โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 36

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.36 – มือกระดูกยักษ์

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.36 – มือกระดูกยักษ์

รูนมืดที่แต่เดิมอยู่ห่างจากฉินเฟิงเป็น 100 เมตร ถูกดูดกลืนเข้ามา ลากยาวจนดูคล้ายกับหางมังกร

ฉินเฟิงรู้สึกเพียงว่ามีรูนมืดจำนวนมากพุ่งเข้ามาในจักรวาลแห่งจิตสำนึกของเขา และจมหายเข้าไปในดาวเคราะห์เพชร

รูนมืดเริ่มปกคลุมดาวเคราะห์เพชร แต่แน่นอน มันไม่แตกต่างไปจากนกที่เกาะลงบนยอดภูเขาน้ำแข็งเลย -รูนพวกนี้ทำได้เพียงปกคลุมเศษเสี้ยวของดาวเคราะห์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของมัน ก็ยังทำให้ฉินเฟิงตกตะลึงอยู่ดี

“ฉันได้รับรูนมืดมามากถึง 10,000 !”

ด้วยการดูดกลืนเพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นรูนนับหมื่นอย่างกระทันหัน ซึ่งหากเทียบเปรียบกับไอเท็มแล้ว มันคือไอเท็มธาตุระดับ D !

ยิ่งไปกว่านั้น บนท้องฟ้ายังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งชั้นอากาศทั่วบริเวณ มันยังคงฟุ้งไปด้วยริ้วควันของรูนมืด ผุดออกมาจากศิลานรกอย่างต่อเนื่อง!

ฉินเฟิงตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยพิบัติที่จะทำให้พวกสัตว์ร้ายติดเชื้อ เปลี่ยนพวกมันกลายเป็นไวรัสเคลื่อนที่!

“ฉันจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้!”

เมื่อย้อนคิดไปถึงหายนะในชีวิตก่อนหน้าที่เกิดขึ้น หายนะที่ปลิดชีวิตบริสุทธิ์ของเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างน่าอนาถ ฉินเฟิงก็เริ่มโกรธแค้น คำรามด้วยความดุดัน

เขาสับฝีเท้า พุ่งตรงไปยังที่ตั้งของอุกกาบาต

เมื่อมาถึง ฉินเฟิงก็ต้องตกตะลึงสุดขีด!

ตรงตำแหน่งดังกล่าว ในหลุมที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 50 เมตร มันยุบตัวลงโดยมีศิลานรกกำลังนอนนิ่งอยู่ใจกลางอย่างเงียบๆ

ไม่มีใครรู้ถึงที่มาของศิลานรก เพราะท้ายที่สุดแล้ว รอยแยกมิติคือสิ่งที่ไม่แน่นอน มันยังมีปริศนาอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ

อย่างไรก็ตาม อีกซีกด้านหนึ่งของโลก ในตะวันตกแผ่นดินใหญ่ เคยปรากฏศิลานรกขนาดเท่าเล็บมือร่วงตกลงไปใจกลางเมือง

และเมื่อนั้น จุดจบของเมืองทั้งเมืองก็เริ่มต้นขึ้น!

ทั่วทั้งเมืองเกิดการติดเชื้อ กลายเป็นซากศพเน่าเปื่อย -เพราะอิทธิพลกับแรงบรรดาลใจจากตรงจุดนี้นี่เอง ที่ก่อให้เกิดชุดภาพยนต์ซอมบี้ในศตวรรษที่ผ่านมา!

เมืองจมลงสู่ขุมนรก และศิลานรกก็เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ในตอนนั้นเอง

จวบจนกระทั่งในเวลานี้ เมืองทั้งเมืองที่ว่าก็ยังคงอยู่ มันกลายเป็นอาณาจักรซอมบี้ที่มีจักรพรรดิสัตว์ร้ายคอยปกครอง

แต่ตอนนี้ ศิลานรกที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา —มันมีขนาดเท่ากำปั้น!

หัวใจของฉินเฟิงเต้นครึกโครม

ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ศิลานรกคือการรวมตัวกันของรูนธาตุมืดจำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของภัยพิบัติสำหรับคนอื่นๆ … หากแต่สำหรับเขา มันคือยาบำรุงกำลังชั้นดี!

ฉินเฟิงก้าวลงไปในหลุม และยืนอยู่ห่างจากศิลานรกราวๆ 5 เมตร

ใกล้ขนาดนี้ ฉินเฟิงสามารถมองเห็นถึงรูปลักษณ์ของศิลานรกได้อย่างชัดเจน นี่มันดูเหมือนจะแตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาเล็กน้อย ตัวศิลานรกนี้มีขนาดเท่ากำปั้น มันถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงที่อยู่รอบๆ พื้นดินที่รองรับเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว เกรงว่าคงจะถูกหลอมจนกลายเป็นลาวาโดยเปลวไฟนี้

ฉินเฟิงไม่มัวเสียเวลาลังเลอีกต่อไป!

“ดูดกลืน!”

พริบตานั้นพลังพิเศษของฉินเฟิงพลันปะทุออกมาอย่างรุนแรง ราวกับปรากฏปากที่มองไม่เห็น ดูดกลืนก้อนศิลานรกลงไป

วินาทีต่อมา ศิลานรกก็เหือดหาย รูนสีดำรอบๆมันก็ไม่ปรากฏเพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันรูนมืดที่กระจายอยู่โดยรอบก็ค่อยๆหลอมรวมเข้ากับโลก คล้ายกับว่ากำลังจะหายไป

อย่างไรก็ตาม ในตัวของฉินเฟิง เขารู้สึกราวกับว่ามีพายุกำลังก่อตัวขึ้น

ในเวลานี้ ฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องทำสมาธิใดๆ เขาก็สามารถ ‘มอง’ เห็นถึงดาวเทียมขนาดใหญ่ข้างๆกับดาวเคราะห์เพชร ซึ่งเป็นแก่นอบิลิตี้ของเขา

นี่คล้ายคลึงกันกับความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ที่แม้จะอยู่ห่างไกล หากแต่ก็เชื่อมต่อกันและกัน

ซึ่งดาวเทียมที่ว่า ไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็นศิลานรกนั่นเอง

รูนมืดและรูนไฟผุดออกมาจากศิลานรกอย่างต่อเนื่อง เริ่มสลักฝังลงบนแก่นอบิลิตี้ของฉินเฟิง เปลี่ยนแปลงดาวเคราะห์เพชรที่โปร่งใสให้กลายเป็นสีดำและแดง

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ฉินเฟิงยังสามารถรู้สึกได้ว่าการดำรงอยู่ของดาวเทียมศิลานรกนี้ มันมีส่วนช่วยให้ความสามารถในการใช้อบิลิตี้มืดของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นสิบเท่า!

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่บางคนกล่าวว่าศิลานรกคือขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ถึงขั้นท้าทายอำนาจสวรรค์สำหรับผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืด!

“นี่มันร้ายกาจเกินไป! อบิลิตี้ของฉันมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า แถมยังไม่รู้เลยว่ารูนมืดที่ถูกดูดกลืนมามันมีมากมายแค่ไหน!”

ระหว่างที่ฉินเฟิงกำลังมีความสุขอยู่นั้นเอง ในรอยแยกมิติบนท้องฟ้า จู่ๆก็มีนิ้วที่แตกระแหงยื่นออกมาอย่างไม่คาดฝัน

นิ้วดังกล่าวนี้คล้ายกับว่าไม่มีเลือดเนื้อ มันเหี่ยวแห้ง ซีดเซียว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเล็บสีทมิฬอย่างหาที่ใดเปรียบได้

ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็น่าหวาดกลัว!

“แอ๊!” เสี่ยวไป๋ร้องเตือนในทันใด พริบตาต่อมา มันก็ไม่รีรอให้ฉินเฟิงอนุญาติ เปิดใช้งานรูนมิติทันที

“วูบบบบบ!”

ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงหายวับไปจากสถานที่เดิม

นี่คือพลังพิเศษของเสี่ยวไป๋ หลังจากที่มันสามารถวิวัฒนาการขึ้น

มันไม่เพียงแต่จะสามารถเทเลพอร์ตตัวเองได้เท่านั้น หากแต่ยังสามารถใช้กับฉินเฟิงได้ด้วยเช่นกัน

จังหวะเดียวกันนั้นเอง มือซีดๆก็ผุดออกมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า

ช่วงเวลาต่อมา กระดูกแห้งผุนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นใจกลางอากาศ

กระดูกแห้งๆเหล่านั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่อย่างหาที่ใดเปรียบ

ฉินเฟิงจ้องมองฉากทั้งหมดนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง การก่อตัวของมือยักษ์โคตรจะว่องไว แต่หากจะกล่าวว่าเป็นมือ สมควรจะเรียกว่าเล็บ -เป็นกรงเล็บของสัตว์ยักษ์น่าจะเหมาะสมกว่า

กรงเล็บยักษ์ฟาดลงในตำแหน่งเดิมของฉินเฟิงโดยตรง พลังอำนาจของมันไม่ด้อยไปกว่าในตอนที่ศิลานรกกระแทกลงกับพื้นดินเลย

หากมิใช่เป็นเพราะเสี่ยวไป๋ใช้พลังพิเศษของมัน ฉุดดึงตัวฉินเฟิงออกมา เกรงว่าฉินเฟิงคงจะกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว

นี่คือการดำรงอยู่ที่ไม่อาจต้านทานได้โดยสมบูรณ์

จากนั้น กรงเล็บยักษ์ก็คว้าจับดิน ขุดคว้านเป็นหลุมใหญ่

ช่างน่าขนลุกขนพอง!

สยองเกล้าเกินไป!

อำนาจดังกล่าวนี้ เกรงว่าอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือยิ่งกว่าเลเวล S !

กรงเล็บคว้านดินก้อนมหึมา ยกกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ทว่ามือซีดๆที่ครอบครองกรงเล็บดำกลับกระตุกไหว คล้ายกับว่ามันกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ แต่ก็ไม่พบ

ฉินเฟิงตระหนักได้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้น!

ชัดเจนว่าเจ้าของมือซีดเซียวนี้ มันกำลังควานหาศิลานรก!

รอยแยกมิติที่ศิลานรกร่วงตกลงมา มันเล็กเกินไป ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่สามารถเข้ามาได้ มันเลยทำได้เพียงเอื้อมมือข้างหนึ่งลงมา แต่ก็มากพอแล้วที่จะระดมกระดูก ก่อตัวเป็นมือยักษ์ที่น่าหวาดกลัว

น่ากลัวว่าความแข็งแกร่งของการดำรงอยู่ตรงหน้าคงไม่พ้นเลเวล S!

และในระดับภัยคุกคาม น่าจะเป็นเลเวล S ระดับจักรพรรรดิสัตว์ร้าย!

อย่างที่คิด พอในมือของมันไม่พบศิลานรก พริบตานั้นเสียงกรีดร้องสยดสยองก็แผดขึ้นทันใด

“ใครบังอาจแตะต้องศิลาศักดิ์สิทธิ์ของข้า!”

“ซวยแล้วไง!”

ในดวงตาของฉินเฟิง เห็นแค่เพียงในรอยแยกขนาดเท่ากำปั้น ปรากฏมืออีกข้างหนึ่งแทรกออกมา รวมพลังกับอีกมือหนึ่ง คว้าจับขอบรอยร้าวซ้ายขวาที่แตกระแหงดั่งใยแมงมุม คล้ายกับว่าต้องการจะฉีกมันเปิดช่องให้กว้างมากกว่าเดิม

เห็นได้ชัดว่าตัวตนดังกล่าวตั้งใจที่จะฝ่ารอยแยกมิติออกมา เพื่อควานหาตัวผู้ร้ายอย่างฉินเฟิง

“ฉันจะปล่อยมันออกมาไม่ได้!”

ฉินเฟิงรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะวิ่งหนี ในเวลานี้ การดำรงอยู่ของอีกฟากฝั่งรอยแยกย่อมไม่ด้อยไปกว่าเลเวล S นี่ไม่ใช่ตัวตนที่เขาจะสามารถหลบหนีไปได้

แต่ฉินเฟิงเองก็ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่เฉยๆเช่นกัน

ฉินเฟิงเปิดช่องทางสื่อสาร และทำการส่งข้อมูลการวิเคราะห์จากรถล่องเวหาที่ประกาศแจ้งเตือนก่อนหน้านี้ออกไปทันที

“รายงานไปยังสถานีอวกาศเมืองเฉิงหยาง ว่าพบรอยแยกมิติปรากฏขึ้นในตำแหน่งทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างออกไป 300 กิโลเมตร! นอกจากนี้ยังมีพลังงานมหาศาล และยังปรากฏสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าอยู่ในเลเวล S หวังว่าทางสถานีจะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว และรีบปิดรอยแยกมิตินี้ทันที!”

ในโลกมนุษย์ หลังจากรอยแยกมิติปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อความอยู่รอดของสภาพแวดล้อม จึงบังเกิดการสรรสร้างเทคโนโลยีชั้นสูงขึ้น -มนุษย์ชาติได้พัฒนาอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ และสร้างทฤษฏีมิติทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา

รอยแยกเป็นผลิตภัณฑ์ของธรรมชาติที่เกิดการก่อตัวขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีความเสถียร แต่ไม่นานก็จะหายไป

ก็เหมือนกับร่างกายมนุษย์นั่นแหละ ทันทีที่เกิดบาดแผล หากปล่อยทิ้งไว้ บาดแผลที่ว่าก็จะหายไปเอง

แต่หากในช่วงเวลาที่เกิดบาดแผล มีคนให้ยารักษา หรือเย็บแผลแล้ว แผลก็จะยิ่งหายไปเร็วกว่าเดิมจริงไหม?

และสิ่งที่ใช้รักษาแผล(รอยแยกมิติ) ก็คืออุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิตินั่นเอง

สิ่งที่ฉินเฟิงต้องทำต่อจากนี้ คือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสถานีมิติ

ดังนั้น เขาจึงรายงานเรื่องนี้ไปยังเมืองเฉิงหยางโดยตรงแทนที่จะส่งให้กับสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ เพราะอุปกรณ์มิติในสถานที่แห่งนั้น มันไม่ทรงพลังเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และฉินเฟิงเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะสามารถต้านทานมันได้หรือไม่

แต่เวลาไม่เคยจะรีรอใคร

เจ้าของสองมือยังคงฉีกรอยแหวกมิติอย่างต่อเนื่อง

“แอ๊ แอ๊!” เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้น และหายวับไปจากตำแหน่งเดิมอย่างกระทันหัน ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้าที่สูงกว่า 30 เมตร

“เสี่ยวไป๋ หยุดนะ! นั่นแกจะทำอะไรน่ะ!?” ฉินเฟิงตกใจกับการกระทำไม่คาดฝันนี้

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท