Ch.89 – เทพบุตรประจำโรงเรียน
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.89 – เทพบุตรประจำโรงเรียน
เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงดูมั่นใจ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง
“ฉินเฟิง นายคิดจะไปที่โซน F อย่างงั้นหรอ อย่าไปเลยนะ ที่นั่นอันตรายเกินไป!” หลี่เหยาเหยารีบห้ามปราม แม้ฉินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นไปอยู่ในโซนนั้นได้
ลู่เหมิงชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน
“ฉินเฟิง นายจะไปที่นั่นจริงๆหรอ? ถ้าอย่างงั้น ฉันจะให้ยืมปืนเลเซอร์หรืออะไรซักอย่างพกติดตัวไปด้วย!” ลู่เหมิงกล่าว
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ
“ขอบคุณนะ แต่นั่นไม่จำเป็นหรอก!” ฉินเฟิงเคาะประตูรถและเอ่ยเรียก “เสี่ยว- … เอ่อ ไป๋หลี ออกมาได้แล้ว!”
เมื่อคืนนี้ ไป๋หลีไม่ได้เปลี่ยนกลับไปร่างเดิม แต่หลีเหยาเหยาเคยเห็นจิ้งจอกน้อยมาก่อน และยังรู้ชื่อสัตว์เลี้ยงตัวน้อยว่าคือเสี่ยวไป๋ ถึงฉินเฟิงจะเอ่ยชื่อที่ต่างออกไป แต่เธอก็ตั้งท่าป้องกันตัวเผื่อเอาไว้อยู่ดี
ประตูรถล่องเวหาถูกเปิดออก พร้อมกับเด็กสาวผมยาวปรกไหล่ก้าวเดินออกมา
ผมยาวของเด็กสาวนุ่มสลวย แถมยังเปล่งประกายแสงสีเงิน ใบหน้าน้อยๆ ฝ่ามือเล็กๆดูละเอียดอ่อนและสมบูรณ์แบบ คู่ดวงตาดั่งจิ้งจอก เพียงถูกจ้องมอง ก็ราวกับสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้หลงเสน่ห์ จมูกเป็นสันดูประณีต ริมฝีปากสีเชอรร์รี่ให้ความรู้สึกถึงความอ่อนโยน รูปลักษณ์โดยรวมเผยถึงความบริสุทธิ์และไร้เดียงสา
เธอแต่งตัวในชุดเดรสยาวสีสันสดใส สวมหมวกที่ถักทอจากฟางบนศีรษะไว้กันแดด แต่งตัวเช่นนี้ดูไม่เหมือนกับว่าจะมาต่อสู้ แต่มาเที่ยวซะมากกว่า
ทันทีที่ไป๋หลีก้าวออกมา ดวงตาของเธอก็ตกลงบนร่างของฉินเฟิงโดยอัตโนมัติ เธอยิ้มร่าและกล่าวทักทาย
“ที่รัก คุณคิดว่าชุดวันนี้ของฉันดูดีไหม?”
มุมปากของฉินเฟิงแข็งค้าง ทันใดนั้นเขารู้สึกเสียใจที่คิดเอารัดเอาเปรียบไป๋หลีเมื่อวาน
โจวฮ่าวตะลึงงัน เขาจ้องมองไปทางฉินเฟิงด้วยแววตามุ่งร้าย “ไอ้บ้านี่ แกมันสัตว์ป่าขนานแท้ ขนาดเสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ละเว้น!”
ไม่เพียงแค่เขา แต่สีหน้าของหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิงก็ยังเผยถึงความตกตะลึงเช่นกัน
“เอ่อ .. ไว้ค่อยอธิบาย ไปกันเถอะ!” ฉินเฟิงรีบตอบ เขาคว้าจับมือเสี่ยวไป๋ แล้าพาออกไปทันที
ถ้าเป็นสายตาของคนอื่นเขาคงไม่สนใจ แต่หากเป็นคนรู้จักอย่างโจวฮ่าวแล้ว เขาก็อดหน้าแดงเล็กน้อยไม่ได้
เพราะโจวฮ่าวรู้ตัวจริงของเสี่ยวไป๋ เขารู้ว่ามันยังเป็นเพียงเด็กน้อย!
ต้องไม่ลืมนะว่าเสี่ยวไป๋เพิ่งจะเกิดได้แค่เดือนกว่าๆเท่านั้นเอง!
“ไปก็ไป!” ไป๋หลีเดินมาข้างๆฉินเฟิง แต่ก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ “แต่รองเท้าฉันมันเดินลำบากจัง ที่รักช่วยอุ้มหน่อยสิ!”
ฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก เพราะไป๋หลีมักจะอยู่บนไหล่เขาเสมอๆ ดังนั้นมันเลยกลายเป็นตัวขี้เกียจ นานๆครั้งถึงจะยอมเดิน กระทั่งในพื้นที่ต่อสู้ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะยืนดูเฉยๆไม่ทำอะไร แต่ฉินเฟิงก็ยังอดเอามันไปด้วยไม่ได้อยู่ดี
“เอ้า เอาก็เอา!” ฉินเฟิงย่อตัวลง ไป๋หลีเอื้อมสองมือคล้องคอเขา ฉินเฟิงอุ้มเด็กสาวขึ้นแล้วพามุ่งหน้าสู่ทุ่งล่า
ในความเป็นจริง ในเวลานี้ฉินเฟิงได้กลายเป็นที่สะดุดตาพอสมควรแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าตนกำลังอุ้มเด็กสาวที่งามล่มเมืองมาด้วย
“ฉินเฟิง!” หลี่เหยาเหยาวิ่งตามไปได้สองก้าว แต่ก็ค้นพบว่าความเร็วของฉินเฟิงนั้นว่องไวเกินไป ดูเหมือนว่าระหว่างวิ่งเขาจะปลดปล่อยกำลังภายในออกมาด้วย ดังนั้นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำอย่างเธอเลยไม่สามารถไล่ตามทันได้
ช่วงเวลานี้ หลี่เหยาเหยาบังเกิดความรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังแสดงถึงความหึงหวง และอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก
เธอไม่มีที่ให้ระบาย พอเห็นโจวฮ่าวยังมองตามหลังฉินเฟิง เธอก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ อดไม่ได้ที่จะกล่าว “รุ่นน้องโจว ทำไมดูนายไม่เป็นห่วงฉินเฟิงเลย? เขากำลังจะไปในทุ่งล่าโซนอันตรายนะ แล้วการนำเด็กผู้หญิงไปด้วยแบบนั้น มันจะไม่อันตรายกว่าเดิมหรอกหรอ?”
โจวฮ่าวส่ายมือไปมา “ไม่หรอก จะไม่มีอันตรายแน่ๆ!”
ก็นั่นมันราชันย์สัตว์ร้ายเชียวนา ราชันย์ที่แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถขโมยผลเสมหะเลือดที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยราชันย์ค้างคาวได้ด้วยมือเปล่า เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมันแล้ว
หลี่เหยาเหยากล่าวอย่างไม่พอใจ “แต่งตัวแบบนั้น ฉันว่าเด็กนั่นคงไม่มีพลังต่อสู้ เธอจะต้องทำให้ฉินเฟิงลำบากแน่ๆ”
ดวงตาของโจวฮ่าวเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขาเข้าใจแล้วในตอนนี้ว่าหลี่เหยาเหยาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับไป๋หลี แต่กังวลเกี่ยวกับฉินเฟิง
“ทำไมจู่ๆฉันสัมผัสได้กลิ่นถึงคนอกหักกันล่ะเนี่ย?”
ลู่เหมิงกระทุ้งศอกเข้าท้องโจวฮ่าว “รุ่นน้องโจว ระวังคำพูดหน่อย รู้ไว้ด้วยอะไรควรไม่ควรจะพูดมันออกมา!”
ลู่เหมิงมองไปทางโจวฮ่าวในเชิงตำหนิ
จู่ๆหลี่เหยาเหยาก็รู้สึกว่าเธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว ดวงตาของเธอแดงไปชั่วขณะ
แต่ในเวลานั้นเอง มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี แล้วเขาก็เห็นหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง
“อ้าวรุ่นน้องหลี่ ปฏิบัติการปราบปรามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ สนใจมาเข้าทีมกับพวกเราไหม ได้ยินมาว่าทีมที่เธอสร้างขึ้นก่อนหน้าที่โดนยุบไปแล้วนี่” เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น
หลี่เหยาเหยาและอีกสองคนหันไปตามเสียง ทันใดนั้นดวงตาของทั้งสามก็เปล่งประกายสดใส
ชายเบื้องหน้ามีความสูงถึง 1.8 เมตร แม้รูปลักษณ์จะไม่ได้ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หากแต่ก็มีท่าทีอ่อนโยน สวมใส่กรอบแว่นตาสีทอง ถ้าคนไม่รู้จักมาพบเห็น คงคิดว่าเขาเป็นหนอนหนังสือ
“รุ่นพี่เกา! ฉัน … ฉันจะเข้าร่วมได้จริงๆหรอ?” หลี่เหยาเหยาเริ่มประหม่า
ปัจจุบัน นักเรียนชายที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเทพบุตรประจำสถาบันระดับสูงทางตอนเหนือ เป็นรุ่นพี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นปีที่สาม -เกาหลิงฮาน!
เขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุลม แม้ตอนนี้เขาจะยังเรียนอยู่ แต่กลับตัดผ่านขึ้นสู่เลเวล F แล้ว บอกได้เลยว่าหากเพียงเขาเอ่ยปากตกลง ก็จะสามารถอยู่ในสถาบันต่อในฐานะอาจารย์ได้เลย
“ก็ได้อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้น ฉันจะมาถามเธอทำไมกัน” เกาหลิงฮานยิ้ม
เมื่อได้ยิน เป็นธรรมดาที่หลี่เหยาเหยาจะตื่นเต้น จนไม่อาจเอ่ยคำใดไปได้ชั่วขณะ
ต้องทราบนะว่าเกาหลิงฮานมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าหากร่วมมือกับเขา ต่อสู้กับศัตรู วัตถุดิบและผลงานที่จะได้รับย่อมสูงมากเช่นกัน
“แต่ว่า … ” หลี่เหยาเหยาหันมามองลู่เหมิงที่อยู่ข้างๆ
สถาบันระดับสูงมีการสร้างทีมผสมจากสาขาต่างๆในชั้นปีเดียวกัน เพื่อจะได้ดูแลกันและกันเวลาเดินทางสู่ทุ่งล่า เดิมทีในทีมจะมีหลี่เหยาเหยา , ลู่เหมิง , หวังไคว่ , เจียงเหวินซวน และหยูไห่
ยังไงก็ตาม เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทีมของเธอดันไปเผชิญอันตรายเข้า สุดท้ายเลยระหองระแหงกัน
ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้รับภารกิจใหม่อีกครั้ง ในทีมจึงเหลือเพียงหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง
และหากหลี่เหยาเหยาจากไป ในทีมก็จะเหลือลู่เหมิงอยู่เพียงลำพัง!
“เหยาเหยา ยังมัวลังเลอะไรอยู่อีกล่ะ ไปเร็วเข้าสิ! โอกาสดีๆแบบนี้เธอต้องไม่สูญเสียมันไปนะ” ลู่เหมิงกระซิบอย่างเงียบๆ แต่ในความเป็นจริง ย่อมเป็นธรรมดาที่เกาหลิงฮานจะได้ยิน มุมปากของเขาผุดรอยยิ้มน้อยๆขึ้น ในสายตาบ่งบอกชัดว่าเป็นไปตามแผน
“รุ่นน้องลู่ จะมาเข้าร่วมกับพวกเราด้วยก็ได้นะ”
ลู่เหมิงโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังมีบางอย่างที่ต้องทำ รุ่นพี่พาเหยาเหยาไปเถอะ”
รอยยิ้มมุมปากของเกาหลิงฮานแข็งทื่อไปทันที
“ก็ได้เหมิงเหมิง แต่เธอต้องระมัดระวังตัวให้มากนะ” หลี่เหยาเหยาตัดสินใจแล้วว่าจะไปกับเกาหลิงฮาน
แต่ในความเป็นจริง ที่เธอทำแบบนี้ ก็เพราะก่อนหน้านี้เธอได้เชื้อเชิญฉินเฟิงให้ไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธ คราวนี้เกาหลิงฮานเป็นฝ่ายเชิญเธอซะเอง เลยย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
‘ฮึ! ฉินเฟิง ไอ้คนตาบอด คอยดูนะ ฉันจะไม่สนใจนายอีกแล้ว!’
เกาหลิงฮานต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทีของหลี่เหยาเหยา ที่คล้ายกำลังเดือดปุดๆ และสัญญาณมือของลู่เหมิงที่อยู่ด้านหลัง ในที่สุดเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำเชิญซ้ำสอง และนำหลี่เหยาเหยาเดินจากไป
ตอนนี้ในจุดเดิม เหลือแค่ลู่เหมิงกับโจวฮ่าว
“รุ่นน้องโจว มาร่วมทีมกับฉัน ฉันจะปกป้องนายเอง ไม่อย่างนั้นด้วยร่างกายเล็กจ้อยแบบนี้ ถ้าไปลุยคนเดียว คงไม่พ้นโดนพวกซากศพจับไปกินแน่นอน!” ลู่เหมิงกล่าวสบประมาท
โจวฮ่าวไร้คำจะกล่าว “ใครกันแน่ที่จะถูกกิน! แต่ก็ช่างมันเถอะ เห็นว่าคู่หูคราวนี้ก็น่ารักไม่เลว ฉะนั้นจะลองยอมอยู่ด้วยซักครั้งก็แล้วกัน!”
โจวฮ่าวยังไม่รู้จักคนอื่นๆ แต่ถ้าแค่เฉพาะลู่เหมิงก็ยังพอร่วมทีมกันได้
ฉินเฟิงไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาพาไป๋หลีออกจากสายตาของผู้คน และมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางสนามรบอีกครั้ง
เพราะมีต้นไม้เหี่ยวแห้งคอยบดบัง ร่างของฉินเฟิงจึงสามารถหายไปจากสายตาของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว