Ch.12 – สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.12 – สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แม้จะมีรถศึกมาจอดในสถานีนี้ถึงสามคัน แต่ทั้งสามคันก็จุไปด้วยผู้คนเต็มคันรถ
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ภายในช่างแออัด ร่างกายเบียดเสียดกับฝูงชน จนสุดท้ายเขาไม่มีทางเลือก จำต้องถอดเป้สะพายหลังและนำพวกมันไปแขวนไว้บนหลังคารถ
ในสมองเริ่มขบคิดถึงการแก้ปัญหาระยะยาว
‘หากต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งล่าอีกในอนาคต เกรงว่าฉันคงต้องมีรถศึกเป็นของตัวเอง ซึ่งหากเป็นในกรณีนั้น ก็จำต้องจัดตั้งทีมต่อสู้!’
เพราะหากไม่สร้างทีม แล้วเอารถไปจอดทิ้งไว้ มันมีโอกาสหายจากการถูกขโมย หรือโดนทำลายจากรอยแยกมิติที่เปิดออกได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม มีเพียงสิ่งนึงเท่านั้นที่น่าขัดใจ นั่นคือรถที่ว่า มีเพียงเศรษฐีเงินหนาเท่านั้นที่สามารถซื้อได้!
ฉินเฟิงหันไปมองลู่เหมิงที่เวลานี้อยู่ในสภาพอ่อนแอ
สำหรับหวังไคว่และคนอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาเลือกที่จะแยกตัวออกจากฝูงชน ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้อยู่บนรถคันนี้
แต่พอมาลองสังเกตดูดีๆ บรรยากาศในรถมันก็แย่จริงๆ จังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงก็สัมผัสได้ว่า เพื่อนตัวน้อยในกระเป๋าเสื้อของเขาซึ่งกำลังหลับลึก จู่ๆก็เริ่มถีบตัวดิ้นไปมาอย่างกระทันหัน
กระเป๋าเสื้อของฉินเฟิงนั้นใหญ่พอที่จะให้เสี่ยวไป๋ที่ขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือเคลื่อนไหวไปมาได้
“อย่าขยับนะ!”
ฉินเฟิงตบเบาๆลงตรงอก ต้องไม่ลืมนะว่า แม่ของเสี่ยวไป๋น่ะทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นลูกของเธอก็ย่อมต้องได้รับยีนที่แข็งแกร่งมาเช่นกัน -ท่ามกลางสถานการณ์บนรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน หากเสี่ยวไป๋โผล่ออกมา ย่อมเป็นธรรมดาทยี่มันจะกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ซึ่งนั่นคงไม่ใช่เรื่องดี
ไม่ทราบว่ามันตระหนักได้ถึงความคิดของเฉินเฟิงหรือไม่ เสี่ยวไป๋ยอมหยุดซุกซน ขดตัวในกระเป๋าเสื้อเงียบๆดังเดิม
เมื่อจบปัญหานี้ ฉินเฟิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตนเพิ่งจะเพิ่มรายชื่อของคนๆหนึ่งในช่องทางสื่อสาร
เป็นซูซิงฝู!
“สวัสดี ผมมีบางอย่างอยากจะขาย คุณพร้อมจะรับซื้อพวกมันรึเปล่า?” แล้วฉินเฟิงก็จัดการพิมพ์ข้อมูลสินสงครามที่ตนเองได้รับมา และส่งมันผ่านไป
ช่วงเวลานี้ เป็นเวลาราวๆ 6 โมงเช้า ซูซิงฝูยังสลึมสลืออยู่ แต่หลังจากเห็นถึงรายการที่ส่งมาบนเครื่องสื่อสาร ดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ดีดตัวลุกจากเตียงทันที
“รับสิ!”
ซูซิงฝูบังเกิดความรู้สึกสุขใจยิ่ง การที่เขามอบเบอร์ติดต่อให้เจ้าหนุ่มนี่ เป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ
เพราะเวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่วันเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำกำไรต่อกันและกันได้ถึงขนาดนี้
ต้องรู้นะว่า เมื่อวานนี้ซูซิงฝูได้หาไปข้อมูลเพิ่มเติมของฉินเฟิงมาแล้ว และพบว่าเด็กหนุ่มเพิ่งจะได้รับการฉีดยากระตุ้นมาสดๆร้อนๆนี่เอง
แต่ตอนนี้ พอได้เห็นถึงรายชื่อที่ถูกส่งมา ซูซิงฝูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าฉินเฟิงช่างน่าทึ่ง
“แลกเปลี่ยนพวกมันเป็นยาเสริมความแข็งแกร่งเหมือนเดิม!” ฉินเฟิงป้อนข้อมูลที่ต้องการลงไปอีกครั้ง
“เธออยากแลกเปลี่ยนมันเป็นยาเสริมแกร่งเกรด G อีกงั้นหรอ? แต่ถ้าอิงตามรายชื่อวัสดุทั้งหมดนี้ มันจะเป็นจำนวนตั้ง 80 หลอดเชียวนะ? รู้อะไรไหม ว่าต่อให้ฉันสามารถซื้อพวกมันได้ในราคาต่ำ แต่ภายในเดือนเดียว ฉันไม่สามารถซื้อพวกมันได้มากมายถึงขนาดนั้น!”
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย ความจริงแล้วเรื่องจะแลกกับยาเสริมแกร่งเกรด G ทั้งหมดอีกครั้ง เขาเพียงโกหกออกไป เพราะพวกมันไม่ได้มีบทบาทสำคัญใดๆต่อเขา ที่เขาต้องการ แท้จริงแล้วคือเงินที่แสนจะหาได้ยากยิ่งต่างหาก
ในยุคนี้ แม้ว่าทางรัฐบาลกลางจะประกาศให้มีการใช้จ่ายผ่านธนบัตรแล้วก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ ก็ยังเชื่อมั่นในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากับสินค้ามากกว่าอยู่ดี
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ของพวกนั้น ทั้งหมดอย่างไรก็คือของจริง!
“ถ้างั้นก็ขอเปลี่ยนมันเป็น น้ำยาเกรด F!”
ซูซิงฝูลังเลอยู่นาน สุดท้ายกัดฟันตอบ “ก็ได้ ตกลง!”
“แต่ไม่หมดแค่นี้หรอกนะ มีอีกข้อมูลหนึ่งที่ผมยังไม่ส่งไป พอดีว่านอกจากพวกนั้นแล้ว ผมยังมีวัตถุดิบหลายอย่างที่ได้รับมาจากนายพลสัตว์ร้ายอยู่อีก ในส่วนนี้ขอแลกเปลี่ยนมันกับปืนพลังงานจะได้ไหม?”
ซูซิงฝู “ … ”
‘กระทั่งนายพลสัตว์ร้ายก็ยังสังหารลงได้? เจ้าหนูนี่ … มันมีความสามารถมากมายขนาดไหนกันแน่?’
ทว่าสุดท้าย เขาก็กล้ำกลืนความอยากรู้อยากเห็น และเลือกที่จะตอบตกลง
ฉินเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาเพียงเพิ่งจะกลับมาเกิดใหม่ ก็ได้รับหุ้นส่วนทางการค้าที่ยอดเยี่ยมเป็นพันธมิตรซะแล้ว!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถศึกก็เดินทางมาถึงสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ จุดรวมพลก่อนออกไปยังทุ่งล่าอีกครั้ง ฉินเฟิงลงจากรถศึก เดินไปยังรถธรรมดา เปิดประตูนั่งลงบนเบาะหลัง บอกสถานที่ รถก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เหมิงกับหลี่เหยาเหยาที่ตามมา เลยไม่อาจไล่ตามเขาได้ทัน
“เจ้าหมอนี่มันจริงๆเลย จะไปก็ไม่ลา ทั้งๆที่ฉันตั้งใจจะชวนเขาไปดินเนอร์ด้วยกันแท้ๆ!” ลู่เหมิงทำจมูกฟึดฟัด ยกสองมือขึ้นกอดอก ปากบ่นงึมงำ
“ไม่ต้องเสียดายหรอกน่า เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนจากชุมชนทางเหนือของเมือง ถ้าแบบนั้นในอนาคต พวกเราจะต้องได้พบกับเขาอีกแน่นอน!” หลี่เหยาเหยาถอนหายใจ อันที่จริงลึกๆเธอเองก็เสียดาย ในสมองบังเกิดความคิดขึ้นมาว่าในสายตาของฉินเฟิง เขายังคงไม่ไว้วางใจพวกเธออย่างแท้จริง
…
ฉินเฟิงที่อยู่บนรถโดยสาร ไม่ทราบถึงความคิดของทั้งสอง สำหรับเขาแล้ว ตนเพียงช่วยเหลือสองสาวที่พบเจอกันโดยบังเอิญ ยึดถือเป็นแค่ความเมตตา ช่วยแล้วก็จบไป ไม่ต้องการทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กใดๆทั้งสิ้น
บนรถ ซูซิงฝูเฝ้ามองวัตถุดิบสดใหม่ที่ได้รับมาด้วยความตื่นเต้น เขากำลังคำนวณดูว่าผลงานเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นกำไรได้มากมายขนาดไหน
ส่วนฉินเฟิง เจ้าตัวได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ อันได้แก่ ยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด F จำนวน 3 หลอด , ยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G จำนวน 20 หลอด และสุดท้ายเป็นปืนพลังงาน
มูลค่าของยาเสริมแกร่งทั้งหมดที่ได้รับมานี้น่าจะมีค่ารวมๆมากกว่า 400000 เหรียญ ซึ่งมันมีค่าแทบจะพอๆกับทหารสัตว์ร้ายทั้งหมดที่เขาไปล่ามาได้ ในขณะที่ปืนพลังงานมีมูลค่ากว่า 200000 ซึ่งเทียบเท่ากับหมาป่ามาสติฟตัวหนึ่ง
เงินเหล่านี้ สำหรับคนธรรมดาแล้ว มันจำเป็นต้องใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตของพวกเขา ถึงจะเก็บรวบรวมมาได้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งหนุ่มสาวและวัยกลางคนยอมที่จะกระโจนเข้าไปแสวงโชคในทุ่งล่าที่แสนอันตราย เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต โดยแรกเริ่มอาจสังหารแต่สัตว์กลายพันธุ์ธรรมดาๆก่อน จากนั้นก็เก็บรวบรวมวัตถุดิบมาซื้อยาเสริมแกร่ง เพิ่มพลังให้กับตัวเอง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่แน่นอน ว่าในระหว่างกระบวนการ ก็ย่อมมีคนที่ไม่ได้กลับมาอยู่เช่นกัน
“เอาล่ะ รบกวนช่วยส่งผมลงตรงสี่แยกข้างหน้าด้วยนะครับ” ฉินเฟิงกล่าว
“ตกลง แต่อย่าลืมนะ ว่าคราวหน้า ถ้ามีของอะไรดีๆอีก ก็ให้นึกถึงฉัน!”
ซูซิงฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม เวลานี้เขามีความสุขมากที่ได้บรรลุธุรกิจนี้
ฉินเฟิงลงจากรถ และมองดูฝูงชนที่กำลังเดินอยู่ตามท้องถนน
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทราบว่าตนสมควรจะไปที่ใดดี
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ว่าในช่วงเวลานี้ ตนน่าจะต้องกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แน่นอน ว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามิใช่สถานที่ที่สามารถอยู่อาศัยตลอดไป หลังจากอายุครบ 16 ปี และฉีดยากระตุ้นแล้ว เด็กๆก็ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเด็กกำพร้าคนใหม่ได้เข้ามา
แต่ถึงอย่างไร นั่นก็เป็นสถานที่อาศัยของฉินเฟิงในตอนนี้ และเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ว่าตนเองไม่ได้ไปเจอกับผู้อำนวยการมาตั้งนานแล้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็กำหมัดแน่น
เขาเริ่มออกเดินทาง แต่ละก้าวช่างสงบเยือกเย็น มุ่งหน้ามาได้สิบนาที ฉินเฟิงก็เริ่มมองเห็นถึงสิ่งปลูกสร้างที่เบียดกันแน่น ใกล้ชิดกันจนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างให้ใช้สอย
ทว่าภายนอก มันกลับเต็มไปด้วยฝูงชนมากมายที่แลดูไร้ชีวิตชีวา
แต่นั่นมันช่วยไม่ได้ เพราะในชุมชนทางตอนเหนือของเมือง มันไม่ได้มีพื้นที่ให้อยู่อาศัยมากมายขนาดนั้น กล่าวได้ว่า มีแต่คนรวยเท่านั้นถึงจะมีเงินมากพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยดีๆ ขยับเข้าไปใจกลางเมืองได้มากขึ้น ยิ่งใกล้เมือง บ้านเรือนก็จะยิ่งมีหลังใหญ่ ตรงกันข้ามกับนอกเมือง ยิ่งไกล สถานที่อยู่อาศัยก็จะคับแคบลง
ในความเป็นจริง หลายคนรู้ดี ว่านี่คือมาตรการป้องกันชนิดหนึ่ง
เพราะผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่รอบนอก อาจจะประสบกับอันตราย และกลายเป็นโล่คอยรับกระสุนแทนได้ตลอดเวลา
ฉินเฟิงเดินเข้ามาในชุมชน แล้วเขาก็ได้ยินถึงเสียงละเล่นของเด็กเล็กๆ แม้ว่าพื้นที่จะไม่ได้กว้างขวางมากมายอะไร กระทั่งแสงแดดก็ยังส่องมาไม่ทั่วถึง ทว่ามันก็ยังคงมีชีวิตชีวา
นี่คือธรรมชาติของพวกเด็กๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กๆเห็นฉินเฟิง พวกเขาก็หยุดหัวเราะทันที ทุกคนพากันกระเจิง วิ่งเตลิดไปไกล หลบอยู่ในมุม และค่อยๆยื่นหน้าออกมามองชายที่ดูแปลกตา
เนื่องจากฉินเฟิงเพิ่งจะสังหารสัตว์ร้ายไป ตามตัวเขายังมีกลิ่นคาวเลือดติดอยู่ มิต้องกล่าวถึงชุดต่อสู้ที่สวมใส่ในปัจจุบัน เลยเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะรู้สึกไม่คุ้นชินและหวาดกลัว
ฉินเฟิงรูดบัตร และก้าวเข้ามาในตัวตึก
“อ้าว นั่นเขาก็เป็นเด็กกำพร้าด้วยหรอ?”
“แต่เขาดูน่าเกรงขามมากเลยนะ!”
“ชุดของเขาก็ดูไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่ว่าเขามาส่งของอะไรบางอย่างหรอกหรอ?”
“ใช่เนื้อรึเปล่า? แบบนี้พวกเราก็จะได้กินเนื้้อเป็นมื้อเย็นแล้วใช่ไหม!”
กล่าวถึงจุดนี้ น้ำลายก็เริ่มสอ ไหลย้อยลงมาจากปากของเหล่าเด็กน้อย
ฉินเฟิงในเวลานี้ก้าวขึ้นไปถึงเลเวล G2 แล้ว ดังนั้นหูของเขาย่อมดีกว่าคนธรรมดาถึง 2 เท่า เลยสามารถได้ยินเสียงสนทนาของเด็กๆได้
“ฉันลืมนึกถึงเรื่องพวกนั้นไปเลย เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ ฉันจะเอาอะไรติดไม้ติดมือกลับมาให้พวกเธอเอง!”
ฉินเฟิงงึมงำ ก้าวขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอน
ในห้องนอน ถูกวางไว้ด้วยเตียงสองชั้นสี่เตียง สำหรับพักอาศัย 8 คน แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่นี่
และหนึ่งในนั้นก็มีเฉินหมิงรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
ฉินเฟิงหันไปดูเวลา และพบว่าเป็น 7 โมงเช้า ดังนั้น คาดว่าคนอื่นๆในห้องน่าจะไปออกกำลังกาย เพราะหลังจากตื่นขึ้นมา นี่คือหนึ่งในกิจวัตรสำคัญที่ต้องทำ