จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 709 โอกาสมาแล้ว
โม่หลานคิดอย่างนี้ในใจ พลางเอนตัวลงพักผ่อน แต่พลิกไปพลิกมายังไงก็หลับไม่ลง
หูแว่วคำพูดพวกนั้นของโม่ฉือชิงตลอด ทำไมตนเองจำไม่ได้เลยว่าเขาเคยให้ของตนมากมายขนาดนี้
โม่หลานรู้สึกหงุดหงิด ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ ในนั้นเก็บของที่ปกตินางไม่ค่อยได้ใช้เอาไว้
สาวใช้ด้านนอกได้ยินเสียง พุ่งเข้ามาทันที “คุณหนู ลุกขึ้นมาทำไมรึเจ้าคะ?”
“เจ้ามาก็ดีแล้ว ก่อนหน้านี้เฉินอ๋องเคยส่งของมาให้ข้ามากมายใช่หรือไม่?” โม่หลานถาม
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู สองปีมานี้เฉินอ๋องส่งของมาให้ทุกๆสามถึงห้าวัน แต่ส่วนมากท่านอยู่แต่ในค่ายทหาร ดังนั้นข้าเลยรวบรวมไว้ และของมีมากเกินไป ในห้องเก็บไม่ได้แล้ว เลยเอามารวมกันไว้ในห้องเก็บของข้างๆ ทำไมท่านถามเรื่องนี้ล่ะเจ้าคะ?” สาวใช้ไม่เข้าใจ
“ไม่เป็นไร ข้าแค่นอนไม่หลับ เลยอยากเก็บข้าวของ” โม่หลานหาข้ออ้าง
“จะเก็บอะไร ให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่?”
“ไม่ต้อง เจ้าไปนอนเถอะ ข้าจะหาของพอดี” โม่หลานบอก
“ได้ เช่นนั้นคุณหนูพักผ่อนไวๆนะเจ้าคะ”
พอสาวใช้ออกไป โม่หลานเดินไปห้องเก็บของข้างๆ พอเห็นของที่วางเต็มตู้หลายตู้ในนั้น แม้แต่บนพื้นก็วางเต็ม โม่หลานตะลึงตาค้างเลย
“มากขนาดนี้ โม่ฉือชิงจะยกจวนเฉินอ๋องมาที่นี่หรือไง?”
โม่หลานวางตะเกียงลงที่หนึ่ง จากนั้นหยิบกล่องพวกนั้นมาเปิดดู มีเครื่องกระเบื้อง ภาพวาด เพชรนิลจินดา หยกลายคราม ยังมีมีดสั้น ปืนผาหน้าไม้ อาวุธลับ——
เป็นอย่างที่โม่ฉือชิงพูดจริงๆ เขาให้ของตนบ่อยๆ แต่นางกลับไม่เคยสนใจเลย ก่อนหน้านี้สาวใช้มารายงาน โม่หลานก็แค่บอกให้หาที่เก็บซะ ไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ตอนนี้มาเห็นของพวกนี้ ในใจโม่หลานสับสนไปหมด นางเริ่มเชื่อคำพูดของโม่ฉือชิงแล้ว
แต่มันน่าตะลึงสำหรับนางมากเกินไป เมื่อก่อนเป็นสหาย แต่พอมาเห็นของเต็มห้องเยี่ยงนี้โม่หลานไม่รู้จะเผชิญหน้าโม่ฉือชิงอย่างไรดีแล้ว
เช้าวันต่อมา
โม่หลานมุ่งตรงไปยังจวนซื่อจื่อ นางไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ไปปรึกษาหยุนถิง
พอหยุนถิงได้ยินว่า โม่ฉือชิงสารภาพรักกับโม่หลาน ก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก นางมองออกนานแล้วว่า ท่าทีของโม่ฉือชิงที่มีต่อโม่หลานนั้นไม่ธรรมดา
เพียงแต่พอได้ยินว่าโม่หลานทำจนโม่ฉือชิงสลบ ก็อดหัวเราะขันออกมาไม่ได้ว่า “เจ้านี่จริงๆเล้ย ข้าล่ะเห็นใจโม่ฉือชิงนัก”
“หยุนถิง เจ้ารีบช่วยข้าคิดเร็ว ต่อไปข้าจะทำยังไงดีล่ะ?” โม่หลานร้อนใจนัก
“เรื่องความรักเป็นเรื่องของพวกเจ้าสองคนเท่านั้น ข้าช่วยไม่ได้หรอก ต้องดูความคิดของพวกเจ้าเอง เจ้าชอบโม่ฉือชิงหรือไม่?” หยุนถิงถาม
โม่หลานส่ายหัวบอก “ไม่ชอบ”
“เช่นนั้นเจ้ารังเกียจเขาหรือไม่?”
“ไม่มีนะ”
“ได้แล้วนี่ ไม่รังเกียจแสดงว่าพวกเจ้าสามารถลองเรียนรู้กันดูได้ เมื่อก่อนเจ้าเห็นเขาเป็นแค่สหาย ต่อไปก็ลองเรียนรู้กันดู การคบหาระหว่างชายหญิงแบบนั้นน่ะ” หยุนถิงอธิบายอย่างจริงจัง
โม่หลานเป็นคนนิสัยโผงผางอารมณ์ร้อน นอกจากทำศึกแล้วไม่สนใจเรื่องอื่นเลยสักนิด ดังนั้นหยุนถิงถึงได้พูดออกมาอย่างชัดเจน
“อย่าเลยน่า ข้ากับเขาน่ะเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด เขานะอ่อนแอยกอาวุธยังไม่ไหว แถมยังช่วยข้าทำศึกก็ไม่ได้ เอาเขามาทำอะไร?” โม่หลานเบ้ปาก
“จะพูดเช่นนี้ไม่ได้นะ ถึงโม่ฉือชิงจะไม่เป็นวรยุทธ์ ไม่มีฝีมือ แต่เขาชำนาญการค้าขายและจัดการ แถมยังรู้จักพลิกแพลง ข้าร่วมมือทำการค้ากับเขาน่ะได้กำไรไม่เลวเลยนะ
ฝ่าบาทเองก็เอาการค้าของราชวงศ์แห่งแคว้นต้าเยียนให้โม่ฉือชิงดูแลจัดการ เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเลย คนเราน่ะมีด้านที่ถนัดแตกต่างกัน ดังนั้นจะเหมารวมหมดไม่ได้ อันที่จริงข้าว่าเขากับเจ้าเหมาะสมกันมากนะ พวกเจ้าทั้งสองน่ะเติมเต็มซึ่งกันและกันนะ” หยุนถิงบอก
“ข้าไม่เชื่อหรอก บางทีเขาอาจจะแค่พูดจาเลื่อนเปื้อนเพราะเมาเหล้าก็ได้ ข้ายังมีงานที่ค่ายทหาร ข้าไปก่อนล่ะ” โม่หลานพูดจบ ก็ออกไปเลย
หยุนถิงมองตามฝีเท้าเร่งรีบของนางแล้ว หัวเราะขันอย่างหน่ายใจ
หลันซานเดินเข้ามาจากด้านนอก ในมือถือสมุดบัญชีและจดหมายลับ “นี่เป็นบัญชีของร้านขายยา และก็จดหมายลับที่ส่งมาจากแคว้นเป่ยลี่ ท่านดูสิ”
หยุนถิงรับมาเปิดดู “ทำได้ไม่เลว ลำบากเจ้าแล้วนะ”
“เกรงใจอะไรข้าล่ะ เมื่อครู่ข้าผิดสังเกตสีหน้าโม่หลาน นางเป็นกระไรรึ?” หลันซานถาม
“โม่ฉือชิงสารภาพความในใจกับนาง นางรับไม่ได้ชั่วขณะน่ะ”
“พี่ชายสี่ชอบโม่หลาน?” หลันซานสีหน้าตกตะลึง
แต่คิดๆก็จริง หลายปีมานี้พี่ชายสี่พยายามทำการค้าตลอด ข้างกายไม่มีสตรีใดเลย องค์ชายคนอื่นแต่งชายาเอกชายารองกันไปนานแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังโดดเดี่ยวไร้คู่
“ใช่ไง ดูท่าต้องช่วยพวกเขาแล้วล่ะ” หยุนถิงบอก
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันสิ้นเดือนที่ทำการตรวจสอบการฝึกฝนของค่ายทหารแล้ว ทุกปีจะเป็นฝ่าบาทนำขุนนางและเหล่าองค์ชายไปตรวจตรา บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาส” จวินหย่วนโยวที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่พูดถูกแล้ว แบบนี้โม่หลานก็ไม่ต้องออกจากค่ายทหาร โม่ฉือชิงก็ไปได้ จะได้สร้างโอกาสให้พวกเขาทั้งสองพอดีเลย” หยุนถิงเห็นด้วย
“ซื่อจื่อเฟย ท่านมีความคิดอะไรแล้วใช่หรือไม่?” หลันซานถาม
“อืม ข้าคิดอะไรสนุกๆขึ้นมาได้ หวังว่าจะช่วยพวกเขาทั้งสองนะ” หยุนถิงรีบเรียกรั่วจิ่งมา กำชับเขาสองสามคำ รั่วจิ่งพุ่งเข้าวังทันที
อีกด้านหนึ่ง จี้อวี๋ตั้งใจตื่นเช้ามาก มุ่งตรงไปยังจวนเฉินอ๋อง
เมื่อคืนตอนโม่ฉือชิงโดนส่งตัวกลับมา สะลึมสะลือยังหลับฝันอยู่ ก็โดนพ่อบ้านเรียกให้ตื่น
“พ่อบ้านเจ้าอยากโดนลงโทษงั้นรึ ข้าเกลียดการโดนรบกวนที่สุดเวลานอนน่ะ” โม่ฉือชิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ โดยไม่ลืมตาขึ้นด้วยซ้ำ
“กว่าเจ้าจะตื่น โม่หลานก็หนีไปแล้ว” จี้อวี๋ที่อยู่หน้าประตูเบ้ปากบอก
โม่ฉือชิงลืมตาพรวดขึ้นทันที “เจ้าว่ากระไรนะ?”
“เรื่องเมื่อคืน เฉินอ๋องจำไม่ได้แล้วรึ?” จี้อวี๋ย้อนถาม
โม่ฉือชิงถึงนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนเขาดื่มหนักไปหน่อย ตอนออกจากวังเจอกับโม่หลานเข้า เหมือนจะพูดอะไรกับโม่หลานเยอะมาก แต่พูดอะไรนั้นเขาจำไม่ได้แล้ว
“ไอ้หยา คอข้าทำไมขยับไม่ได้ล่ะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เมื่อคืนท่านอาศัยความเมาจูบโม่หลาน โดนโม่หลานซัดหมัดใส่จนสลบไป” จี้อวี๋ตอบ
คราวนี้โม่ฉือชิงบื้อไปเลย “ข้า ข้าจูบโม่หลาน เป็นไปได้ยังไงกัน?”
“ข้าเห็นกับตาตนเองเลยนะ นางกำนัลและขันทีในวังก็เห็นกันหมด เฉินอ๋องคงมิใช่ว่าไม่คิดจะรับผิดชอบกระมัง?” จี้อวี๋ถามสีหน้าเย็นชา
“ข้ามีหรือจะไม่รับผิดชอบ ข้าช่างกล้าจริง กล้าจูบโม่หลาน ฮะฮะ ข้าจูบนางแล้วจริงๆ ตอนนั้นโม่หลานทำอย่างไรรึ นางดีใจหรือไม่?” โม่ฉือชิงถามอย่างตื่นเต้น
จี้อวี๋เหลือบตามองบน “นางไม่ดีใจ และโกรธมาก ซัดหมัดอัดท่านไปนี่แหละ”
“ฮะฮธ สมเป็นนาง”
พอเห็นโม่ฉือชิงที่หัวเราะเสียงดัง จี้อวี๋ทำหน้าราวกับเห็นคนบ้า “เฉินอ๋อง นี่ท่านบ้าไปแล้วรึ?”
“เจ้าจะรู้อะไร ข้าดีใจต่างหาก นังหนูนั่นน่ะเกลียดความชั่วร้ายที่สุด นางแค่ทำให้ข้าสลบ ไม่ได้ฆ่าข้า แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่ายั้งมือไว้แล้ว แสดงว่าในใจนางก็มีข้าเหมือนกัน”
“เอาเถอะ เดิมข้ายังเป็นห่วงกลัวท่านจะเสียกำลังใจ ตอนนี้ดูแล้วข้าคิดมากไปเอง ขอตัวล่ะ” จี้อวี๋หมุนตัวจะกลับ
“ไม่สิ เจ้าไม่ถูกกับโม่หลานมิใช่รึ ทำไมจู่ๆก็เป็นห่วงเรื่องของข้ากับนางขึ้นมาล่ะ มีแผนการร้ายอะไรกันแน่?”