จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 707 โม่หลาน ข้าคิดถึงข้ายิ่งนัก
“กลศึก?” หยุนถิงมองมาอย่างสงสัย
โม่หลานยิ้มกระดาก “ก็หนังสือกลยุทธ์ที่เจ้าให้ข้าก่อนหน้านี้ไง ข้าใช้มันมาซื้อตัวผู้มีพรสวรรค์”
พอจี้อวี๋ได้ยินดังนั้นก็โกรธขึ้ง “ที่แท้หนังสือกลยุทธ์เป็นของซื่อจื่อเฟย เจ้ายังหลอกข้าว่าเป็นของเจ้าเอง หน้าใหญ่เสียจริงนะ”
“ไอ้หยา เจ้ายังโทษข้าอีกน่ะ ใครกันที่กอดหนังสือกลยุทธ์นั่นอ่านไปสามวันสามคืนติด ให้ตายก็ไม่ยอมคืนข้า ผู้ใดสนกันว่าใครเป็นคนเขียน ให้เจ้าดูก็พอแล้ว อีกอย่าง อย่างไรซะเจ้าก็เข้าร่วมสังกัดข้าแล้ว ตอนนี้จะบิดพลิ้วก็ไม่ทันแล้ว” โม่หลานพูดอย่างได้ใจ
จี้อวี๋โกรธยิ่งนัก โม่หลานน่าตายนัก กล้าหลอกตน
“อันที่จริงข้ากับโม่หลานไม่แบ่งแยกกัน นางเป็นแม่ทัพที่หาได้ยากยิ่ง ข้าชื่นชมนาง ต่อไปหากจะเขียนหนังสือกลยุทธ์ อีก ก็จะมอบให้เพียงนาง ดังนั้นเจ้าติดตามนาง ไม่ขาดทุนดอก!” หยุนถิงจบลงให้สวย
จี้อวี๋ฟังคำนี้แล้วถึงรู้สึกดีขึ้นหน่อย “ยังไงซะข้าก็ขึ้นเรือโจรแล้ว อยากลงก็ลงไม่ได้แล้ว ได้แต่เชื่อฟังคำสั่งสวรรค์แล้วล่ะ”
“อย่ามาพล่ามเลยเจ้าน่ะ ในใจละแอบดีใจล่ะสิ” โม่หลานมองค้อนนาง
“งั้นพวกเจ้าสองคนเถียงกันต่อไปนะ พวกเราไปก่อนล่ะ” หยุนถิงบอก
“ได้ สองปีนี้เจ้าไม่กลับมา ซื่อจื่อของเจ้าน่ะคิดถึงเจ้าจนจะบ้าแล้ว พวกข้าไม่รบกวนเวลาส่วนตัวพวกเจ้าละ รอวันไหนว่างจะไปกินข้าวที่จวนเจ้านะ ข้าคิดถึงฝีมือการทำอาหารของเจ้านัก” โม่หลานเย้า
“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อเลย!”
หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวเดินไป โม่หลานและจี้อวี๋ก็เข้าวังไป
“ท่านพี่ เหตุใดจี้อวี๋ยอมติดตามโม่หลานล่ะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแค่เพราะหนังสือกลยุทธ์?” หยุนถิงถาม
“ถิงเอ๋อร์ฉลาดนัก ก่อนหน้านี้ตระกูลจี้พึ่งพิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่ว ต่อมาองค์หญิงใหญ่โดนคุมขังอยู่ที่แคว้นต้าเยียน ผิงหนานอ๋องร่วมมือกับฮ่องเต้คนก่อนแห่งแคว้นเทียนจิ่วถอนรากถอนโคนอำนาจขององค์หญิงใหญ่ และตระกูลจี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
รับราชการมาสามรุ่น แต่สุดท้ายกลับโดนฮ่องเต้กดดัน ลดทอนอำนาจทางทหาร เนรเทศไปเป็นเจ้าเมืองชายแดนไกลโพ้น ต่อมาเริ่นเซวียนเอ๋อร์ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เดิมอยากจะช่วยตระกูลจี้ให้คืนสู่ฐานะเดิม เลยเรียกพวกเขาเข้าเมืองหลวงมา แต่กลับโดนเจ้าตระกูลตระกูลจี้ปฏิเสธ
ทำศึกมาทั้งชีวิต ออกสู้ศึกสงครามเพื่อแคว้นเทียนจิ่ว ตอนนี้เขาแก่แล้ว และปลงตกเรื่องอำนาจฐานะ ดังนั้นอยู่เป็นเจ้าเมืองเล็กๆนี่อิสระมากกว่านัก
ประเด็นสำคัญคือโม่หลาน สองปีมานี้นางแวะไปเยี่ยมเยียนจี้อวี๋ในคุกหลวงทุกๆสามถึงห้าวัน และเล่าเรื่องความเปลี่ยนแปลงของแคว้นเทียนจิ่ว และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายนอก
ถึงโม่หลานจะเป็นสตรี แต่ก็เป็นสตรีที่รู้คุณค่าของคน น่าจะเป็นเพราะความจริงใจและคำมั่นสัญญาของนางทำให้จี้อวี๋ซาบซึ้งใจ เพราะแม่ทัพเช่นจี้อวี๋นั้นมิใช่คนที่คนธรรมดาจะซื้อตัวได้” จวินหย่วนโยวเล่าทุกสิ่งที่ตนรู้ออกมา
หยุนถิงอดถอนหายใจขึ้นมาไม่ได้ “โลกเราอนิจจังไม่เที่ยง หากสามารถทำตามใจตนนั้นได้ดีที่สุด”
จวินหย่วนโยวยื่นมือมาจูงมือหยุนถิง “ชาตินี้ข้าจะให้เจ้าทำตามใจตน อยากทำอะไรก็ทำ จำไว้มีข้าอยู่”
หยุนถิงซาบซึ้งใจนัก “ท่านพี่ดีที่สุดเลย”
ทั้งสองคนเดินจูงมือกันกลับไปเช่นนี้ เดินไปคุยไป พลันรู้สึกว่าทางที่กลับไปก็ไม่ได้ยาวขนาดนั้นแล้ว อากาศไม่ได้หนาวแล้ว
รอจนพวกเขากลับไป ก็เห็นมีคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าประตูจวนซื่อจื่อ
“ฟู่อี้เฉิน ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ล่ะ?” หยุนถิงขมวดคิ้ว
ฟู่อี้เฉินที่อยู่หน้าประตูกอดไหล่ตัวสั่นงันงก พอเห็นหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวกลับมา รีบพุ่งเข้ามาทันที “หยุนถิงจวินหย่วนโยว ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมา ข้ามาหาพวกเจ้ามีเรื่องจะปรึกษา”
“เรื่องอะไร?”
ฟู่อี้เฉินสีหน้าเก็บกด “พวกเจ้าสองคนนี่ใจดำนัก กลับต้าเยียนก็ไม่เรียกข้าเลย”
“เจ้าวิ่งโร่งไปพระราชวังแคว้นเทียนจิ่วเองนี่ จะโทษพวกข้าได้อย่างไร” หยุนถิงเบ้ปาก
“ก็ลูกสาวเจ้าดันเล่นตัวหนอนนั่น เอาล่ะไม่พูดเรื่องนี้ละ ข้ามาหาเจ้าเพราะอยากถามว่า เหตุใดหนานชวนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เมื่อก่อนนางไม่ทำเช่นนั้นกับข้าเลย”
นี่เป็นเรื่องที่ฟู่อี้เฉินคิดไม่ตกที่สุด เริ่นเซวียนเอ๋อร์ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ได้ยินว่าพวกหยุนถิงกลับมาแล้ว หนานชวนก็จากไป สตรีน่าตายผู้นี้ไปแล้วก็ไม่ลาตนสักคำ
ระหว่างทางกลับมา ฟู่อี้เฉินยิ่งคิดยิ่งผิดสังเกต คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นเลยมาถามหยุนถิง
หยุนถิงมองหน้าเขา “หัวใจคนเรามันมีการเปลี่ยนแปลงนะ เมื่อก่อนหนานชวนคอยไล่ตามหลังเจ้าตลอด แต่เจ้ามักจะทำร้ายนาง บางทีนางอาจจะตัดใจหรือไม่ก็ผิดหวังกับเจ้านี่แหละ
แต่ปกติสถานการณ์เช่นนี้ จะมีความเป็นไปได้สองอย่าง หากมิใช่นางทำร้ายจิตใจนางลึกเกินไป ก็เป็นเพราะนางรักคนอื่นแล้ว”
“รักคนอื่น?” ฟู้อี้เฉินพลันรู้สึกมีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางกระหม่อมทันที เขาทำอะไรไม่ถูกเลย
“ฟู่อี้เฉิน ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้านะ นอกจากชาติกำเนิดที่ดีหน่อยแล้ว เจ้าไม่มีอะไรดีเลย ไม่รู้จริงๆว่าหนานชวนชอบเจ้าตรงไหนกัน” หยุนถิงแกล้งแดกดันเขา
ต้องลบเหลี่ยมเขาเสียหน่อย แบบนี้ฟู้อี้เฉินถึงจะรับความจริงได้เร็วขึ้น มองเห็นความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจนขึ้น
“ข้าแย่ขนาดนั้นเลยรึ?” ฟู่อี้เฉินพูดหน้าบึ้ง
จวินหย่วนโยวพยักหน้าเสริม “เป็นเช่นนี้จริงๆ”
“น่าตายนัก พวกเจ้าสองคนจงใจนี่นา รวมหัวกันมากลั่นแกล้งข้า ข้าขี้เกียจสนใจพวกเจ้าละ” ฟู้อี้เฉินพูดพลางวิ่งหนีไป
“หวังว่าหมอนี่จะรู้ใจตัวเองเร็วขึ้นนะ” หยุนถิงถอนหายใจยาว
“หวังว่านะ”
อีกด้านหนึ่ง ที่พระราชวัง
โม่หลานและจี้อวี๋มุ่งตรงไปพระราชวัง เจอกับเฉินอ๋องที่กำลังจะกลับพอดี
คืนนี้เพราะดีใจ โม่ฉือชิงดื่มมากไปหลายแก้ว เลยดื่มไปมากหน่อย เดินโซซัดโซเซ จากนั้นพลัดทำท่าจะล้มลงไปที่กระถางดอกไม้ข้างๆ
โม่หลานที่ผ่านมาพอดีคว้าแขนเขาไว้ ได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขา โม่หลานสีหน้ารังเกียจ “โม่ฉือชิง เจ้าโง่แล้ว เดินยังเดินไม่มั่นคงรึ? นี่เจ้าดื่มไปเท่าไหร่เนี่ย ไม่เคยเห็นเหล้าหรือไง”
โม่ฉือชิงยืนมั่นอย่างงงๆ พอเงยหน้าก็เห็นเป็นโม่หลาน ยิ้มแหะๆให้นาง “โม่หลาน ข้าคิดถึงเจ้าจังเลย”
โม่หลานสีหน้าชะงัก จากนั้นก็รังเกียจยิ่งนัก กำลังจะผลักโม่ฉือชิงออก ก็โดนเขากอดรัดแขนไว้ แถมยังอย่างแรงมากด้วย
โม่หลานอยากจะดึงกลับมา แต่มันไม่ขยับเลย
“โม่ฉือชิง ปล่อยข้านะ!”
“ไม่ปล่อย ให้ตายก็ไม่ปล่อย ข้าอยากจะกอดเจ้าไปอย่างนี้ คิดมานานแล้ว” โม่ฉือชิงบ่นพึมพำ
ถึงจะไม่ได้พูดดัง แต่ก็โดนจี้อวี๋ได้ยินเข้าจนได้ นางมองโม่หลานอย่างตะลึง “มีคนชอบหญิงกล้าแกร่งเกินชายอย่างเจ้าด้วย?”
โม่หลานถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “เจ้าสิหญิงกล้าแกร่งเกินชาย หากพูดจาเหลวไหลอีก ระวังข้าจะถีบเจ้ากระเด็น”
“ได้สิ มาเลย ใครถีบใครกระเด็นยังไม่แน่สักหน่อย” จี้อวี๋ไม่กลัวเลยสักนิด
“ใครกล้าถีบโม่หลานกระเด็น ข้าจะฆ่ามันก่อนเลย!” โม่ฉือชิงพูดพึมพำ ยกเท้าเตะไปที่จี้อวี๋
จี้อวี๋ไม่แยแสเลย รีบหลบทันที
เพราะว่าดื่มมากเกินไป เท้านั้นของโม่ฉือชิงใส่ไปเต็มแรง ไม่เพียงเตะไม่โดนจี้อวี๋ ยังทำตนเองล้มลงพื้น และล้มเสียหน้าแนบพื้น
“อ๊าก เจ็บนัก!”
“ฮะฮะ เฉินอ๋องนี่ท่านกำลังปกป้องโม่หลานหรอ มันทำให้ข้าต้องมองท่านใหม่จริงนะ” จี้อวี๋เย้าแหย่ ท่าทางราวกำลังดูเรื่องสนุก
โม่ฉือชิงถึงลุกขึ้นมาจากพื้น คว้าแขนโม่หลานไว้พลัน “โม่หลาน นางรังแกข้า”