โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 44

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.44 – ลอบเข้าไปในห้องทดลอง

Translator : Muntra / Author

วันนี้ลง 3 ตอน

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.44 – ลอบเข้าไปในห้องทดลอง

ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน บรรยากาศช่างเงียบสงบจนน่าวังเวง

รถศึกล่องเวหาบินข้ามผ่านดงต้นกก

รถศึกถูกโรยไปด้วยผงขับไล่สัตว์ร้าย และพวกสัตว์ร้ายก็ไม่ชอบกลิ่นนี้เอาเสียเลย เหล่ามนุษย์กบที่อาศัยอยู่ในดงกกแตกกระเจิง หลีกเลี่ยงไม่เข้ามาวุ่นวายกับการเดินทางของฉินเฟิง

ในไม่ช้า หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ก็มาถึงแม่น้ำ

“แอ๊! แอ๊!”

เสี่ยวไป๋ร้องออกมาสองสามครั้ง และในวินาทีต่อมา รังสีแสงสีเงินก็สว่างวาบ

-เป็นรูนมิติ!

“วูซซซซ!”

ฉินเฟิงและเสี่ยวไป๋หายวับไปพร้อมกัน

ช่วงเวลาต่อมา กลิ่นฉุนจากเลือดและเศษเนื้อเน่าก็โชยมาแตะจมูกของฉินเฟิง นั่นเพราะเขาได้ปรากฏตัวขึ้นในท่อระบายน้ำโดยตรง ไม่ต้องว่ายน้ำฝ่าเข้ามา!

นี่คือพลังพิเศษมิติของเสี่ยวไป๋

ฉินเฟิงสวมหน้ากากป้องกันแก๊ส เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นมาเกาะบนไหล่เขา

“แอ๊!”

เสี่ยวไป๋ใช้พลังของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้ สถานที่ที่ทั้งสองปรากฏกายขึ้น มันไม่ใช่จุดเดิมที่เขาและมันพบกันในตอนแรก หากแต่เป็นพื้นที่ส่วนบนของบ่อทิ้งขยะ

ปัจจุบันเป็นเวลาเที่ยงคืน ดังนั้นจึงมีทหารยามอยู่ที่นี่ เมื่อจู่ๆฉินเฟิงโผล่ออกมา ทหารยามก็ตกใจ เอื้อมมือไปคว้าอาวุธตามสัญชาตญาณ

“ปุ!”

แต่แสงสีเงินไวยิ่งกว่า มันวิ่งตัดอากาศ แทงทะลุเข้าไปในคอของเขา

ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ หัวกับร่างของชายคนนั้นถูกแยกออกจากกัน

ฉินเฟิงหันไปมองรอบๆ

ในชีวิตก่อนหน้า เขาถูกย่ำยี ตกอยู่ในอาการสิ้นสติ เลยไม่ทราบว่าสภาพพื้นที่ทดลองขององค์กรร้ายนี้เป็นอย่างไร

ถึงเขาจะกลับมาอีกครั้งหลังจากที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็พบว่าที่นี่มันได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

เมื่อเห็นสภาพของมันในตอนนี้ เขาพบว่าที่จริงแล้วมันคือโรงงานใต้ดินที่ถูกทิ้งร้าง แต่เนื่องจากได้ถูกดัดแปลงมาเป็นสถานที่ทดลองโดยองค์กร มันเลยดูเป็นระเบียบและสะอาดตา

และยังเต็มไปด้วยเวชภัณฑ์เฉพาะทางจำนวนมาก

ฉินเฟิงผลักเปิดประตู และดวงตาของเขาก็วาวโรจน์

ชัดเจนว่าห้องที่เขาเข้ามา คือห้องเก็บของ

เพราะมีทั้งกรงขนาดใหญ่ และแท่งแก้วใสที่บรรจุไปด้วยสารละลาย ภายในเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายหลากหลายชนิด

มีแม้กระทั่งมนุษย์

อย่างไรก็ตาม พวกนี้น่าจะเป็นแค่ตัวอย่าง ฉินเฟิงรู้สึกได้ว่าองค์กรมิได้ให้ความสำคัญใดๆกับพวกมัน แม้จะยังมีชีวิตแต่ก็ไม่ถูกรักษา ทั้งหมดล้วนถูกฉีดฟอร์มาลีนคงสภาพเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ

หนึ่งในนั้นเป็นมนุษย์ที่ถูกนำเอาแก่นอบิลิตี้ของสัตว์ร้ายมาฝังไว้บนหน้าผาก แก่นอบิลิตี้มีขนาดใหญ่เท่ากับก้อนกรวด และเป็นทรงกลม มันเลยดูเหมือนกับว่ามนุษย์คนนี้มีเพิ่มตาดวงที่สามเข้ามา

“ช่างเป็นการทดลองนี่น่ารังเกียจจริงๆ!”

ฉินเฟิงกัดฟัน

เขาเริ่มสำรวจสัตว์ร้ายอื่นๆ ทั้งเล็กและใหญ่รอบตัว แต่พวกมันถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณเกินไป สภาพแทบดูไม่ได้ ต่อให้ดูดกลืนพลังมา ก็คงช่วยเขาไม่ได้มากนัก

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงต้องการในตอนนี้

ฉินเฟิงกลับมายังระเบียงทางเดิน งมหาทางกันต่อไป

เนื่องจากเขาครอบครองพลังพิเศษซ่อนเงา ดังนั้นผู้คนเลยมองไม่เห็นเขา และกล้องวงจรปิดเองก็ไม่สามารถจับภาพเขาได้เช่นกัน

ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงก็ได้ยินเสียงมาจากด้านข้างของตน

“คุณเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”

“ดีมาก ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเราจะต้องเปลี่ยนสถานที่กันไวถึงขนาดนี้!”

“ไม่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะพวกขยะที่เราจ้างวานดันถูกนักเรียนที่เพิ่งปลุกพลังวรยุทธโบราณฆ่าทิ้งจนหมดเลย!”

“นักเรียนคนที่ว่านั่นไม่มีอบิลิตี้จริงๆน่ะหรือ? น่าเสียดายจริงๆ ถ้าเขาเป็นคนที่ปลุกอบิลิตี้ได้ คงจะเป็นตัวทดลองที่ยอดเยี่ยมน่าดู!”

“ไม่มีอบิลิตี้ เป็นแค่นักเรียนวรยุทธโบราณเท่านั้น ไม่ใช่มนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการสูงสุด อย่าลืมสิ ว่าเทคโนโลยีสับเปลี่ยนอบิลิตี้ของพวกเรากำลังจะประสบความสำเร็จแล้ว! ดังนั้นคุณไม่ควรอยู่ในสถานที่เล็กๆแบบนี้!”

ฉินเฟิงเมื่อได้ยินบทสนทนาดังกล่าว เขาก็รับรู้ได้ทันที ว่าพวกมันกำลังจะหนีไป!

ฉินเฟิงคิดในใจว่าโชคดีจริงๆที่ตัดสินใจมาที่นี่ ไม่อย่างนั้น ถ้าปล่อยให้หนีไปซะก่อน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสเจอพวกมันอีกรึเปล่า

ก่อนที่จะกลับมาเกิดใหม่ เมื่อความแข็งแกร่งของฉินเฟิงยกระดับไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ต้องการจะกลับมาแก้แค้น แต่น่าเสียดาย ที่สถานที่แห่งนี้ดันกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว และเมื่อตรวจสอบดูดีๆยังพบว่ามันถูกระเบิดทำลายอย่างจงใจอีกด้วย!

และฟังจากบทสนทนาของทั้งสอง น่ากลัวว่าในชีวิตก่อนหน้า การทดลองจะประสบความสำเร็จจริงๆ!

หลังจากประสบความสำเร็จ พวกมันเลยพากันถอนตัวจากไป

แต่ในชีวิตนี้ ฉินเฟิงสามารถขัดจังหวะการชิงตัวทดลองของพวกมันก่อนจะสำเร็จ แถมผู้ใช้พลังพิเศษที่ส่งมายังถูกเขาฆ่าตาย พวกมันเลยตัดสินใจยอมทิ้งสถานที่แห่งนี้ไป

“เอาเลยเสี่ยวไป๋!” ฉินเฟิงตะโกน โดยไม่กล่าวอธิบายว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เสี่ยวไป๋ก็เหมือนจะรับรู้ มันลงมือทันที

รังสีแสงสีเงินปกคลุมร่างของทั้งสองเอาไว้ รูนมิติกะพริบไหว ประตูห้องทดลองที่ทั้งแข็งแกร่งทนทาน ล็อคปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ กลายเป็นไร้ประโยชน์ทันที

ฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในห้องทดลอง

“เสียใจด้วยนะ ที่พวกแกจะไม่ได้ไปจากที่นี่!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น เขายกมีดกษัตริย์ครามขึ้น และชี้ไปทางอีกฝ่าย

ช่วงเวลาราวกับหยุดนิ่ง ทุกคนในห้องทดลองหันขวับมามองฉินเฟิง

หนึ่งในนั้นคือคนที่สวมชุดกาวน์สีขาวซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายเอกลักษณ์ของนักวิจัย อายุราวๆ 40 ปี ร่างกายผ่ายผอม ผิวหนังซีดเซียว ใต้ขอบตาดำคล้ำ ดูโทรมคล้ายคนบ้า

อีกหนึ่งอายุราวๆ 50 ปี ลงพุง ใบหน้าเต็มไปด้วยไขมัน รูปลักษณ์ดูโหดร้ายน่ากลัว แต่สวมชุดสูทราคาแพงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนักธุรกิจ -มีแต่พวกนักธุรกิจในสถานที่ชุมชนเท่านั้นที่จะใส่มัน

ณ จุดนี้ ทั้งคู่ต่างมองมาทางฉินเฟิงด้วยความตกใจ

“แกเป็นใครกัน? เข้ามาที่นี่ได้ยังไง!” นักวิจัยชุดขาวตะโกนขึ้นทันที

“ฉันเป็นใคร? ฉันก็เป็นคนที่พวกแกเพิ่งพูดถึง นักเรียนที่ฆ่าพวกขยะไปยังไงล่ะ!”

“ว่าไงนะ!”

ทั้งสองถามย้ำ คล้ายกับว่าสิ่งที่ได้ยินมันไม่ชัดเจน แต่ในหัวใจกลับรู้ดี ว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น

แทบจะในทันที ชายวัยกลางคนในชุดสูทแตะไปที่เอวของเขาตามสัญชาตญาณ เตรียมที่จะชักปืนพกขึ้นมา

ปุ!

รังสีแสงสีเงินวิ่งผ่านไป และในวินาทีต่อมา แขนของชายในชุดสูทก็ร่วงแหมะลงกับพื้น

“อ๊าาาา!!!”

ชายวัยกลางคนในชุดสูทกรีดร้องโหยหวน

เสียงร้องลั่นเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ทหารยามภายนอกจะได้ยิน แต่ฉินเฟิงก็ไม่ได้สนใจเลย

เพราะประตูที่ขวางกั้น มิใช่ประตูธรรมดา มันเป็นประตูที่จะสามารถเปิดได้จากภายในเท่านั้น หากจะบุกเข้ามา เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในการทำลาย!

“เอาล่ะ บอกฉันมา ว่าพวกแกมีจุดประสงค์อะไร แล้วแกทำงานให้กับองค์กรอะไร?”

มีดกษัตริย์ครามในมือของฉินเฟิงชี้ไปทางนักวิจัยในชุดขาวอีกคนแทน

ดวงตาของชายคนนั้นฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว

“ระ ระ เรากำลังทำการทดลองที่ยิ่งใหญ่!”

“การทดลองที่ยิ่งใหญ่?” ฉินเฟิงรู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี

นั่นเพราะเขาไม่ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ใดๆเลย เขาเห็นแต่ความโหดร้ายของการทดลองที่บ้าคลั่งเท่านั้น

มีดกษัตริย์ครามถูกวาดอีกครั้ง และแขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ถูกตัดออกไป

“อ๊าาาาาา” นักวิจัยกรีดร้องเสียงน่าสังเวช

เดิมทีใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดอยู่แล้ว ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ามีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิง เขาก็ค่อยๆหยุดกรีดร้อง ทั้งร่างสั่นเทิ้ม

สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว!

แม้ว่าฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าจะสวมหน้ากากกันแก๊ส ไม่ได้เปิดเผยร่องรอยของความรู้สึกใดๆ หากแต่ในสายตาของนักวิจัย ภาพของฉินเฟิงดูราวกับเป็นปีศาจร้าย

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่างานของแกมันยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ทำไมแกถึงต้องการจะทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นของฉันด้วย?”

ฉินเฟิงเค้นถาม แต่คำถามนี้เขาก็ถามมันเพื่อตัวเองด้วยเช่นกัน

“ฉันจะพูด ฉันจะพูดแล้ว อย่าฆ่าฉันนะ!” การสูญเสียแขน และเลือดที่เริ่มไหลออกมามากเกินไป ทำให้นักวิจัยเริ่มรู้สึกถึงความตายที่เข้ามาคุกคาม

แม้ว่าในหัวใจของเขาจะรู้ดี ว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางปล่อยตัวเองไป แต่ในสมองก็ยังเกิดความคิดปรารถนา ว่ายังมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่ผู้บุกรุกจะไม่ฆ่าเขา หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

เพราะตราบใดที่ถ่วงเวลาต่อไปสักพัก การช่วยเหลือก็จะมาถึง และเขาก็จะรอดชีวิตไปได้!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท