จอมนางข้ามภิภพ – บทที่ 491 ภรรยาของตัวเองทะนุถนอมเอง

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 491 ภรรยาของตัวเองทะนุถนอมเอง

“ซื่อจื่อ ผู้ชายที่ข้าต้องการย่อมต้องเป็นผู้ชายที่จิตใจเด็ดเดี่ยวเย้ยฟ้าท้าดิน เป็นที่พึ่งพาของข้า ไม่ใช่คนขี้หึง ยิ่งไปกว่านั้นซวนอ๋องก็ช่วยเหลือข้าจากอันตรายหลายครั้งหลายหน หากวันหน้าท่านมีธุระไม่อยู่ ข้าตกอยู่ในอันตรายอีก ท่านคิดเล็กคิดน้อยใจแคบเช่นนี้ ซวนอ๋องจะช่วยข้าอย่างไร หรือจะให้ข้ารอความตาย?” หยุนถิงกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา

ซื่อจื่อดีหมดทุกอย่าง เพียงแต่ขี้หึงไปหน่อยเท่านั้น

ถึงจะบอกว่าขี้หึงเพราะใส่ใจ แต่หากหึงหวงเกินไป ก็ทำให้คนรู้สึกอัดอั้นได้เช่นกัน

จวินหย่วนโยวมองไปทางหยุนถิงอย่างชะงักงัน เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน ถึงแม้เขาจะมีองครักษ์เงามังกรกับองครักษ์ลับ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นาทีนี้ในใจของจวินหย่วนโยวเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเอ็นดูสงสาร

“ถิงเอ๋อร์ขอโทษด้วย ครั้งนี้ข้าเลินเล่อไป ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว!”

จู่ๆเขาก็มีท่าทางรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองเช่นนี้ หยุนถิงถึงกับรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “ซื่อจื่อ จู่ๆท่านก็ทำตัวเช่นนี้ข้าไม่คุ้นเคยอย่างมาก”

“เพราะข้าจิตใจคับแคบ ขี้ระแวงไปแล้ว”

หยุนถิงยิ้มอย่างปลื้มปิติยินดี ไม่พูดอะไรมากอีก

กลับไปถึงจวนซื่อจื่อ หยุนถิงกลับไปพักผ่อนในห้อง จวินหย่วนโยวไปที่ห้องหนังสือ

“หลิงเฟิง เจ้าส่งกระบี่หิมะสวรค์ของข้าไปที่จวนซวนอ๋อง!”

หลิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจ “ซื่อจื่อ นั่นเป็นถึงกระบี่หายากชั้นดี ท่านพยายามอย่างมากกว่าจะได้มันมาไม่ใช่หรือ?”

“ข้าไม่อยากให้ถิงเอ๋อร์ติดหนี้บุญคุณเขา!” จวินหย่วนโยวกล่าว

“ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!” หลิงเฟิงรีบไปส่งกระบี่ทันที

จวินหย่วนโยวกลับไปถึงเรือน เห็นว่าหยุนถิงนอนหลับไปแล้ว ก็เดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียง ฟังเสียงหายใจแผ่วๆของหยุนถิง หัวใจทั้งดวงผ่อนคลายลงมา

ได้ยินมาว่าหลังจากที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ มักจะรู้สึกปวดเมื่อยขาได้ง่าย ดังนั้นจวินหย่วนโยวจึงค่อยๆวางขาของหยุนถิงเอาไว้บนตักของตัวเอง ช่วยนวดขาให้นาง

หยุนถิงที่หลับไม่สนิทรู้สึกถึงการกระทำของซื่อจื่อ มุมปากยกขึ้นเป็นมุมโค้งสูง นอนหลับต่อไป

พริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

ในเช้าตรู่ ฮ่องเต้พาขุนนางใหญ่ของราชสำนักกับองค์ชายสองสามคนมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์ สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆของขุนนางใหญ่ที่อยู่ในรายชื่อที่ได้รับเชิญ ก็นั่งรถม้าตามไปเช่นกัน

นี่เป็นถึงเทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงประจำปี เป็นสัญลักษณ์ของการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์และเป็นสิริมงคล เป็นสัญญาณที่ดี ทุกคนย่อมแห่ไปกันอยู่แล้ว

จวนซื่อจื่อ

จวินหย่วนโยวกินข้าวเช้าพร้อมกับหยุนถิง สั่งให้คนปูเบาะเพิ่มขึ้นอีกสองชั้นโดยเฉพาะ เช่นนี้หยุนถิงก็จะสามารถนั่งได้สบายมากขึ้นเล็กน้อย

ระหว่างทาง จวินหย่วนโยวล้วนใส่ใจอย่างยิ่ง ทั้งยกน้ำดื่ม ทั้งป้อนผลไม้ อย่าให้พูดเลยว่าดูแลอย่างใส่ใจแค่ไหน

ทำเอาหยุนถิงรู้สึกขัดเขิน “ซื่อจื่อจู่ๆท่านก็ประจบประแจงเอาใจเช่นนี้ ข้าจะรู้สึกสงสัยได้ว่าท่านทำอะไรที่ผิดต่อข้าหรือเปล่า?”

“ฮ่าๆ ภรรยาของตัวเองย่อมต้องทะนุถนอมเองอยู่แล้ว วางใจได้ ชาตินี้ข้าจะรักเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้หญิงคนอื่นไม่สามารถเข้ามาอยู่ในสายตาข้าเลยด้วยซ้ำ!” จวินหย่วนโยวตอบ

“คำพูดนี้ข้าชอบฟัง”

ทั้งคู่พูดคุยหัวร่อต่อกระซิก ในตอนที่พวกเขามาถึงพื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์ หน้าประตูก็ไม่มีคนอยู่นานแล้ว ทุกคนล้วนเข้าไปกันหมดแล้ว

จวินหย่วนโยวประคองหยุนถิงลงมาจากรถม้าด้วยความระมัดระวัง “ถ้าอย่างไรไปพักผ่อนก่อนดีไหม?”

“ไม่ต้อง นั่งรถม้ามาตลอดทางข้าก็อยากเดินเล่นหน่อย เราไปดูอาหารของปีนี้กันก่อนเถอะ” หยุนถิงกล่าว

“ตกลง”

จวินหย่วนโยวจูงมือของนางเดินผ่านบ้านไร่เป็นแถวๆที่อยู่ด้านหน้านั่น มุ่งหน้าไปที่ทุ่งนาที่อยู่ด้านหลัง

มองดูพืชผลทางการเกรษตรสีทองที่ไกลสุดลูกหูลูกตานั่น หยุนถิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

ทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่ามขนาดใหญ่ มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดในแวบแรกที่มอง เมื่อลมพัดผ่านมาเล็กน้อย รวงข้าวสาลีส่ายศีรษะไปตามสายลม ราวกับกำลังทักทายพวกนางอยู่

พื้นที่เพาะปลูกถูกแบ่งเป็นตารางสี่เหลี่ยม ข้างในยังมีชาวบ้านยุ่งอยู่กับงานมากมาย ฮ่องเต้ที่อยู่ไม่ไกลกำลังพาทุกคนสังเกตการณ์ และพูดอะไรบางอย่าง เพราะอยู่ในระยะที่ไกลเกินไปจึงไม่ได้ยิน

“ซื่อจื่อ พื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์แห่งนี้จะใหญ่เกินไปแล้ว!” หยุนถิงกล่าว

“ที่นี่คือผืนดินอันกว้างใหญ่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกที่ฝ่าบาทแบ่งออกมาโดยเฉพาะ แบ่งผืนดินออกเป็นไร่เล็กๆและแจกจ่ายให้กับบรรดาชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ปลูกพืชผลตามฤดูกาลทั้งสี่ฤดู ดังนั้นเก็บเกี่ยวที่ดีหรือไม่ดีของที่นี่โดยพื้นฐานแล้วสามารถสะท้อนการเก็บเกี่ยวทั่วทั้งแคว้นต้าเยียน ยกเว้นพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติแต่ละแห่ง!” จวินหย่วนโยวอธิบาย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” หยุนถิงเดินหน้าต่อไป

ในยุคปัจจุบันอย่างมากก็แค่สัมผัสความสนุกสนานของการทำไร่ทำนา โอกาสที่จะลงลึกเข้าไปในไร่นาเช่นนี้น้อยมาก ดังนั้นหยุนถิงรู้สึกมีความสุขมาก และอยากจะเข้าไปดูในทุ่งนา

บางทีอาจเป็นเพราะว่าเดินเร็วเกินไป จู่ๆหยุนถิงก็สะดุดก้อนดินก้อนหนึ่ง คนทั้งคนกำลังจะล้มลงไปด้านข้าง

จวินหย่วนโยวรู้สึกได้ มือใหญ่รีบคว้าตัวหยุนถิงเอาไว้ทันที ใช้แรงโอบเอาไว้ ก็กอดนางเข้าไปในอ้อมแขน

“ระวังหน่อย ที่นี่เป็นดินทุกหนทุกแห่ง ยังมีก้อนดินหรือไม่ก็ก้อนหิน เดินลำบาก ระมัดระวังด้วย!” จวินหย่วนโยวกล่าวด้วยความเป็นห่วง

“ตกลง” หยุนถิงก้มหน้ามองดูใต้เท้า และเดินต่อไป

ซวนอ๋องที่ตามมาข้างหลัง มองดูมือที่กำลังจะยื่นออกไปของตัวเองครู่หนึ่ง บนใบหน้ามีความจนใจเล็กน้อยแว๊บผ่านไป สุดท้ายเขาก็ช้าไปก้าวหนึ่ง

หยุนถิงกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ก็ได้ยินเสียงมีคนกำลังแต่งกลอน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นคุณชายคุณหนูของตระกูลที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ยังมีฮูหยินสูงศักดิ์มากมาย คิดว่าคงจะเป็นสมาชิกในครอบครัวของขุนนางราชสำนักเหล่านั้น

ในบรรดาคนเหล่านั้น ยังมีคนที่คุ้นเคยหลายคน หนึ่งในนั้นมีองค์ชายสี่ ฟู่อี้เฉิน ซูชิงโยวและคนอื่นๆ

เวลานี้พวกเขากำลังแต่งกลอนกันอยู่ ถึงคราวฟู่อี้เฉิน ในเวลาปกติเจ้าหมอนี่มักจะคอยกลั่นแกล้งคนอื่น จู่ๆจะให้เขามาทำกิริยาท่าทางสุภาพ เขาทำไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ

ฟู่อี้เฉินกำลังกลัดกลุ้มอยู่ ก็มองเห็นหยุนถิงกับจวินหย่วนโยว กล่าวขึ้นมาด้วยความยินดีทันที “พวกเจ้าสองคนมาได้จังหวะพอดี หยุนถิงเจ้าเก่งเรื่องแต่งกลอนที่สุดไม่ใช่หรือ รีบแต่งมาสักบทให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาหน่อย”

“ฟู่ซื่อจื่อนี่ท่านแต่งเองไม่ได้ ขอความช่วยเหลือจากภายนอกหรือ” ซูชิงโยวพูดติดตลก

“พูดความจริงไร้สาระอะไรกัน ข้าก็แค่ไม่ชอบวรรณกรรมอะไรพวกนี้เท่านั้น” ฟู่อี้เฉินโต้แย้ง

คนอื่นๆมองมาทันที ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็นมากเช่นกัน อย่างไรเสียหยุนถิงก็เป็นยอดฝีมือด้านบทกวี ทุกคนล้วนคาดหวังอย่างมาก

หยุนถิงกลอกตามองฟู่อี้เฉินครู่หนึ่ง ไม่อยากทำให้ทุกคนหมดสนุก เช่นนั้นข้าขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยหนึ่งบทแล้วกัน

“ปลูกข้าวกลางแสงแดด หยาดเหงื่อหยดลงดิน ใครรู้ในจานข้าว ทุกเม็ดล้วนลำบาก!”

บทกวีราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่งมีมากมายเช่นนี้ นางท่องออกมาหนึ่งบทล้วนเฉียบคมและครอบคลุมทั้งนั้น นาทีนี้หยุนถิงรู้สึกขอบคุณภูมิปัญญาของคนโบราณอย่างมากจริงๆ

“บทกวีชั้นยอด บทกวีชั้นยอด!” ทุกคนยกย่องไม่สิ้นสุด

โดยเฉพาะจ้าวเคอ เขาถึงกับหยิบกระดาษและพู่กันที่พกติดตัวตลอดออกมา

“จ้าวเคอเจ้าไม่ต้องทำเกินจริงเช่นนี้ก็ได้มั้ง ถึงกับพกกระดาษและพู่กันติดตัวตลอด ทำไมถึงไม่เห็นคุณหนูฉิน?” หยุนถิงถาม

แก้มของจ้าวเคอแดงก่ำเล็กน้อย “จิ้งอี๋ตั้งครรภ์แล้ว จึงอยู่พักผ่อนในบ้าน ข้ากลัวนางจะได้รับความสั่นสะเทือน เลยไม่ได้ให้นางมา ข้าไม่อยากพลาดความคิดเห็นของฝ่าบาทและเนื้อหาสำคัญที่เพื่อนร่วมงานปรึกษาหารือกัน ก็เลยนำกระดาษพู่กันติดตัวมาด้วย”

“เช่นนั้นก็แสดงความยินดีด้วย เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ แต่งงานไม่นานเท่าไหร่ก็ตั้งครรภ์แล้ว” หยุนถิงกล่าวชม

ทีนี้ใบหูของจ้าวเคอแดงก่ำไปหมดแล้ว ยิ่งรู้สึกกระดากอายมากขึ้น “ดีที่ได้คุณหนูหยุนช่วยข้ากับจิ้งอี๋ในตอนนั้น รอให้จิ้งอี๋คลอดบุตรแล้วจะเชิญคุณหนูหยุนมาดื่มเหล้ามงคลอย่างแน่นอน!”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

หลังจากที่พวกเขาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว หยุนถิงก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จวินหย่วนโยวพานางไปพักผ่อนที่บ้านไร่

จากนั้นหลงเอ้อก็กลับมาจากข้างนอก บนร่างกายยังมีฝุ่นดินติดอยู่เล็กน้อย

“ขุดกับดักเสร็จแล้วหรือ?” หยุนถิงถาม

“ซื่อจื่อเฟยวางใจเถอะ กับดักที่ข้าขุดรับรองว่าไม่มีใครสามารถออกมาได้ หากไม่ใช่เพราะวิชาตัวเบาข้าดี เกรงว่าคงจะไม่สามารถกลับมาพบท่านแล้ว” หลงเอ้อกล่าวอย่างได้ใจ

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามภิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท