จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 310 หลีอ๋องท่านเห็นเป็นประการใด
ซูมามาหันมองจี๋ผินทันที เห็นนางพยักหน้า รีบพูดขึ้น “ด้านหลังใบหูด้านซ้ายของคุณหนูหยุนมีปานอยู่ บนแขนก็มีไฝสีแดงหนึ่งเม็ด มีรอยแผลเป็นที่บริเวณไหล่ด้านหลังและขาซ้าย”
คนอื่นฟังมาถึงตรงนี้ ก็ไม่สงสัยมามาผู้นี้แล้ว สามารถบอกลักษณะพิเศษบนตัวหยุนถิงออกมาได้ละเอียดขนาดนี้ คงเป็นคนเก่าคนแก่ของจวนตระกูลหยุนแน่แล้ว
จวินหย่วนโยวที่กุมมือหยุนถิงอยู่ บีบแรงโดยพลัน
เขาชัดเจนร่างกายของหยุนถิงกว่าใคร ต่อให้เป็นเขาที่อยู่ด้วยทุกเมื่อเชื่อวัน ยังจำมิได้ละเอียดเพียงนี้เลย
หยุนถิงสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา ไม่มีวี่แววหวาดหวั่นหวาดกลัวแต่อย่างใด ทำเพียงปรายตามองมามาผู้นั้นอย่างเย็นชา
“หยุนถิง เจ้ากล้าให้ตรวจพิสูจน์ตรงนี้หรือไม่?” ชิงหลัวจวิ้นจู่แค่นเสียงเย็น
“กล้าแอบอ้างเป็นบุตรสาวของหยุนเฉิงเซี่ยง สมควรตายนัก ขอฝ่าบาทโปรดสืบสวนด้วย” ฮูหยินไท่ผิงโหวเสริมทับ
หยุนถิงแววตาเย็นเยียบคมปลาบ “ยังมีใครเหมือนพวกนางสองคนที่สงสัยฐานะของข้าอีก ก้าวออกมาทีเดียวเลย”
ทุกคนพากันกระซิบกระซาบ หลายปีมานี้หยุนถิงมีศัตรูไม่น้อยเลย ถึงช่วงนี้จะผ่อนคลายไปมากแล้ว แต่นางมีพรสวรรค์มากเกินไป พอหายเสียโฉมก็งดงามปานนี้ ย่อมต้องมีผู้อิจฉาริษยาเคียดแค้นไม่น้อย
ถึงจะติดขัดที่อำนาจของจวินซื่อจื่อ แต่ความหยิ่งทระนงในใจพวกนางเอาชนะความหวาดกลัวได้ โดยเฉพาะเหล่าคุณหนูฮูหยินที่สนิทสนมกับชิงหลัวจวิ้นจู่และฮูหยินไท่ผิงโหว พากันก้าวออกมาหมด
พอเห็นสิบกว่าคนก้าวออกมา มันทำให้จี๋ผินพอใจยิ่งนัก
“ฝ่าบาท ในเมื่อทุกคนต่างสงสัยในฐานะของคุณหนูหยุน มิสู้ให้ฝ่าบาททรงตัดสิน ทำการตรวจสอบพิสูจน์เสียตรงนี้เถอะ” จี๋ผินเสนอ
ฮ่องเต้ไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ หากหันมองหยุนถิง “หยุนถิง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นบุตรสาวของเฉิงเซี่ยง และยังเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง เป็นน้องสาวบุญธรรมของท่าน หากอาศัยเพียงคำพูดมามาผู้หนึ่งก็โดนตรวจค้นร่างกาย เช่นนั้นต่อไปหม่อมฉันจะทำอย่างไร ท่านพ่อของหม่อมฉันจะยังมีหน้ายืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างไร พวกนางกำลังสงสัยการตัดสินใจของฝ่าบาท
วันนี้มีมามาผู้หนึ่งสงสัย พรุ่งนี้มีขันทีคนหนึ่ง วันถัดไปมีท่านหญิงฮูหยินมาอีก เช่นนั้นหม่อมฉันมิต้องโดนตรวจค้นทุกวันรึ การกระทำที่มิชอบเช่นนี้ หม่อมฉันไม่มีทางรับปากเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นมามาผู้นี้บอกว่านางเป็นแม่นมของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่รู้จักนางเลย นางกล้าแอบอ้างว่าเป็นแม่นมของจวนเฉิงเซี่ยง ใส่ร้ายหม่อมฉัน ขอฝ่าบาทคืนความเป็นธรรมให้หม่อมฉันด้วย!” หยุนถิงตอบอย่างมั่นใจ ชัดเจนถ้อยคำ
สีหน้าจี๋ผินบูดบึ้งยิ่งนัก ส่วนซูมามาที่พื้นยิ่งเต็มไปด้วยความตกตะลึงและลุกลี้ลุกลน
“ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วย ต่อให้ข้าน้อยมีสิบหัวก็ไม่กล้าแอบอ้างหรอก หากฝ่าบาทไม่เชื่อ เชิญหยุนเฉิงเซี่ยงมาก็ได้ หยุนเฉิงเซี่ยงต้องเป็นพยานฐานะของข้าน้อยได้แน่” ซูมามาตอบอย่างนอบน้อม
“ท่านพ่อข้าไม่สบาย พักผ่อนอยู่ที่บ้าน มีหรือที่คนรับใช้อย่างเจ้าอยากเชิญก็จะเชิญได้” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น
แต่ในสายตาจี๋ผิน ยิ่งแน่ใจว่าหยุนถิงกำลังร้อนตัว
ห่างไปไม่ไกล หลีอ๋องได้ยินเรื่องทางนี้เลยเข้ามา พอดีได้ยินซูมามาใส่ร้ายหยุนถิงเข้าอย่างชัดเจนเต็มสองหู
ฮ่องเต้กำลังปวดหัวว่าจะจัดการอย่างไรดี เพราะหยุนถิงมีประโยชน์กับเขา หากทำให้หยุนถิงเคืองแค้นตนเองเพราะมามาผู้หนึ่ง มันก็จะเป็นข้อเสียใหญ่มาก แต่ฮ่องเต้อยากรู้ว่า ทำไมหยุนถิงถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ รู้มากขนาดนี้ ถ้าวันหน้าไม่อาจเป็นประโยชน์กับตนได้ ก็จะเป็นภัยมหันต์แน่
“หลีอ๋อง เจ้าว่ายังไง?” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเนิบช้า
โม่ฉือหานเหล่มองไปยังซูมามาที่พื้นด้วยสีหน้าเย็นชา “หากเจ้าเป็นแม่นมของหยุนถิงจริง หากนางเป็นตัวปลอม ก็ควรจะปิดบังเจ้ามิใช่รึ มีหรือจะยอมให้เจ้าเห็นจุดอ่อนของนาง!”
ถึงจะไม่ได้ช่วยพูดแทนหยุนถิงอย่างเปิดเผย หากแต่ละคำพูดนั้นตรงประเด็นยิ่งนัก
หยุนถิงเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าโม่ฉือหานจะช่วยพูดแทนตน
“ฝ่าบาท หลีอ๋องพูดถูก หากหยุนถิงเป็นตัวปลอมจริง นางไม่มีทางยอมให้โอกาสซูมามาเปิดโปงตนเองแน่ ด้วยฝีมืออย่างหยุนถิง คิดจะให้มามาผู้หนึ่งปิดปากนั้นง่ายดายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก” หลิ่วเฟยที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น
ฝีมือของหยุนถิง ฮ่องเต้รู้ดีที่สุด เวลานี้สีหน้าฮ่องเต้ยิ่งบูดบึ้งยิ่งขึ้น ใช่ไง เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน
ซูมามาตกใจจนสีหน้าซีดเผือด ทำไมไม่ค่อยเหมือนกับที่ตนคาดการณ์เอาไว้เลย
“บางทีอาจเป็นเพราะว่านางเป็นตัวปลอม ดังนั้นเลยจำซูมามาไม่ได้ เพราะซูมามาเข้าวังมาก็ห้าหกปีแล้ว เวลาห้าหกปีเพียงพอให้คนผู้หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก” จี๋ผินแทรกขึ้นมา
“จี๋ผิน เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วเฟยสีหน้าเย็นชา
“หลิ่วเฟยเหนียงเหนียงอย่าโกรธสิ หม่อมฉันแค่เพียงพูดไปตามความจริง บางทีอาจมีคนผู้หนึ่งมีความน่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าซูมามา นั่นก็คือนางจ้าวแห่งจวนตระกูลหยุน นางแต่งงานกับหยุนเฉิงเซี่ยงมาสิบกว่าปี และยังเลี้ยงดูหยุนถิงมาตั้งแต่เล็กอีก ตอนนี้นางจ้าวอยู่ในคุกหลวง เหตุใดฝ่าบาทไม่เบิกตัวนาง มาถามให้รู้เรื่องเล่า” จี๋ผินเสนอ
หยุนถิงมองนางอย่างเย็นชา “จี๋ผิน ข้าไม่รู้ว่าทำให้ท่านโกรธแค้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำให้ท่านซ้ำเติมกันปานนี้?”
“คุณหนูหยุนอย่าพูดจาซี้ซั้วสิ ข้าแค่อยากจะทำลายความสงสัยของทุกคนเท่านั้นเอง วันนี้หากไม่ใช่ซูมามาผู้นี้พูด ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าน่ะเป็นตัวปลอม ในเมื่อพบแล้ว ข้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้ มีหรือจะยอมให้คนชั่วร้ายเช่นเจ้ามาให้ร้ายตระกูลหยุน ให้ร้ายราชสำนัก” จี๋ผินบอกอย่างกล้าหาญ
“ดังนั้น นางกำนัลคนนั้นเมื่อครู่ท่านเป็นคนจัดการ แสร้งทำเสื้อผ้าข้าเปียกชื้น จากนั้นท่านพาข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักท่าน ให้ซูมามาผู้นี้มาเจอ กลลูกโซ่ดีจริงนี่นา” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น
จี๋ผินสีหน้ากระอักกระอ่วน ร้อนตัวนัก แต่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ต่อให้ตีให้ตาย นางก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะฝ่าบาทไม่ชอบสตรีช่างวางแผน
“เจ้าพูดจาซี้ซั้วอะไร ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น เจ้าอย่ามาใส่ความข้า แล้วถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องนะ”
“บังเอิญหรือไม่ ท่านรู้ดีแก่ใจที่สุด”
“หากเจ้ามิร้อนตัว เหตุใดไม่กล้าเจอนางจ้าว” จี๋ผินย้อนถาม
“ข้ามีอันใดไม่กล้าเจอกัน ข้าแค่ไม่อยากเจอนางก็เท่านั้นเอง” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น
“ฝ่าบาท ในเมื่อหยุนถิงพูดเช่นนี้แล้ว เรื่องวันนี้ต้องสืบสวนให้รู้ความถึงจะได้ ขอฝ่าบาทเบิกตัวด้วย” ชิงหลัวจวิ้นจู่พูดอย่างได้ใจ
“ซูกงกง เจ้าไปด้วยตัวเอง!” ฮ่องเต้สั่งการ
“พ่ะย่ะค่ะ” ซูกงกงรีบไปพาตัวคนมา
ดวงตาดำขลับคมปลาบของโม่ฉือหานเหล่มองหยุนถิง ชุดราชพิธีสีแดงกุหลาบส่งผลให้นางยิ่งดูเย้ายวนงดงาม คิ้วตายิ่งงดงามดุจภาพวาด เพียงแต่ดวงตางามคู่นั้นในเวลานี้เย็นชาหลุกหลิก เหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรอยู่
นี่ไม่ควรจะเป็นหยุนถิง นางมั่นอกมั่นใจในตนเองมาตลอด หรือว่านางจะเป็นตัวปลอมจริงๆ?
ไม่นาน ซูกงกงพานางจ้าวเข้ามา นางจ้าวีบคารวะทันที “หม่อมฉันนางจ้าวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
จี๋ผินเดินเข้าไปอย่างได้ใจยิ่งนัก
“นางจ้าว เจ้าเลี้ยงดูหยุนถิงจนเติบใหญ่ ย่อมต้องรู้ดีกว่าใคร ตอนนี้เจ้ามองดูคนตรงหน้าผู้นี้ให้ดีสิว่าใช่หยุนถิงหรือไม่ ฝ่าบาทอยู่ที่นี่ จะมิทรงอนุญาตให้ผู้ใดมาแอบอ้างได้เป็นแน่!”
นางจ้าวเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว มองไปทางหยุนถิง มองอย่างพิถีพิถัน “ฝ่าบาท นางมิใช่หยุนถิง!”
คำพูดเดียวทำทุกคนตกตะลึง