จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 942 ช่วยนวดไหล่ให้ข้าหน่อย
ในจวนซื่อจื่อ
หยุนถิงหันมองโหลวซิงเจ๋อ “ตอนนี้เจ้าพูดได้แล้วกระมัง”
“เกี่ยวกับของที่ข้าให้เจ้าครั้งก่อน ข้าสืบได้เบาะแสมา แต่ข้าไม่กินไม่ดื่มเร่งเดินทางมาตลอด ตอนนี้หน้ามืดตาลาย ไม่มีเรี่ยวแรงพูด!” โหลวซิงเจ๋อแสร้งหาข้ออ้าง
หยุนถิงมองออกว่าหมอนี่จงใจกลั่นแกล้งตน แต่ก็ยังให้พ่อบ้านตระเตรียมอาหาร
จวินหย่วนโยวขมวดคิ้ว หมอนี่ให้อะไรกับหยุนถิง ทำไมครั้งก่อนนางไม่ได้บอกตน แต่จวินหย่วนโยวก็ไม่ได้โกรธ เขามองโหลวซิงเจ๋ออย่างเย็นชา และหมุนตัวเดินจากไป
โหลวซิงเจ๋อกินสวาปามยกใหญ่ กินอิ่มหมีพีมัน บอกอีกว่าจะพักผ่อน ทำเอาหยุนถิงรำคาญ ควักเข็มเงินออกมาทันที
“ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ ยังไงข้าก็เป็นคนบ้านแม่ของเจ้า เจ้าใช้เข็มเงินกับข้าเช่นนี้ไม่ดีกระมัง?” โหลวซิงเจ๋อย้อนถาม
“งั้นเจ้าเอาแต่เล่นแง่บ่ายเบี่ยงแบบนี้เหมาะสมแล้ว” หยุนถิงย้อนถาม
“รีบร้อนอะไรเล่า ข้ายังไม่แน่ใจไง รอแน่ใจแล้วค่อยบอก กินอิ่มดื่มพอก็อยากนอนแล้ว” โหลวซิงเจ๋อบอกอย่างหน้าไม่อาย
หยุนถิงสงสัยทันทีว่า หมอนี่คงไม่ได้ตั้งใจมาหลอกนางหรอกนะ นางหมุนตัวออกไปเลย
หลายวันต่อมา โหลวซิงเจ๋อยังถือว่าอยู่สงบเสงี่ยมในจวนซื่อจื่อดี เขาไปหาพ่อบ้านขอห้องรับรองห้องหนึ่ง วันๆไม่นอนก็กิน
เห็นแก่ที่เขาให้ป้ายหยกชิ้นนั้นกับตนมา หยุนถิงเลยไม่ได้ไล่เขาไป
ตอนกลับมา หยุนถิงเลยส่งคนออกไปสืบเรื่องป้ายหยก เพียงแต่นางใช้หูตาทั้งหมดในสี่แคว้น ก็ยังสืบข่าวและที่มาของป้ายหยกนี้ไม่ได้ มันทำให้หยุนถิงอดสงสัยไม่ได้ว่า ป้ายหยกนี้จะเป็นของปลอมหรือไม่ก็เขาให้มางั้นๆหรือเปล่า
“ถิงเอ๋อร์ โหลวซิงเจ๋อผู้นี้ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ดึกดื่นทุกคืนก็มักจะออกไปข้างนอก องครักษ์เงามังกรยังตามไม่ทันจนหลุด เห็นได้ชัดว่าฝีมือเขาไม่ธรรมดา เจ้าต้องระวังเขาไว้นะ” จวินหย่วนโยวเตือน
หยุนถิงพยักหน้า “ขอเพียงเขากล้าทำร้ายคนในจวน ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่”
“อืม วางใจเถอะ มีข้าอยู่นะ อีกไม่กี่วันก็เทศกาลชีซีแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราพาลูกๆไปเดินเที่ยวกันเถอะ” จวินหย่วนโยวเสนอ
หยุนถิงขมวดคิ้ว “ท่านพี่ ท่านกับข้าน่ะมีลูกแล้วนะ ไปเทศกาลชีซีจะเหมาะสมรึ?”
ปกติมีแต่ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานถึงไปงานเทศกาลแบบนี้ หวังว่าจะได้เจอคนที่พอใจ หรือเจอคนที่เป็นลิขิตคนนั้น
“ไม่เหมาะสมตรงไหน เจ้ากับข้ารักใคร่ต่อกัน และมีลูกชายหญิงที่น่ารักคู่หนึ่ง พวกเราถือเป็นแบบอย่างของชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานพวกนั้น พวกเขาอิจฉาแทบไม่ทันน่ะ” จวินหย่วนโยวบอกอย่างภูมิใจ
“พูดไปก็จริง ถึงเวลานั้นก็ไปเดินเล่นกัน”
………………………
อีกด้านหนึ่งโม่เหลิ่งเหยียนนำกองทหารห้าหมื่นนายเร่งเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดจนไปถึงเมืองชิ่งหรวนในอีกครึ่งเดือนให้หลัง
เขาไม่ได้ให้คนเข้าเมืองไปโดยตรง แต่กลับสลายกองทหารห้าหมื่นนายลง เหลือทหารหนึ่งหมื่นนายตั้งค่ายพักอยู่ห่างจากเมืองชิ่งหรวนออกไปห้าสิบเมตร ส่วนคนอื่นก็ปลอมตนเป็นขบวนเดินทางหลายกลุ่มดักซุ่มอยู่ในที่มืดรอบเมืองชิ่งหรวน
“ท่านอ๋อง พวกเราจะเข้าไปสืบเรื่องราวในเมืองดีหรือไม่?” โม่จิ่วคนสนิทเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง ขบวนใหญ่ขนาดพวกเรามาที่นี่ คนในเมืองชิ่งหรวนต้องรู้แน่ ทุกคนรีบตั้งค่ายพักแรมซะ แต่ไม่พักผ่อนที่นี่ คืนนี้พวกเราจะรอปลามาติดเบ็ดกัน” โม่เหลิ่งเหยียนออกคำสั่ง
“ขอรับ!” เหล่าทหารทำตามทันที
ซวนอ๋องเป็นเทพสงครามที่สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งสี่แคว้น ไม่เคยรบแพ้เลยสักครั้ง ทุกคนยิ่งเลื่อมใสเขาอย่างที่สุด ดังนั้นคำสั่งของซวนอ๋องลงมา ทุกคนก็รีบทำตามทันที
พอทุกคนเตรียมการเสร็จ ก็หลบเข้าไปในป่าใกล้เคียง พอตกดึกก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งมาลอบโจมตีจริงๆ
“ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ!” พอโม่เหลิ่งเหยียนสั่งเสร็จ กลุ่มคนที่เฝ้าดักซุ่มก็พุ่งออกไปฆ่าคนที่มาลอบโจมตีหมดไม่มีเหลือ
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เลือดไหลเจิงนอง มีคนที่มาลอบโจมตีหลายคนคิดหลบหนี เหล่าทหารตามไม่ทัน แต่องครักษ์ลับของหอดวงจันทร์ตามไปตลอด และใช้อาวุธที่ซื่อจื่อเฟยให้พวกเขาจัดการกำจัดทิ้งอย่างเงียบเชียบ
เหล่าทหารรีบสลายพื้นที่ทันที โม่จิ่วคนสนิทบอก “ท่านอ๋องช่างคาดการณ์แม่นยำนัก มีคนมาลอบโจมตีจริงๆด้วย ตอนนี้พวกมันถูกฆ่าหมดแล้ว ไม่มีใครรอดเลย”
“ถอดเสื้อผ้าคนพวกนี้ออกมาให้หมด ให้คนของเราเปลี่ยนซะ ตามข้าเข้าเมืองไปพบเจ้าเมืองสักหน่อย!” โม่เหลิ่งเหยียนสั่งเสียงเย็น
“ขอรับ!”
แบบนี้ก็ไม่โดนคนพวกนั้นระแวงแล้ว กลับจะสะดวกขึ้นมาก
มาเต็มหลายร้อย โม่จิ่วเลือกบางตัวมาเปลี่ยน และตามโม่เหลิ่งเหยียนเข้าเมืองชิ่งหรวน คนอื่นตั้งค่างรอด้านนอกต่อไป
หน้าประตูเมือง ทหารยามเห็นคนชุดดำมา ก็รีบสกัดไว้ “ใครกัน?”
โม่เหลิ่งเหยียนควักป้ายคำสั่งที่ค้นได้จากตัวคนชุดดำพวกนั้นออกมายื่นให้ “พวกเราออกไปทำภารกิจตามคำสั่งของท่านเจ้าเมือง เปิดประตู!”
โม่เหลิ่งเหยียนพาทุกคนเข้าเมืองอย่างเปิดเผย เดินไปได้ไกลมาก จนถึงตรอกซอยที่ห่างไกลผู้คนสายหนึ่ง โม่เหลิ่งเหยียนถึงเอ่ยขึ้น
“เหลือคนไปครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในเมืองไว้ รอสัญญาณจากข้า เพื่อป้องกันไว้ก่อน คนอื่นตามข้าไปจวนเจ้าเมือง!”
ทุกคนรีบหลบซ่อนตัวแหล่งใกล้ๆทันที ส่วนโม่เหลิ่งเหยียนพาพวกโม่จิ่วมุ่งตรงไปจวนเจ้าเมืองทันที
ทหารยามสองคนหน้าประตูจวนเจ้าเมืองพอเห็นพวกโม่เหลิ่งเหยียน ก็รีบถามทันทีว่า “ใต้เท้าเฟยอู่ พวกเจ้าทำไมกลับมาเร็วนักล่ะ?”
“ภารกิจเสร็จก็กลับมาน่ะสิ” โม่เหลิ่งเหยียนบอกเสียงเย็น
ทหารยามคนนั้นขมวดคิ้ว มองสำรวจโม่เหลิ่งเหยียนทันที “เจ้าไม่ใช่ใต้เท้าเฟยอู่ เจ้าเป็นใครกันแน่?”
โม่เหลิ่งเหยียนไม่ได้ลนลาน ดวงตาเย็นเยียบมองเขาอย่างเย็นชา “ข้าเป็นองครักษ์ลับคนสนิทของท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองกลัวเฟยอู่ทำงานไม่สำเร็จ เลยส่งข้าไปคอยช่วยอย่างลับๆ ทำไม ข้ายังต้องรายงานทหารยามเฝ้าประตูอย่างเจ้าด้วยรึ?”
เย็นชาทรงอำนาจ บรรยากาศดูแข็งแกร่งนัก มีกลิ่นอายอันตรายลอยอยู่ในอากาศ ทหารยามคนนั้นตกใจตัวสั่นเทา ไม่กล้าสงสัยอะไรอีก และให้พวกเขาเข้าไปทันที
พวกโม่จิ่วที่เดินตามหลังเลื่อมใสในตัวท่านอ๋องยิ่งนัก เมื่อครู่พวกเขาเตรียมใจโดนจับได้และต่อสู้กันยกใหญ่แล้วแท้ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องพูดไม่กี่คำก็เรียบร้อยแล้ว เก่งกาจจริงๆ
โม่เหลิ่งเหยียนก้าวเท้ายาวเข้าไป ถึงเขาจะมาที่จวนเจ้าเมืองเมืองชิ่งหรวนครั้งแรก แต่ก่อนมาที่นี่หอดวงจันทร์ได้วาดแปลนของจวนเจ้าเมืองเมืองชิ่งหรวนมาให้แล้ว ดังนั้นโม่เหลิ่งเหยียนเลยมุ่งตรงไปห้องเจ้าเมืองทันที
ด้านนอกเรือน มีแค่คนรับใช้สองคนเฝ้าอยู่ โม่เหลิ่งเหยียนและโม่จิ่วซัดคนรับใช้จนสลบอย่างง่ายดาย และผลักประตูเข้าไป
ในห้องจุดเทียนสีแดงไว้ แสงเทียนอ่อนบาง ในม่านผ้าไหม สตรีชุดแดงนางหนึ่งกึ่งเอนกึ่งนอนพิงเตียงอยู่ ชุดผ้าไหมแดงคลุมร่างส่องให้เห็นเรือนร่างอรชรของนาง ส่วนเว้าส่วนโค้ง อรชรอ้อนแอ้น นางหลับตาพริ้ม ท่าทางของนางนั้นดูขี้เกียจแต่เย้ายวน ประหนึ่งปีศาจสาวสวย ทำให้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
“จิ่งเอ๋อร์ ช่วยนวดไหล่ให้ข้าหน่อย!” สตรีชุดแดงพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ขนาดโม่จิ่วยังเอามือปิดจมูกทันควัน เขาเลือดกำเดาไหลออกมาเสียอย่างนั้น
ส่วนโม่เหลิ่งเหยียนสีหน้าเย็นชา ก้าวเท้าเข้าไปช้าๆ ทำทีจะช่วยนวดไหล่ให้นาง และคว้าคอหอยนางหมับไว้ทันที
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องฆ่าเจ้าเมือง และยึดครองเมืองชิ่งหรวนไว้ด้วย?”