึ้นมา ดวงตาของนางก็เปล่งเป็นประกายด้วยความคิดขึ้นมาเล็กน้อยทันที
““เช่นนั้นประเดี๋ยวเจ้าก็ไปลงชื่อให้ข้าด้วย งานครึกครื้นรื่นเริงเช่นนี้จะขาดข้าไปได้เยี่ยงไรกัน”
“ทราบ”
ตระกูลซู
เช้าตรู่วันต่อมา ซูโหวเย่และซูชิงโยวต่างออกมารอยังตรงหน้าประตูด้วยตนเอง ทั้งสองรีบร้อนเป็นอย่างมาก
“ยัยหนู หยุนถิงกล่าวว่าวันนี้จะมาจริง ๆ ใช่หรือไม่ นี่ก็สายมากแล้ว เหตุใดนางยังมิมาอีกเล่า หรือจะให้ข้าส่งคนไปตามถึงจวนซื่อจื่อ?” ซูโหวเย่กล่าวอย่างรีบเร่ง
“ท่านพ่อ นี่ก็เพิ่งจะผ่านช่วงเวลามื้อเช้าไป อย่างไรเสียนางก็ต้องทานอาหารเช้าก่อน และเดินทางมาจากจวนซื่อจื่อก็ต้องใช้เวลาอีกเช่นกัน รอออีกสักประเดี๋ยวเถิด” ซูโหวเย่กล่าวปลอบบิดาของตน แต่ในใจของตนก็เฝ้ารออย่างรีบร้อนมิต่างกัน
“ได้ เช่นนั้นก็รอสักประเดี๋ยว หากว่าหยุนถึงสามารถรักษาใบหน้าของเจ้าให้หายเป็นปกติได้ นางก็จะเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราตระกูลซู พ่อจะต้องแสดงความขอบคุณนางเป็นอย่างดี”
“แต่มิรู้ว่าโหวเย่จะขอบใจข้าเยี่ยงไร?” หยุนถิงซึ่งเดินออกมาจากบริเวณไม่ไกลมากนัก เมื่อได้ยินคำพูดของซูโหวเย่ก็อดทนมิได้ถามขึ้น
เมื่อซูโหวเย่เหลียวหลังมามองก็พบกับใบหน้าดำคล้ำของหยุนถึง พลางเผยอมุมปากขึ้น ความจริงแล้วในใจของเขามิได้เชื่อหยุนถิงแม้แต่น้อย เเต่เพราะมิมีหนทางอื่นอีกแล้ว จึงทำได้เพียงแค่ลองอีกสักตั้งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย
“แม่นางหยุนถ้าหากสามารถรักษาใบหน้าของซูชิงโยวได้ ตระกูลซูของข้าจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าเป็นแน่ และหากต่อไปต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลซูในภายหน้า ก็ขอให้แม่นางหยุนเอ่ยปากออกมาได้ทันที และข้าจะนับว่านี่เป็นหน้าที่อันปฏิเสธมิได้อย่างแน่นอน” ซูโหวเย่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ตกลง เช่นนั้นข้าก็จะจำเอาไว้ เข้าไปเอ่ยกันในห้องต่อเถิด” หยุนถิงเดินมา
ซูชิงโยวพาหยุนถิงและคนอื่น ๆ เข้าไปในตำหนักของตน หยุนถิงกวาดสายตาไปมองดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ภายในตำหนัก หลังจากนั้นจึงเดินตามเข้าไปในห้อง เมื่อมองดูบริเวรโดยรอบแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “แม่นางซู ห้องนี้เก็บกวาดได้อย่างสะอาดเรียบร้อยเป็นอย่างมาก”
“ครั้งก่อนเจ้าบอกข้าว่าใบหน้าของข้าเป็นพิษ ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนของทุกอย่างภายในห้องใหม่หมดเลย เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังตรวจหามิได้ว่าใครเป็นคนวางยาพิษกันแน่” ซูชิงโยวตอบ
“เจ้าวางใจเถิดยัยหนู ข้าได้สั่งให้พ่อบ้านไปตรวจหาดูแล้ว หากตรวจพบแล้วผลออกมาว่าใครเป็นคนวางยาพิษเจ้าละก็ข้าจะสับร่างของนางผู้นั้นให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้นเชียวละ ”ซูโหวเย่กล่าวด้วยความรู้สึกโกรธแค้น
“ไหนข้าขอใบหน้าเจ้าหน่อย” หยุนถิงช่วยนางตรวจดูอย่างละเอียด
ซูชิงโยวตื่นเต้นด้วยความกังวลเป็นอย่างมากและหายใจมิทั่วท้องแล้ว “แม่นางหยุน เจ้าเอาจริงเลยได้ไหม? ”