จอมนางข้ามภิภพ – บทที่ 557 ในเมื่อนางอยากคุกเข่า ก็ให้นางคุกเข่าไปเถอะ

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 557 ในเมื่อนางอยากคุกเข่า ก็ให้นางคุกเข่าไปเถอะ

เฟิ่งจาวหยีมองดูท่าทางที่เฉยเมยของฉินเฟย จู่ๆก็รู้สึกไม่มั่นใจในทันที

หากไม่มีเรื่องนี้ นางไม่มีทางพูดเช่นนี้อย่างแน่นอน หรือว่าตระกูลเฟิ่งจะจบสิ้นแล้วจริงๆ

“ข้าค่อยกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าในภายหลัง!” เฟิ่งจาวหยีสะบัดมือของฉินเฟยทิ้ง และเดินจากไปด้วยความโกรธ

เมื่อสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเห็น ก็รีบตามไปทันที

เฟิ่งจาวหยีมุ่งหน้าไปยังเรือนจำอย่างรวดเร็ว เห็นผู้คุ้มกันที่อยู่หน้าประตู ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้คำนับ เฟิ่งจาวหยีก็เอ่ยปากถามทันที“ท่านพ่อกับน้องชายของข้าถูกกุมขังอยู่ในเรือนจำใช่ไหม?”

องครักษ์ตอบด้วยความเคารพนบนอบ“เรียนจาวหยี ใช่พ่ะย่ะค่ะ!”

คำพูดประโยคเดียว ราวกับฟ้าผ่าลงมาเหนือศีรษะของเฟิ่งจาวหยีอย่างแรง นางเกือบจะทรุดตัวลงไปบนพื้น“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้จับกุมคนในครอบครัวของข้า ข้าจะเข้าไปเยี่ยม?”

“จาวหยีเหนียงเหนียงอย่าได้โกรธไป ฝ่าบาทมีรับสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม!” องครักษ์ตอบ

“ข้าเป็นถึงจาวหยี รีบหลีกไปเดี๋ยวนี้!” เฟิ่งจาวหยีพุ่งเข้ามาด้วยความโมโห

องครักษ์ทั้งสองนายกลับไม่ได้หลบออกไป แต่ขวางอยู่หน้าประตูของเรือนจำ

เฟิ่งจาวหยีโกรธจนตบเพียะๆไปที่พวกเขาหลายฉาก ถึงแม้จะเจ็บมาก แต่องครักษ์ก็ยังคงยืนตัวตรงเช่นเดิม

“ถึงแม้เหนียงเหนียงจะตีพวกข้าให้ตาย พวกข้าก็ไม่ถอยเด็ดขาด!” องครักษ์อีกนายหนึ่งเอ่ยขึ้นมา

เฟิ่งจาวหยีโกรธจนใบหน้าซีดขาว ชี้ไปทางพวกเขาด้วยความโกรธ“ดี พวกเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ จะกลับมาจัดการพวกเจ้าในภายหลัง!” พูดจบก็จากไปด้วยความโกรธ

ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องทรงอักษรได้ยินว่าเฟิ่งจาวหยีมาขอเข้าเฝ้า สีหน้าดำมืดในทันที“ให้นางกลับไป ข้าจะไม่พบนางเด็ดขาด!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ซูกงกงออกไปทันที

เมื่อเฟิ่งจาวหยีเห็นซูกงกงออกมา ก็รีบสอบถามขึ้นมาทันที“ฝ่าบาทจะพบข้าแล้วใช่ไหม?”

ซูกงกงส่ายหน้า“ฝ่าบาทให้เหนียงเหนียงกลับไปก่อน!”

“ซูกงกงเจ้าไปรายงานหน่อย ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท!” เฟิ่งจาวหยีกังวลใจอย่างมากในทันที

“ถ้าหากเป็นเพราะเรื่องของเฟิ่งไท่เว่ยกับเฟิ่งหยวน เช่นนั้นเหนียงเหนียงก็กลับไปเถอะ” ซูกงกงเอ่ยปากก

คำพูดประโยคเดียว เฟิ่งจาวหยีตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที“ซูกงกง ท่านพ่อกับน้องชายของข้าทำความผิดอะไรกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงได้ถูกจับกุมตัว?”

“ฝ่าบาทส่งคนไปสืบแล้ว เหนียงเหนียงโปรดกลับไปรอข่าวเถิด” ซูกงกงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

เรื่องเกี่ยวพันใหญ่หลวง เขาไม่กล้าแพร่งพรายหรอก ถ้าหากเฟิ่งจาวหยีก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เช่นนั้นผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่กล้าที่จะคิดเลย

เฟิ่งจาวหยีได้ยินซูกงกงกล่าวเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก ฝ่าบาทไม่มีทางพบนางแล้ว

“เหนียงเหนียง ถ้าอย่างไรเรากลับไปก่อนเถอะ” สาวใช้เตือนสติ

“ตกลง” เฟิ่งจาวหยีจากไปทันที นางเดินออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ ก็รีบสั่งการทันที“เจ้าออกจากวังกลับไปสอบถามเดี๋ยวนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเฟิ่งกันแน่ ฝ่าบาทขังท่านพ่อเอาไว้ในเรือนจำ แสดงให้เห็นว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้!”

เฟิ่งจาวหยีกลับไปที่ลานของตัวเอง กระวนกระวายอย่างยิ่ง เดินไปเดินมา

เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป สาวใช้ก็กลับมาแล้ว“เหนียงเหนียง บ่าวเพิ่งจะไปถึงประตูวังก็ได้ยินคำสนทนาระหว่างซวนอ๋องกับหลีอ๋องเข้าพอดี บอกว่าคุณชายนำแผนที่จัดวางกำลังป้องกันเมืองชายแดนของนายท่านให้กับสายลับของแคว้นเทียนจิ่ว ถูกหลีอ๋องจับตัวได้ในที่เกิดเหตุ ฝ่าบาทสงสัยว่านายท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ก็เลยขังนายท่านกับคุณชายเอาไว้ในคุก!”

สีหน้าของเฟิ่งจาวหยีซีดขาวในทันใด“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ไอ้สารเลวเฟิ่งหยวนคนนี้ทำไมถึงสมคบกับศัตรูก่อกบฏได้ เขาไม่มีความกล้านั้นเลย จะต้องมีคนวางแผนใส่ร้ายเขาแน่นอน ข้าจะไปหาฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”

“เหนียงเหนียง ฝ่าบาทไม่เชื่อท่านเลยด้วยซ้ำ” คำพูดประโยคเดียวของสาวใช้ ดับความหวังสุดท้ายของเฟิ่งจาวหยีไปอย่างสิ้นเชิง

“ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่เชื่อ ข้าก็ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะปล่อยให้ฝ่าบาทปรักปรำท่านพ่อกับน้องชายไม่ได้เด็ดขาด!” เฟิ่งจาวหยีไปที่ห้องทรงอักษรอีกครั้ง

นาทีนี้ นางคุกเข่าตรงหน้าประตูโดยตรง

ขันทีน้อยที่อยู่หน้าประตูเห็นดังนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็เข้าไปรายงาน

ฮ่องเต้ได้ยินว่าเฟิ่งจาวหยีคุกเข่าอยู่หน้าประตู ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจและสงสาร แต่กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“ในเมื่อนางอยากจะคุกเข่า ก็ให้นางคุกเข่าไปเถอะ หากนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ข้าจะไม่ลูบหน้าปะจมูกเด็ดขาด!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เฟิ่งจาวหยีคุกเข่าจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ประตูของห้องทรงอักษรก็ยังคงปิดเอาไว้แน่น ฝ่าบาทไม่พบนางเลย

ความเจ็บปวดแสนสาหัสส่งมาจากเข่า ในเวลาปกติเฟิ่งจาวหยีใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีเกียรติและมั่งคั่ง ทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ที่ไหน สีหน้าซีดขาว จะหมดสติไปหลายครั้ง แต่สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างประคองนางเอาไว้

ตอนเช้าตรู่ ฉินเฟยก็ยกน้ำซุปโสมเข้ามา และเห็นเฟิ่งจาวหยีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู“น้องสาวคุกเข่าอยู่ที่นี่แต่เช้าทำไม พี่สาวเห็นแล้วยังรู้สึกเอ็นดูสงสาร รีบลุกขึ้นมาเถอะ” ขณะที่พูดก็จะไปประคองนาง

แต่กลับถูกเฟิ่งจาวหยีสะบัดมือออกไป“หน้าไหว้หลังหลอก ทำไมข้าต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ”

ฉินเฟยก็ไม่โกรธ เดินเข้ามาใกล้นาง ลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า“ถึงแม้น้องสาวจะคุกเข่าจนตายก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าเจ้าดูไม่ออกว่าฝ่าบาทไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเฟิ่งหยวนจะสมคบกับศัตรูก่อกบฏหรือไม่?”

เฟิ่งจาวหยีตัวแข็งทื่อ“หมายความว่าอย่างไร?”

“ความหมายก็คือหลายปีมานี้ตระกูลเฟิ่งทำอะไรไปบ้าง เจ้ารู้ดีที่สุด ฝ่าบาทเห็นตระกูลเฟิ่งขัดหูขัดตามานานแล้ว ไม่ว่าเฟิ่งหยวนจะถูกหลอกหรือไม่ ล้วนไม่สำคัญทั้งนั้น ที่สำคัญคือฝ่าบาทต้องการจะใช้โอกาสนี้ทำลายล้างตระกูลเฟิ่ง!” ฉินเฟยกล่าวออกมาอย่างสงบและราบเรียบ

แต่ฟังอยู่ในหูของเฟิ่งจาวหยีกลับเหมือนกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ นางย่อมรู้การกระทำของท่านพ่อในหลายปีมานี้อยู่แล้ว ตอนนี้เกรงว่าคงจะจบสิ้นจริงๆแล้ว

“ไม่ได้ ตระกูลเฟิ่งจะล้มลงไม่ได้เด็ดขาด!” เฟิ่งจาวหยีกัดฟันกล่าวขึ้นมา

“นั่นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระวรกายแข็งแรง คำสั่งของเขาใครกล้าขัด น้องสาวภาวนาให้ตัวเองมากๆเถอะ!” ฉินเฟยพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินไปทางห้องทรงอักษร

ขันทีน้อยที่อยู่หน้าประตูแจ้งว่า ฝ่าบาทไม่พบผู้ใด ฉินเฟยจึงพาสาวใช้จากไป

เฟิ่งจาวหยีชำเลืองไปทางประตูด้วยสายตาโกรธแค้นและไม่พอใจ ถึงแม้นางจะเกลียดฉินเฟยมาก แต่ข้อนี้ฉินเฟยกล่าวถูกแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากแตะต้องตระกูลเฟิ่ง แล้วจะจับท่านพ่อขังเอาไว้โดยที่ยังไม่ได้สืบหาความจริงได้อย่างไร

นางจะนั่งงอมืองอเท้าไม่ได้เด็ดขาด จะต้องช่วยท่านพ่อ ช่วยตระกูลเฟิ่งให้ได้

ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องทรงอักษรได้ยินว่าเฟิ่งจาวหยีจากไป ไปเตรียมงานเลี้ยงที่ห้องเครื่องแล้ว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่ไม่เหมือนนิสัยของนางเลย

“ส่งคนไปจับตาเฟิ่งจาวหยีเอาไว้ หากนางมีความเคลื่อนไหวอะไรให้กลับมารายงานข้าทันที!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ซูกงกงส่งขันทีน้อยสองคนไปจับตาดูห้องเครื่องเอาไว้ทันที จนกระทั่งงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์เริ่มขึ้น เฟิ่งจาวหยีก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแต่ยุ่งอยู่กับการจัดงานตามปกติ

งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ พระราชวังประดับประดาไปด้วยโคมไฟลูกบอลหลากสีและผูกริบบิ้น ครึกครื้นไม่ธรรมดา บรรดานางกำนัลและขันทีเดินขวักไขว่ไปมา อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ขุนนางราชสำนักทั้งหลายพาสมาชิกในครอบครัวเดินทางมา รถม้าตรงหน้าประตูวังจอดออกไปไกลมากแล้ว

หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวเพิ่งจะลงจากรถม้า ก็พบกับองค์หญิงใหญ่แคว้นเทียนจิ่วที่ลงมาจากรถม้าฝั่งตรงข้าม

“คนที่ไม่อยากเห็นหน้ากลับพบกันได้ง่ายๆจริงๆ!” หยุนถิงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“อีกเดี๋ยวเจ้าอยู่ข้างกายข้า อย่าให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว!” จวินหย่วนโยวกล่าวกำชับ ยื่นมือไปจับมือของหยุนถิงเอาไว้ก็เดินเข้าไปข้างใน

องค์หญิงใหญ่แคว้นเทียนจิ่วถูกเมินเช่นนี้ โมโหไม่สิ้นสุด“จวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยมองไม่เห็นข้าหรือ นี่ก็คือวิถีการต้อนรับแขกของแคว้นต้าเยียนพวกเจ้าหรือ?”

นัยน์ตาสีดำที่เย็นชาของจวินหย่วนโยวชำเลืองมาทางนาง“วิถีการต้อนรับแขกนั่นคือการปฏิบัติต่อแขก และไม่คู่ควร!”

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามภิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท