โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 100

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.100 – สถานชุมชนเฟิงหลี

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.100 – สถานชุมชนเฟิงหลี

“บัดซบ! มันตายแล้ว งั้นคราวนี้ก็เป็นพวกมือปืนน่ะสิที่ได้รับเครดิตไปเต็มๆ!”

“ไม่ใช่หรอก ลองดูดีๆสิ ตรงคอของมันมีรอยถูกเฉือนอยู่!”

“แก่นพลังงานของมันก็หายไปแล้วด้วย สารเลว! ใครกันที่เป็นคนขโมยไป”

“บ้าจริง อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย!”

ในพริบตา ฝูงชนก็กลายเป็นโกรธแค้น

แต่พวกเขาไม่มีใครสงสัยฉินเฟิงเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้การค้นหาชุดคลุมดำกระหายเลือด ฉินเฟิงน่ะอยู่ในสายตาของพวกเขาตลอดเวลา

สุดท้าย การตายของชุดคลุมดำกระหายเลือดก็ปริศนาดำมืดที่ไม่มีวันคลี่คลาย

บางคนที่ต้องการจะได้รับเครดิตครั้งใหญ่ ในเวลานี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก สะบัดแขนจากไปด้วยความฉุนเฉียว

แต่สำหรับผู้ใช้พลังระดับต่ำ นี่นับว่าเป็นข่าวดีที่สุดที่พวกเขาอยากจะได้ยิน

เพราะยังไงซะ สัตว์ร้ายที่แกร่งที่สุดในกองทัพซากศพก็ตายลงแล้ว และหากไม่มีชุดคลุมดำกระหายเลือดคอยเปิดช่องว่างมิติ สถานที่แห่งนี้ก็ย่อมปลอดภัย นั่นหมายความว่าทหารรับจ้างและพวกที่ถูกระดมพลมาจากกองทัพต่างๆ จะสามารถกลับบ้านหรือหวนคืนสู่ตำแหน่งประจำการเดิมของตนได้!

วิกฤติได้รับการแก้ไข และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชื่อของบางคนได้ถูกกำหนดให้เป็นที่จดจำ

และชายผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น —เป็นฉินเฟิง!

ฉินเฟิงและเหล่าผู้ใช้พลังเลเวล F จำนวนมากยังคงมีส่วนร่วมในปฏิบัติการปิดล้อม เข้าปราบปรามกองทัพซากศพที่เหลือ และในวันต่อมา อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติก็ถูกส่งมาจากเมืองเฉิงหยาง

ไม่อาจบอกบรรยายได้เลยว่าราคาของอุปกรณ์ดังกล่าวแพงขนาดไหน

อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติลอยขึ้นในระดับความสูงสองร้อยเมตร มันแลคล้ายกับดาวเทียมขนาดใหญ่ ลอยเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ และในอนาคต ตำแหน่งนี้จะถูกพัฒนาจนกลายเป็นสถานที่ชุมชนอีกแห่งหนึ่ง

ในเวลานี้ บนภูเขาแม่ ฉินเฟิงกับไป๋หลีมองออกไป ก็พบกับคนสองคน

“ผู้ว่าการเจิ้ง!” ฉินเฟิงมองคนที่กำลังตรงเข้ามา เขาเป็นชายที่สูงกว่า1.9 เมตร มีมัดกล้ามที่สามารถมองเห็นได้ชัด ดวงตาสุกใสดั่งคบเพลิง และมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล E4!

เป็นชายที่ยังอยู่ในช่วงวัยสำคัญ และอนาคตอันสดใส!

ผู้เป็นหัวหอกประจำชุมชนทางตอนเหนือ ผู้ว่าการเจิ้งหยาง!

“ฉินเฟิง ไอ้หนูวีรบุรุษ!” เจิ้งหยางกับฉินเฟิงเชคแฮนด์กันอย่างแข็งขัน

“ท่านผู้ว่าการเจิ้งยกย่องกันเกินไปแล้ว”

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ

ขณะเดียวกัน ซูซิงฝูที่ยืนอยู่ข้างๆเจิ้งหยางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ไอ้น้องชาย ฉันพูดไม่ออกเลยจริงๆ สิ่งที่เธอทำมันโคตรจะยิ่งใหญ่!”

ปฏิบัติการปิดล้อมราชันย์อัศวินและชุดคลุมดำกระหายเลือด แม้ว่าทุกคนจะทะเลาะกัน แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับชัดเจน

ฉินเฟิงเป็นคนแรกที่โจมตีชุดคลุมดำกระหายเลือด ทำให้ชุดคลุมดำได้รับบาดเจ็บสาหัส และในที่สุดเหล่าตัวตนทรงพลังก็บุกไปถึง แม้จะไม่ทราบว่าเป็นใครที่สังหารชุดคลุมดำกระหายเลือด แต่ก็ไม่มีใครออกมารับหน้าว่าเป็นตน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย ว่าฉินเฟิงกลายเป็นคนที่มีส่วนร่วมในการสังหารมันมากที่สุดไปโดยปริยาย

ในส่วนของราชันย์อัศวิน ก็เป็นฉินเฟิงอีกเช่นกันที่เป็นคนปิดฉากสังหารมัน แม้จะมีข้อสงสัยในเรื่องการขโมยสินสงคราม แต่การกระทำก่อนหน้านี้ของคนอื่นๆ มันไม่ใช่การพยายามขโมยสินสงครามเหมือนกันหรอกหรือ?

ฉินเฟิงเพียงแค่โต้ตอบ และลงมือเหมือนกับอีกฝ่าย ให้ลิ้มชิมรสการกระทำเดียวกันก็เท่านั้นเอง

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ เทศมนตรีเมืองเฉิงหยางดันให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ว่าจะส่งตำแหน่งผู้นำสถานชุมชนที่ใหม่ให้กับคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเนี่ยสิ

ด้วยเหตุนี้เอง เจิ้งหยางจึงมาที่นี่ เพื่อส่งมอบอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ และสร้างพันธมิตรกับฉินเฟิง

“เกรงว่าผมคงไม่มีเวลามาจัดการกับสถานชุมชนแห่งนี้ ยังไงก็ตาม ผมสามารถรับตำแหน่งเป็นผู้นำกิตติมศักดิ์ได้ เหมือนกับที่เคยรับตำแหน่งร้อยเอกกิตติมศักดิ์ประจำกองทหารรักษาการณ์ก่อนหน้านี้”

“น้องชาย มันอาจจะทำให้ฉันรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ต้องพูดตรงๆ แต่เธอยังเด็กเกินไปที่จะถูกผูกติดไว้กับสถานที่แบบนี้ เธอมีความคิดที่จะให้ใครมารับผิดชอบมันรึเปล่า?” เจิ้งหยางเอ่ยถาม

ฉินเฟิงยิ้ม และหันไปมองซูซิงฝูที่ยืนอยู่ข้างๆเจิ้งหยาง

“พี่ชายฝูกับผมสนิทกันมากที่สุด งั้นทำไมพวกเราไม่ให้พี่ชายฝูเป็นคนดูแลล่ะ?” ฉินเฟิงกล่าว

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ก็ได้ ตกลง! ฉันจะยอมฝากมือขวาคนนี้ให้แก่เธอ!” เจิ้งหยางพยักหน้าและกล่าว

ซูซิงฝูรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ เขาไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงจะใจดีกับตนเองถึงขนาดนี้ เจ้าตัวรีบพยักหน้าโดยไม่ลังเล

“แล้วเธอจะตั้งชื่อสถานที่ชุมชนแห่งนี้ว่าอะไรล่ะน้องชาย?” เจิ้งหยางถาม

“เอ่อ คือผมยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” ฉินเฟิงไม่เร่งร้อนที่จะตั้งชื่อ

“งั้นเอาเป็นเรียกว่าสถานที่ชุมชนเป่ยเฟิงเป็นไง? มันมีทั้งชื่อของที่ๆเธอเกิดมา และชื่อของเธอ เข้าท่าไหมน้องชายฉิน?” ซูซิงฝูเสนอความคิด

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับมองไปทางซูซิงฝูด้วยรอยยิ้ม “ชื่อนั้นไม่ดีหรอก เพราะที่นี่ไม่ใช่ทางตอนเหนือของเมืองเฉิงหยาง”

อันที่จริง ฉินเฟิงรู้ดีว่าคำพูดของซูซิงฝูเมื่อครู่ เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเจิ้งหยางแห่งเขตเฉิงเป่ย

แต่ซูซิงฝูถูกฉินเฟิงขอร้องให้มารับผิดชอบดูแลสถานชุมชนแห่งใหม่แล้ว ดังนั้นในอนาคต แม้ซูซิงฝูจะยังอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจิ้งหยาง แต่ภายภาคหน้า เมื่อสถานชุมชนแห่งนี้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป!

และอีกอย่าง หากในสถานชุมชนมีคำว่าเป่ย นั่นก็เทียบเท่ากับเป็นลูกเมียน้อยของเขตเฉิงเป่ยเลยไม่ใช่รึไง!

“ยิ่งไปกว่านั้น คำว่าเป่ยเฟิง(北风) มันรวมกันมีความหมายว่าลมทางตอนเหนือ ฟังดูไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่”

ซูซิงฝูยิ้มอย่างกระดากอาย แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

เจิ้งหยางหัวเราะ “มันก็ฟังดูไม่เหมาะจริงๆนั่นแหละ งั้นน้องชาย ในฐานะผู้นำ เธอสมควรที่จะเป็นคนตั้งชื่อมันด้วยตัวเอง”

ฉินเฟิงมองไปทางไป๋หลีที่ยืนอยู่ข้างๆ และเกิดความคิดขึ้นในหัวใจ

“หรือจะเรียกมันว่าสถานที่ชุมชนเฟิงหลี่! เฟิง(风)ที่มาจากคำว่าสายลม และหลี(黎) ที่มาจากหลีหมิง(黎明) ที่แปลว่ารุ่งอรุณ!”

ความจริงแล้วความหมายมันค่อนข้างไร้สาระ ฉินเฟิงตั้งชื่อมันให้สอดคล้องกับเขาและไป๋หลีก็เท่านั้น

ยังไงก็ตาม ชื่อนี้ก็ยังฟังดูดีกว่าเป่ยเฟิงมิใช่หรือ?

“สถานที่ชุมชนเฟิงหลี? เป็นชื่อที่ดี! เอาตามนั้นเลยแล้วกัน!” เจิ้งหยางพยักหน้าเห็นด้วย

“จริงสิฉินเฟิง ปฏิบัติการปราบปรามกองทัพซากศพในครั้งนี้ นอกจากจะเรื่องการสร้างสถานชุมชนเฟิงหลีแล้ว หลังจากกลับไป ฉันจะทำการประชาสัมพันธ์บางอย่าง โดยจะใช้วิดีโอบางส่วนในช่วงที่เธอออกสู้กับกองทัพซากศพไปฉายนะ อย่าถือสาล่ะ!”

“แน่นอนครับ ทำตามที่ท่านเห็นสมควรได้เลย”

“น้องชาย นายกำลังจะได้เป็นวีรบุรุษแล้วนะรู้ตัวไหม!” ซูซิงฝูหัวเราะ

ในความเป็นจริง สิ่งต่างๆที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้ง ในช่วงเวลาที่ทุ่งล่าเกิดวิกฤติ หลังจากมนุษย์ได้รับชัยชนะ พวกเขาก็จะทำการโฆษณาชวนเชื่อ และให้กำลังใจผู้คนอยู่เสมอ ด้วยภาพบันทึกจากวิดีโอ บางครั้งกระทั่งทำเป็นภาพยนต์ก็ยังมีความเป็นไปได้

สิ่งนี้จะค่อยๆส่งอิทธิพลต่อการแนวคิดของผู้คนในสถานที่ชุมชน ทำให้พวกเขาตระหนักว่าการออกล่าสัตว์ร้าย และพวกซากศพเน่าเปื่อยจะช่วยให้ได้รับเกียรติยศ สถานะ และความมั่งคั่ง

และฉินเฟิงในปัจจุบันเอง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลยมิใช่หรือ?

เพราะเขาถึงขั้นได้กลายเป็นผู้นำของสถานที่ชุมชนแห่งใหม่!

นี่มันสุดยอดแรงบันดาลใจชัดๆ!

จากนั้น ทั้งสามก็หารือเกี่ยวกับการแบ่งผลประโยชน์

เพื่อความชัดเจน ตอนนี้ฉินเฟิงครอบครองสิทธิ์ในการพัฒนา , เจิ้งหยางครอบครองสิทธิ์ในการลงทุน , ซูซิงฝูครอบครองสิทธิ์ในการบริหารจัดการ และทั้งสามก็เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ สำหรับส่วนแบ่งผลประโยชน์ จะแบ่งออกเป็น ฉินเฟิง 30% , เจิ้งหยาง 45% , ซูซิงฝู 10% และสุดท้ายอีก 15% กระจายให้กับผู้บริหารคนอื่นๆในสถานชุมชนแห่งใหม่

แต่ผลประโยชน์เหล่านี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาในอนาคต เพราะคงจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย และจะมีการเจรจากันในทุกๆครึ่งปี

ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับผลประโยชน์ในปัจจุบันเท่าใดนัก เพราะครึ่งปีหลังจากนี้ จะเกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้น มากจนน่ากลัวว่าอาจจะทำให้ทั้งสองคนตรงหน้าตกตะลึงกลายเป็นตัวโง่งมเลยก็ยังได้!

ฉินเฟิงแท้จริงแล้วไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสถานที่ชุมชน แต่เนื่องจากผลกระทบที่ตนเป็นคนขโมยเอาศิลานรกมา ดังนั้นเขาเลยเกิดความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ

เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบสถานที่แห่งนี้!

และสักวันหนึ่ง เขาจะออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก สถานที่ซึ่งตัวตนทรงอำนาจอย่างเจ้าของมือที่ถูกตัดขาดอาศัยอยู่ สังหารมัน และช่วยนำพาสถานชุมชนแห่งนี้ไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท