โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 85

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.85 – สอดแนมภูเขาพ่อแม่ลูกยามค่ำคืน

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.85 – สอดแนมภูเขาพ่อแม่ลูกยามค่ำคืน

“มีซากศพในเลเวล G มากกว่า 30,000 ศพ แต่ทางฝั่งเรา กลับมีผู้ใช้พลังเพียง 5,000 คนเท่านั้น และที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกซากศพเลเวล F มีความว่องไวอยู่ในระดับสูง บางตัวก็สามารถกลายพันธ์ จนมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป จำนวนของพวกมันอยู่ที่ประมาณ 1,000 ตัว!”

ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

โจวฮ่าวอ้าปากกว้างและเอ่ยถาม “แล้วผู้ใช้พลังเลเวล F ของทางเรา มีกันกี่คน?”

เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้พลังในกลุ่มเลเวล G แทบจะไม่ค่อยมีประโยชน์ เลยเน้นไปทางจำนวนที่มากเท่านั้น แต่น่าเสียดาย ที่คำตอบของเสี่ยวจิงทำให้โจวฮ่าวต้องผิดหวัง

“มีมากกว่า 100 คน แต่นี่คำจำนวนทั้งหมดที่เมืองเฉิงหยางและอีกสี่เขตส่งมานะ ตอนนี้พวกเขากำลังร้องขอกำลังสนับสนุนจากเขตอื่นๆเพิ่มอยู่”

เสี่ยวจิงถอนหายใจ

ส่วนฉินเฟิง เขาทราบดี ว่าจำนวนถึงขนาดนี้ก็นับว่าค่อนข้างเยอะแล้ว!

เพราะผู้ใช้พลังเลเวล F หลายคนล้วนมีภารกิจเดิมเป็นของตนเอง อย่างเช่น ซูซิงฝู ซึ่งต้องคอยปกป้องความปลอดภัยในสถานที่ชุมชน ในฐานะหน่วยลาดตระเวน เขาไม่สามารถปลีกตัวมาช่วยเหลือได้

“แล้วเลเวล E ล่ะ … ? ภารกิจปราบปรามในครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้พลังเลเวล E ใช่ไหม?” โจวฮ่าวแทบจะทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม ตอนนี้ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ตนเริ่มตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ในครั้งนี้เลวร้ายมากถึงขนาดไหน

เสี่ยงจิงพยักหน้า คราวนี้บอกเล่าข่าวดีออกมา “ตอนนี้มีผู้ใช้พลังเลเวล E อยู่ 10 คน ที่มาจากสถานชุมชนทางตอนเหนือของพวกเราก็มี รองผู้ว่าการ ‘หลินเซิง’ , ผู้อำนวยการสถาบันระดับสูง ‘เติ้งเหนียน’ ,จริงสิ ตอนนี้พวกนายเป็นนักเรียนของที่นั่นนี่นา ก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดิ!”

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งอก ฉันก็คิดว่าพวกสัตว์ร้ายกำลังจะบุกเข้าสถานที่ชุมชนซะแล้ว!” โจวฮ่าวผ่อนคลายลง

ตรงกันข้าม ฉินเฟิงไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก

“แล้วไอ้เรื่องช่องว่างมิติ กับเสาแสงสีดำก่อนหน้าคืออะไรกัน?”

เสี่ยวจิงถอนหายใจอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

“ฉันกำลังจะบอกเรื่องนี้ต่ออยู่พอดี ตอนนี้ราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F ไม่ได้มีแค่ ‘ราชันย์อัศวิน’ ที่พวกนายเพิ่งจะเห็นไป แต่ยังมี ‘ชุดคลุมดำกระหายเลือด’ อีกด้วย เจ้าตัวนี้มีพลังที่พิเศษมาก มันเป็นเลเวล F ในระดับราชันย์ที่สามารถเปิดช่องว่างมิติได้ เป็นมันนี่แหละที่คอยปล่อยซากศพเน่าเปื่อยออกมา จนจำนวนกองทัพซากศพเพิ่มขึ้นทุกวัน!”

สำหรับช่องว่างมิติ จากภายนอกจะเปิดได้ยาก แต่หากถูกเปิดจากภายในล่ะก็ ไม่นับว่ายากเย็นอะไร

ฉินเฟิงคิดได้แล้ว ว่าต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจเกิดขึ้นจากการที่เสี่ยวไป๋ไปตัดมือข้างหนึ่งของเจ้านายพวกมันในตอนแรก

และคงไม่พ้นเจ้านายของมันนี่แหละ ที่เป็นคนส่งชุดคลุมดำกระหายเลือดมา และสั่งการให้ชุดคลุมดำกระหายเลือดคอยเปิดรอยแยกมิติ ส่งพวกกองทัพซากศพจากอีกฝั่งมิติบุกเข้ามา

ส่วนสาเหตุที่เจ้าของมือนั่นไม่สามารถเข้ามาได้ อาจเป็นเพราะเขาแข็งแกร่งเกินไป และไม่ต้องการที่จะใช้พลังของตัวเองในการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ

มิฉะนั้น แรงกดดันของมิติ อาจจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาถดถอยลงจนเหลือแค่หนึ่งในหมื่น

“ถ้าเป็นแบบนั้น หมายความว่าพวกเราต้องรีบฆ่าเจ้าชุดคลุมดำนั่นน่ะสิ!” โจวฮ่าวกล่าวด้วยความกังวล

เสี่ยวจิงส่ายหัวของเธอ

ฉินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าสามารถฆ่ามันได้ง่ายๆ หลิวบาไม่ถูกขัดขวางหรอกใช่ไหม?”

เสี่ยวจิงยิ้มอย่างข่มขืน พยักหน้ารับ “ใช่แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้มีผู้ใช้พลังกว่า 10 คน ที่แข็งแกร่งและมีเลเวล E รวมอยู่ด้วย ตัดสินใจบุกภูเขาพ่อแม่ลูกอย่างกระทันหัน ทุกคนคิดว่าหากจะจับโจร ต้องจับหัวหน้าก่อน ทั้งหมดตัดสินใจเข้าไปลอบสังหารชุดคลุมดำกระหายเลือดและราชันย์อัศวิน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า มี 4 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ในเวลานี้มีผู้ใช้พลังในเลเวล E ที่สามารถสู้ได้อยู่ไม่มากนักในตอนนี้”

โจวฮ่าวที่เพิ่งจะผ่อนคลายไป ราวกับได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดทั้งๆที่อากาศแจ่มใส

คิดจะไปงัดกับตัวหัวหน้า ผลลัพธ์เลยกลายเป็นแบบนี้!

ฉินเฟิงตระหนักดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ร้ายแรงนัก!

ชุดคลุมดำกระหายเลือด เป็นคำอธิบายของหนึ่งในสิ่งมีชีวิตมิติที่คล้ายคลึงกันกับมนุษย์ มันเป็นเผ่าพันธ์ที่ครอบครองสติปัญญาและความแข็งแกร่งมากกว่าสัตว์ร้ายปกติ ขณะเดียวกันก็แข็งแกร่ง มิฉะนั้นคงไม่ถูกเรียกว่ากระหายเลือดแบบนี้

ลักษณะของพวกมัน ทั้งตัวอาบไปด้วยเลือด คอยดูดซับพลังงานผ่านเลือด เพื่อใช้ปลดปล่อยอบิลิตี้ธาตุมืดโจมตีศัตรู เป็นหนึ่งในประเภทที่สามารถต่อสู้ได้อย่างดุร้าย

เป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของมนุษยชาติ!

“แล้วนี่ทางสถานชุมชนจะดูอยู่เฉยๆ ไม่หาทางแก้เลยหรอ?” โจวฮ่าวถาม

เสี่ยวจิง “ทางเบื้องบนได้ประกาศแผนการรบออกมาแล้ว แต่น่าเสียดาย เพราะต่อให้ประกาศออกมา มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย!”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสี่ยวจิงก็ลดเสียงลง เหมือนว่าจะมีบางสิ่งที่เธอไม่สามารถเอ่ยอย่างโจ่งแจ้งได้

“เบื้องบนวางแผนที่จะติดตั้งอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติเพื่อระงับความผันผวนของมิติภายในพื้นที่นี้ มันจะช่วยป้องกันไม่ให้ช่องว่างมิติเกิดการทำลายจากภายใน แต่การจะติดติดอุปกรณ์ที่ว่า พวกเราจำเป็นต้องสังหารกองทัพซากศพเน่าเปื่อยซะก่อน ซึ่งในปัจจุบัน พันธมิตรของสถานชุมชนจากเขตต่างๆไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากถึงขนาดนั้น ถึงบอกไงว่าประกาศแผนออกมาก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าพวกเรากำลังมาถึงทางตัน!”

ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิตินั้นมีค่ามาก อันที่จริงแล้วในทุกสถานที่ชุมชน ไม่ว่าที่ใดก็อาจเกิดภัยคุกคามจากรอยแยกมิติได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพไว้คอยปราบปราม และจากนั้น เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มนุษย์ผู้ไม่หวังดีเข้ามาทำลายอุปกรณ์ดังกล่าว และเพื่อเป็นประหยัดทรัพยากรณ์ บริเวณที่มีอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ ก็จะเกิดสถานที่ชุมชนขึ้นในเวลาต่อมา

ทว่าเรื่องนี้ก็สุดจะคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะอย่างเช่นหากก่อตั้งชุมชนขึ้นบนภูเขาพ่อแม่ลูกที่เป็นภูเขาไฟ วันใดวันหนึ่งมันอาจมีลาวาปะทุขึ้นมาก็ได้

“ให้ตายเถอะ!” โจวฮ่าวสบถอย่างโกรธเกรี้ยว เขารู้สึกว่าเมืองเฉิงหยางทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำเลย

ฉินเฟิงขบคิดอย่างรอบคอบ

“หรืออีกความหมายนึงก็คือ ต่อให้มันเป็นทางตัน พวกเราก็ต้องปฏิบัติการบุกโจมตีอยู่ดีใช่ไหม แล้วทางฝั่งผู้ใช้พลังที่บาดเจ็บอาการดีขึ้นรึยัง?”

เสี่ยวจิงประหลาดใจเล็กน้อยกับการวิเคราะห์ของฉินเฟิง แต่เธอก็ยังตอบกลับไป “แน่นอน ว่าอาการบาดเจ็บของพวกเขาได้รับการรักษาแล้ว และพวกเขาจะพร้อมรบในวันพรุ่งนี้ พวกนายทั้งสองคนเองก็พักผ่อนให้ดี อย่าลืมรักษาทั้งกำลังกายและใจเอาไว้ให้เพียงพอรับศึกในวันพรุ่งนี้!”

“พูดกันซะนานเลย ฉันคงต้องขอตัวก่อน เกือบลืมไปแล้วว่ากำลังยุ่ง!”

เสี่ยวจิงโบกมือลา ฉินเฟิงมองไปยังใต้ตาที่สีดำคล้ำของเสี่ยวจิง และทราบว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลานานแล้ว

“นอนเหอะ พรุ่งนี้ดูท่าว่าพวกเราต้องเจอศึกใหญ่”

“เข้าใจแล้ว!”

ทั้งสองคนเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำภารกิจอย่างหนักทั้งวันคืน จนได้รับตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังมา พวกเขาเองก็เหนื่อยเช่นกัน โจวฮ่าวกินข้าวเสร็จ ก็มุดเข้าเต็นท์ไปนอนทันที

ความมืดค่อยๆปกคลุมค่ายของมนุษย์ เครื่องฉายแสงขนาดใหญ่ถูกเปิดออก กวาดไปตามพื้นที่โดยรอบ ในกรณีที่ซากศพเข้ามาใกล้ ก็ยังมีกองทหารรักษาการณ์คอยคุ้มกัน

ในบางครั้ง ผู้ที่หลับไหล จะได้ยินเสียงกรีดร้องของซากศพเน่าเปื่อยแว่วมากับสายลมยามค่ำคืน

ยามเมื่อถึงเวลาที่ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ฉินเฟิงที่หลับไหลอยู่ในเต็นท์ก็ลืมตาตื่นขึ้น

เขายกข้อมือขึ้นมาดู และพบว่าเป็นเวลา 4 ทุ่ม

ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น เดินออกไป ใช้โอบกอดทมิฬปกคลุมร่างกาย ส่งผลให้ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการดำรงอยู่ของเขา

ฉินเฟิงมุ่งไปยังฝั่งซ้ายของเทือกเขาพ่อแม่ลูก ที่เรียกกันว่าภูเขาพ่อ และอีกภูเขาที่เล็กกว่าคือภูเขาลูก

ปัจจุบัน ไม่ว่าจะต้นไม้หรือดอกไม้บนภูเขาทั้งหมดล้วนตายเกลี้ยง กลายเป็นสีดำสนิท ยิ่งพวกมันมีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมดูน่าหวาดกลัวขึ้นเท่านั้น หลังจากเดินทะลุเข้ามาเพียงห้าสิบเมตร ก็กลายเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง ดั่งห่างไกลจากค่ายมนุษย์ของเขาหลายพันลี้

“ในเมื่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะฉัน ฉะนั้นฉันก็จะทุ่มเทด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยแก้ไขมันเอง!”

ฉินเฟิงมุ่งหน้าเดินเข้าไปในภูเขา

กลางคืนกล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์ของสัตว์ร้าย และสำหรับซากศพเดินได้ เมื่อไม่มีแสงแดดที่พวกมันแสนรังเกียจ พลังในการต่อสู้ของพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ยังไงก็ตาม แม้ซากศพพวกนี้จะแข็งแกร่งขึ้น ทว่าฉินเฟิงแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่า

ในฐานะที่เขาเป็ผู้ใช้อบิลิตี้มืด จึงย่อมเป็นธรรมดา ที่ในเวลานี้ ฉินเฟิงรู้สึกว่ายามค่ำคืนคือโลกของเขา

“เสี่ยวไป๋!”

ฉินเฟิงตบลงบนไหล่เขา จิ้งจอกน้อยไป๋หลีกระโดดลงจากไหล่เขา เมื่อเท้าหยั่งถึงพื้น ก็แปลงกายมาอยู่ในสถานะมนุษย์แล้ว

แสงจากดวงจันทร์สาดส่องกระทบกับร่างของเธอ ภาพปรากฏราวกับว่าเธอเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่แสนงดงามภายใต้แสงจันทร์ เพียงมองก็รู้สึกอิ่มเอมเจริญตา ทั้งหมดดูดีไปหมด แต่ว่า … แต่ว่านะ … ตอนนี้เธอกำลังโป๊อยู่เนี่ยสิ!!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท