โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 70

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.70 – วรยุทธโบราณ VS อบิลิตี้

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.70 – วรยุทธโบราณ VS อบิลิตี้

ณ ขณะนี้ ฉินเฟิงได้ชนะติดต่อกันแล้วกว่าเก้าครั้ง และเมื่อผู้ท้าชิงคนต่อไปปรากฏกายขึ้น อัตราเดิมพันของอีกฝ่ายก็ถูกประกาศออกมา

ปรากฏว่าเป็น 7 : 8 อย่างกระทันหัน!

อัตราเดิมพันเช่นนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ผู้ชมดันหลงใหลไปกับชัยชนะติดต่อกันกว่า 9 ครั้งของจิ้งจอกคลั่งเสียแล้ว เกือบทั้งหมดต่างทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อตั๋วพนัน แทงว่าฉินเฟิงจะชนะ ยอดรวมๆปาเข้าไปกว่า 800 ล้าน

นั่นหมายความว่า หากฉินเฟิงชนะ ทางบ่อนจะต้องพบกับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

แต่ถ้าฉินเฟิงพ่ายแพ้ ทางบ่อนเรียกได้เลยว่าอิ่มเงินจนพุงกาง!

ทางด้านฉินเฟิง เมื่อมองไปยังคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้ทางคลับอินทรีถึงส่งแต่นักสู้ที่ไม่ค่อยเก่งมา ที่แท้มันก็คือการเลี้ยงหมูจนอ้วนพลี แล้วจับเชือดในตอนท้ายนี่เอง

ปัจจุบันเบื้องหน้าเขา คือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F2 !

หากฉินเฟิงเป็นเพียงผู้ใช้วรยุทธโบราณธรรมดาๆ แม้ว่าเขาจะสามารถโค่นบางคนในเลเวล G9 ลงได้ แต่เขาย่อมไม่มีทางที่จะมีชัยเหนือผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ต่อสู้เบื้องหน้าผู้นี้ ที่กำลังส่งกลิ่นอายอันเข้มข้นในฐานะของผู้เชี่ยวชาญออกมาอย่างชัดเจน

“ไอ้หนู แกมาถึงทางตันแล้ว ชัยชนะต่อเนื่องของแกจะจบลงที่นี่!” ผู้ใช้วรยุทธโบราณยกนิ้วชี้ขึ้น แล้วค่อยๆปาดช้าๆผ่านลำคอของเขา แสดงสัญลักษณ์ในเชิงว่าเอ็งตายแน่ๆ

สื่อความหมายชัดเจนในตัวมันเอง

สำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณคนก่อนๆที่มาเป็นคู่ต่อสู้ นั่นเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น คนสุดท้ายต่างหากคือนักฆ่าที่แท้จริง!

【เอาล่ะสิครับท่านผู้ชม ดูเหมือนว่า ‘เทพเถื่อน’ จะสื่อเจตนาร้ายอย่างชัดเจนถึงจิ้งจอกคลั่ง ว่าต้องการหัวของเขา และทุกท่านรู้หรือไม่ ว่าเทพเถื่อนคนนี้มิใช่อ่อนแอเลย เขาทรงพลังสุดๆ เป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธโบราณ ‘กระดูกเหล็ก’ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะฝึกฝนที่เสริมความทนทานของร่างกาย แล้วในคราวนี้ เขาจะสามารถเขย่าบัลลังก์ของจิ้งจอกคลั่งได้หรือไม่?】

พิธีกรแนะนำเล็กๆน้อยๆ แต่หลายคนดูเหมือนว่าจะไม่สนใจเลย

เพราะไอ้ทักษะที่ว่า มันก็แค่การเสริมสมรรถภาพร่างกายเหมือนกับวิชาเส้าหลินประเภทหนึ่งไม่ใช่รึไง และการฝึกฝนประเภทนี้ก็ไม่ค่อยมีใครฝึกจนสามารถบรรลุได้ถึงขีดสุด แล้วเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของจิ้งจอกคลั่งได้อย่างไร?

ในทางตรงกันข้าม จิ้งจอกคลั่งทั้งรวดเร็วและแข็งแกร่ง ดังนั้นย่อมไม่มีทางอ่อนแอกว่าเทพเถื่อนผู้นี้อย่างแน่นอน!

ถึงเทพเถื่อนจะฝึกฝนทักษะเสริมพลังป้องกันจนแข็งแกร่ง แต่ท่าทีและการแสดงออกของเขามันดูไม่ดุร้ายหรือกระหายเลือดเลย มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพียงปราการยักษ์เท่านั้นเอง

มีเพียงไม่กี่คนที่เท่านั้น ที่สามารถมองออกว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล F2

นอกจากนี้ เทพเถื่อนยังเคยลงเวทีประลองมาแค่สองสามครั้งเท่านั้น แทบจะไม่มีใครได้เห็นหน้าเขา เรียกได้เลยว่าเป็นบุคคลในฐานะไพ่ตาย และก็สามารถชนะมาได้ทั้งสามนัด ส่วนคู่ต่อสู้ที่เจอกับเขา ล้วนมีจุดจบในสภาพสมน่าสังเวชอย่างมิอาจบอกบรรยาย

อย่างไรก็ตาม บนเวทีทุกคนที่ตายก็มีสภาพน่าสังเวชอยู่แล้ว ดังนั้นชื่อเสียงของเทพเถื่อนที่ไม่ค่อยปรากฏตัว จึงไม่อาจเทียบเคียงได้กับจอมหักกระดูกที่โผล่มาบ่อยๆก่อนหน้านี้

แก๊ง แก๊ง แก๊ง

เสียงระฆังกังวาน ส่งสัญญาณว่าการประลองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

“เข้ามาสิ ไอ้หนูจิ้งจอกคลั่ง!”

เทพเถื่อนยื่นหมัดออกไป แล้วกระดิกๆนิ้วยั่วยุฉินเฟิงให้เข้ามา

เขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมมากจริงๆ ตระหนักดีว่าตนเองไม่เก่งกาจในด้านความว่องไว เจ้าตัวจึงตัดสินใจให้ฉินเฟิงเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยสวนกลับเมื่อเข้ามาใกล้

“ได้เลย … จัดให้ตามที่ขอ!”

ฉินเฟิงเองก็มิคิดหลบเลี่ยง เวลานี้เขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าปัจจุบันพละกำลังกายของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน!

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังพิเศษดูดกลืนของเขาทรงพลังยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้ามากนัก ดังนั้นในชีวิตนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝึกฝนร่างกายอะไรมากมาย แต่กลับครอบครองพละกำลังเทียบเท่าได้กับผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ฝึกฝนมาอย่างหนักเป็นเวลานับสิบปี

และในเวลานี้ โอกาสในการทดสอบก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!

หนึ่งเท้าสะอึกมาข้างหน้า หนึ่งหมัดเหวี่ยงกรีดผ่านสายลมออกไป

ทางฝั่งเทพเถื่อนไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยง ที่ทำมีเพียงหวดหนึ่งหมัดสวนตอบโต้ โดยเล็งเป้าลงใจกลางอกของฉินเฟิง สำหรับหมัดที่อีกฝ่ายโจมตีมา เขาละซึ่งความสนใจโดยสิ้นเชิง

นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าการแลกหมัดต่อหมัด สำหรับเทพเถื่อน เขาไม่เชื่อว่าฉินเฟิงจะสร้างอาการบาดเจ็บแก่ตนเองได้ ตรงกันข้าม หากฉินเฟิงไม่หลบเลี่ยงกำปั้นของเขา สิ่งที่เฝ้ารอคอยจิ้งจอกคลั่งอยู่คือกำปั้นที่ทะลวงผ่านหัวใจ

ฉินเฟิงเป็นฝ่ายเปิดโจมตี ดังนั้นหมัดของเขาเลยสามารถกระทั้นถูกหน้าอกของเทพเถื่อนได้ก่อน

ในช่วงเวลานั้นเอง เทพเถื่อนรับรู้ได้แค่เพียงแรงมหาศาลเกินกว่าจะทานรับไหว เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองล้มคว่ำ เขาจำต้องถอนกำปั้นที่ส่งไปกลับคืน ทว่าร่างกายก็ยังถูกแรงปะทะ กระเด็นถอยกลับไปข้างหลังอยู่ดี

จำต้องชักฝีเท้าย่ำใส่พื้นเวทีถึงสามก้าว กว่าจะสามารถหยุดแรงกระทั้นและกลับมารักษาสมดุลร่างกายได้

“โอ้วววววว! ฆ่ามันเลย จิ้งจองคลั่ง!!!”

“ชกได้สวย!”

“ถล่มมารดามันเลย!”

ผู้ชมส่งเสียงเชียร์ด้วยความตื่นเต้น ฉากนี้ทำเอาความโกรธพุ่งปรี๊ดๆขึ้นหัวเทพเถื่อน

เมื่อครู่ เขาประมาทไปก็จริง แต่ไม่คาดหวังเลยว่าจะถูกผลักกระเด็นจนตัวเกือบลอยโดยฉินเฟิง

“ว๊ากกกกกกก!!”

พริบตานั้นเทพเถื่อนคำรามก้อง รังสีแสงสีเหลืองสาดประกายขึ้นอย่างกระทันหัน ปกคลุมไปตลอดทั้งมีของเขา

“หมัดนอกรีต!”

คิ้วของฉินเฟิงขมวดเข้าหากันทันที ขณะเดียวกันทางด้านฝูงชน

“อุว้าววว นั่นมันกระบวนท่าวรยุทธ!!”

ทราบกันหรือไม่? ว่าสำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่จะมีทักษะกำลังภายในที่ทรงประสิทธิภาพเท่านั้น แต่บางครั้ง บางคนก็ยังครอบครอง ‘กระบวนท่าวรยุทธ’ ที่ทรงพลังเทียบเคียงได้กับพลังพิเศษของผู้ใช้อบิลิตี้

ในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง เจ้าตัวเชี่ยวชาญกระบวนท่าวรยุทธมากมาย แต่ด้วยความสามารถและประสบการณ์ในปัจจุบันของเขา ทำให้ตั้งแต่เกิดใหม่ ไม่ว่าภัยคุกคามใดก็ล้วนรับมือได้ ฉินเฟิงเลยไม่จำเป็น และไม่เคยเลยที่จะใช้ออกด้วยกระบวนท่าวรยุทธ

อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะไม่ใช้มัน เลยทำให้ตัวเองมีข้อเสียเปรียบปรากฏขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

ฉินเฟิงตัดสินใจเลือกไม่ต่อต้านตรงๆ ทั้งคนทั้งร่างของเขาวูบไหว โฉบหลบอย่างรวดเร็ว

เมื่อเทพเถื่อนระเบิดหมัดออกมา ในอากาศ ราวกับปรากฏร่างเงากำปั้นโปร่งใสปะทุขึ้น และเงาที่ว่าไม่หยุดเพียงปลายหมัด มันไต่ไปตามสายลม แหวกทะลวงต่อไปเบื้องหน้าไกลออกไปกว่าหนึ่งเมตรในชั่วพริบตา

อานุภาพของมันกวาดผ่านชั้นอากาศโดยรอบ แรงระเบิดอัดอากาศก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง!

ร่างเงากำปั้นกระแทกเข้าใส่พื้นโดยตรง พื้นเวทีที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่ติแหลกเป็นชิ้นๆอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งโดมโปร่งใสอย่างโล่พลังงานก็ยังกระพริบไหว เกิดความผันผวนจนเห็นได้ชัด

ผู้ชมพากันกรีดร้องเป็นเสียงเดียวกัน แต่หลังจากนั้นก็ผุดลุก อ้าปากคำรามก้อง

ช่วงเวลานี้ ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นฝั่งที่เดิมพันว่าฉินเฟิงจะชนะหรือไม่ ทั้งหมดต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

กระบวนท่าวรยุทธล่ะ! นั่นมันกระบวนท่าวรยุทธ!!

พวกเขามาที่นี่เพื่อชมการประลอง แต่แล้วจู่ๆกลับสามารถได้เห็นกระบวนท่าวรยุทธด้วยตาตัวเองอย่างกระทันหัน เพียงเท่านี้ก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าเงินแล้ว!

เทพเถื่อนโจมตีไม่โดน แต่แท้จริงนั่นมิใช่ปัญหา เจ้าตัวสาวเท้ายาวๆเข้าหาฉินเฟิงอีกครั้ง

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน คราวนี้พวกเขาได้รับการจับคู่อย่างเท่าเทียม ฉินเฟิงเริ่มเป็นฝ่ายถอย คอยปัดป้องการโจมตีจากเทพเถื่อนบ้างแล้ว

ไม่นานเกินรอ เทพเถื่อนก็กระแทกกำปั้นอีกครั้ง หมัดนอกรีตถูกส่งออกไปอีกครา แต่ฉินเฟิงก็ยังสามารถหลบเลี่ยงได้

บนเวที ผลการต่อสู้ดูเหมือนว่าจะปรากฏชัดเจนแล้ว!

เบื้องหลังเวที เจียงเส้าหยางกำลังเฝ้ามองฉากตรงหน้าอย่างมีความสุข เขาจิบไวน์ แล้วเปลี่ยนหน้าจอเป็นกล้องอีกตัวหนึ่ง

และกล้องที่ว่า กำลังหันไปทางไป๋หลีที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งนอกเวที

แม้จะสวมใส่แว่นกันแดด แต่ท่าทีที่สมบูรณ์แบบของเธอก็ยังดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังคอยกีดขวางตัวเธอจากคนอื่นๆอยู่ และแน่นอน ว่าคนเหล่านั้นถูกส่งมาโดยเจียงเส้าหยาง

ปัจจุบัน เขาปฏิบัติต่อไป๋หลีราวกับเป็นสมบัติของตัวเองไปแล้ว

เวลานี้ เพียงแค่เฝ้ารอให้จิ้งจอกคลั่งมันตายๆไป แล้วเขาก็จะเดินออกไปต้อนรับสาวงามคนนี้!

บนเวที เทพเถื่อนกำลังหอบหายใจอย่างหนัก

แม้สถานการณ์ดูเหมือนกำลังได้เปรียบ แต่กลับไม่มีใครรู้เลย ว่าเขาสูญเสียพลังงานไปมากเพียงใด

เทพเถื่อนฝึกฝนวรยุทธกังฟู แม้ว่ากำปั้นนี้จะถูกขับเคลื่อนโดยกำลังภายใน หากแต่การจะระเบิดมันออกมา ร่างกายต้องรับภาระหนักถึง 10 เท่า

แต่ตราบใดที่การโจมตีนี้ของเทพเถื่อน โดนใส่ศัตรูแม้เพียงหมัดเดียว ร่างของฉินเฟิงก็จะถูกบดขยี้จนแหลกเหลวทันที

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงดันลื่นราวกับปลาไหล โฉบไปโฉบมา เอาแต่หลบเท่าที่จะหลบได้ และทุกครั้งที่เทพเถื่อนพักหายใจไม่ใช้หมัดนอกรีต ฉินเฟิงก็จะสะอึกเข้ามาแย็บหมัดใส่เขาอยู่ทุกคราว

บนเวที แม้จะดูเหมือนว่าเทพเถื่อนกำลังกดดันฉินเฟิงให้ถอยร่น แต่อันที่จริงแล้ว สมควรที่จะกล่าวว่าเทพเถื่อนจำเป็นต้องทำแบบนั้นมากกว่า มิฉะนั้นจะเป็นเขาเองที่ถูกฉินเฟิงบุกโจมตี

“อ้าว อ้าว ทำไมมือสั่นแล้วล่ะ หมดแรงแล้วหรอ งั้นตาฉันเปิดบ้างนะ” ฉินเฟิงเอ่ยเสียงเย็นชา

พริบตานั้นเทพเถื่อนสั่นสะท้าน เขารับรู้ได้ทันที ว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น

และในเวลานั้นเอง พลันปรากฏแรงดึงดูดมหาศาลปะทุออกมาจากทั่วทั้งร่างของฉินเฟิง

“ทักษะลับกลืนดารา!”

เทพเถื่อนที่อยู่ห่างจากฉินเฟิงไปสองก้าว เซถลาอย่างมิอาจควบคุม ถูกดึงดูดให้เข้ามาเบื้องหน้าฉินเฟิง และถูกหนึ่งฝ่ามือกดทับลงบนตันเถียน

ช่วงเวลาต่อมา กำลังภายในเริ่มว่ายเวียนราวกับวังวน ทั้งหมดถูกดูดซับไปโดยฉินเฟิงในพริบตา

“นี่แก!!”

ไม่รีรอให้เทพเถื่อนแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว มืออีกข้างของฉินเฟิงก็ยกเสยขึ้น ทุกคนต่างเห็นถึงหมัดนี้ของฉินเฟิง ว่าในช่วงเวลาต่อมา มันกลายเป็นสีดำ และลุกพรึบ! ไปด้วยเปลวไฟที่ห้อมล้อม

ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเทพเถื่อนทรงพลังจริงๆ และหมัดธรรมดาของฉินเฟิงนั้นไม่สามารถสังหารเขาได้อย่างแน่นอน ทว่าหากเป็นหมัดที่ลุกไหม้ไปด้วยอบิลิตี้เล่า?

เพลิงโลกันต์ห่อหุ้มหมัดของฉินเฟิง และในวินาทีต่อมา เปรี้ยงงงงงง!

มันก็ถูกชกออกไป ระเบิดเข้าใส่กลางหัวใจของเทพเถื่อนโดยตรง!

*เนโกะนี่เปลี่ยนสีฟร้อนตรงไหนนะครับ ผมหาไม่เจอ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท