โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 101

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.101 – มุ่งหน้าสู่เมือง

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.101 – มุ่งหน้าสู่เมือง

“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ฉันคงต้องขอตัวก่อน”

เจิ้งหยางมีหลายสิ่งต้องทำ ดังนั้นเขาจึงไม่สะดวกอยู่ในทุ่งล่านานไปกว่านี้

ส่วนที่เหลือเลยมอบหมายให้ดำเนินการต่อโดยซูซิงฝูกับฉินเฟิง

ฉินเฟิงผ่านประสบการณ์วิกฤตมามากมายในชีวิตก่อนหน้า ดังนั้นเรื่องการก่อสร้างสถานที่ชุมชนเขาเลยไม่กังวลเกี่ยวกับมันมากจนเกินไป แต่ก็ยังไม่คิดจะละเลยเช่นกัน

“จริงสิน้องชาย เธอคิดว่าในอนาคต ฐานของพวกเราควรจะมุ่งเน้นพัฒนาไปทางด้านไหนเป็นหลัก?” ซูซิงฝูถามขึ้นอย่างกระทันหัน

สำหรับสถานที่ชุมชนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ประชากรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซูซิงฝูเลยถามถึงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับประชากรโดยตรง

ฉินเฟิงมองไปยังซูซิงฝู ในสมองย้อนคิดไปว่าแม้อีกฝ่ายจะได้รับฉายานักขูดรีดในอนาคต แต่เขาก็เป็นนักธุรกิจชั้นยอด จะกลายเป็นผู้ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดในเมืองหลวง

พอคิดได้ดังนั้น ฉินเฟิงก็เผยรอยยิ้มขึ้นทันใด

“พัฒนาด้านเศรษฐกิจให้กับสถานที่ชุมชนเฟิงหลี ให้มันกลายเป็นย่านธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุด และในอนาคตจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งเมืองแห่งการค้า แบบนี้คุณคิดว่ายังไง?”

ดวงตาของซูซิงฝูเปล่งประกาย

“ก็ดีนะ ฉันชอบความคิดนี้!”

ฉินเฟิงตอบกลับในหัวใจ ‘แน่นอนอยู่แล้วว่าคุณจะต้องชอบมัน ก็ต่อไปคุณจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้มากที่สุดนี่นา’

“แม้ว่าจะเป็นการพัฒนาย่านธุรกิจ แต่ผลประโยชน์ของประชากรแต่ละคนก็ไม่ควรถูกปรับเปลี่ยน ควรใส่ใจด้านนี้ให้มาก ยิ่งมากยิ่งดี สำหรับเรื่องการตามหาคนมีความสามารถมาช่วยเหลือ … ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง ”

ในโลกใบนี้ หลังจากเกิดหายนะ เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ที่สุดคงไม่พ้นสามประเภทนี้ อันได้แก่ การผลิตอาวุธปืน , การผลิตอุปกรณ์รูน และความสามารถทางเกษตรกรรม!

และด้วยความทรงจำในอีกสิบปีข้างหน้าของชีวิตก่อน ฉินเฟิงจึงรู้จักการดำรงอยู่ของผู้มีพรสวรรค์ดังที่กล่าวมาข้างต้นมากมาย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชื่อๆหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของฉินเฟิง

“ดูเหมือนว่า ‘เหตุการณ์นั้น’ จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ฉะนั้นฉันต้องใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ว่า พาตัวลุงหลิวมาเข้าร่วมกับเมืองเฟิงหลีให้จงได้!”

พอคิดได้ ฉินเฟิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขากล่าวร่ำลากับซูซิงฝู และส่งมอบงานต่างๆให้อีกฝ่าย

จากนั้น เขาก็กลับมาที่ฐาน

“ฉินเฟิง ปฏิบัติการที่นี่เสร็จสิ้นลงแล้ว พาหนะของสถาบันเองก็กำลังจะกลับ พวกเราก็ไปกันเถอะ!” โจวฮ่าวกล่าว

ฉินเฟิงพยักหน้าและตอบกลับไป “อืม แต่นายกลับไปก่อนนะ พอดีฉันตั้งใจว่าจะออกไปที่ๆหนึ่งก่อน แล้วจะกลับไปเข้าร่วมงานสวนล่าใบไม้ผลิอีกครึ่งเดือนต่อจากนี้!”

“นายยังจะโดดเรียนอีกหรอ!” โจวฮ่าวไม่คิดว่าฉินเฟิงยังไม่ตั้งใจจะกลับไปที่โรงเรียน

“อย่าเชียวนา คิดจะไปในที่อันตรายอีกแล้วใช่ไหม นายกลับไปเรียนเถอะ” ฉินเฟิงชิงเอ่ยดักคอ เพราะเขารู้ว่านี่คือประโยคต่อไปที่โจวฮ่าวจะพูด

“ไม่เอาน่า ฉันแข็งแกร่งจะตาย —เพ้ยยย! แล้วแต่เอ็งเถอะ!” โจวฮ่าวไม่ยอมน้อยหน้า ชิงพูดประโยคที่ฉินเฟิงจะต้องเอ่ยมันหากได้ยินประโยคข้างบน เขาหันหลังเดินกลับไปที่รถศึก ฉินเฟิงเดินตาม แต่ตรงไปยังรถศึกของตัวเองที่อยู่ใกล้ๆ เวลานั้นเลยพลอยมองเห็นที่นั่งข้างคนขับของโจวฮ่าว และพบว่าลู่เหมิงกำลังนั่งอยู่อย่างกระทันหัน

ฉินเฟิงยกมือขึ้นลูบคาง หัวเราะในจิตใจ

“ไอ้หมาตัวไหนนะ ที่มันเคยด่าฉันว่าเห็นสาวสำคัญกว่าเพื่อน?!”

อันที่จริง ฉินเฟิงเข้าใจโจวฮ่าวผิดไป เพราะบนเบาะหลังของโจวฮ่าว ก็มีหลี่เหยาเหยานั่งอยู่เช่นกัน

หลังจากอีกฝ่ายขับรถออกไปแล้ว ฉินเฟิงก็สตาร์ทรถล่องเวหา แต่ขับไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับสถานชุมชนทางตอนเหนือ

ท่ามกลางทุ่งล่า ถนนแคบๆค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏป้อมรักษาการณ์ขึ้นในทุกๆ 100 เมตร

นี่คือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่ามีสถานชุมชนอยู่ข้างหน้า!

ในที่สุด กำแพงเมืองที่ทรุดโทรมก็ปรากฏขึ้นในสายตา แต่มองจากระยะไกล ตัวเมืองเทียบไม่ได้เลยกับสถานชุมชนเขตเฉิงเป่ย

พื้นที่ของมัน สามารถเรียกได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆเท่านั้น

-นี่คือเมืองหาน เป็นหนึ่งในเมืองที่แสนจะธรรมดา กล่าวได้ว่าเป็นสถานชุมชนขนาดเล็ก และเนื่องจากเมืองนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะควบคุม มันก็ค่อยๆกลายเป็นเมืองอิสระไปในที่สุด

รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจครอบคลุมมาถึงที่ห่างไกลเช่นนี้!

กระทั่งเทศมนตรีประจำเมืองหาน ยังเป็นแค่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F8 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเมืองนี้ เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว!

ถึงมันจะเป็นแค่เมืองเล็กๆไม่โดดเด่นหรือสำคัญอะไร แต่ภายในกลับมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

ฉินเฟิงขับรถไปตามท้องถนนของเมืองหาน ผู้คนโดยรอบต่างก็ประหลาดใจระคนอิจฉายามเมื่อมองเห็นรถของฉินเฟิง จนกระทั่งรถค่อยๆหยุดลงหน้าร้านที่เขียนว่า ‘ร้านอุปกรณ์เซินซาน’

ในหัวใจของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยกระจ่างแจ้ง

“ที่แท้คนๆนี้ก็มาเพื่อตามจีบหลิวซู”

“แต่ครั้งนี้ค่อนข้างเล่นใหญ่ไปหน่อยนะ!”

“รถศึกคันนั้นเจ๋งมากเลย จะต้องซื้อจากในสถานชุมชนแห่งอื่นแน่ๆ ของพวกเราไม่มีแบบนี้หรอก!”

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ ขณะรับฟังเสียงของผู้คนโดยรอบ

หลิวซู?

เธอเป็นผู้หญิงที่หยิ่งผยอง ฉินเฟิงเคยพบหน้าเธอไม่กี่ครั้งเท่านั้น และยังจดจำได้ว่าเธอตายก่อนวัยอันควร

ในชีวิตก่อนหน้า เมืองหานคือเมืองที่ฉินเฟิงมาเป็นที่แรกหลังจากที่เขาหลบหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่อยู่ได้ไม่ถึงเดือน ก็ปรากฏรอยแยกมิติขึ้น สิ่งมีชีวิตคืบคลานออกมารุกรานจากรอยแยกมิติ ส่งผลให้ทั้งเมืองตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง

หลิวซูเป็นผู้ใช้พลังเลเวล F คนหนึ่งที่มีฝีมือ ในช่วงเวลานั้น เธอออกไปข้างนอก และไม่กลับมาอีกเลย น่ากลัวว่าเธอคงจะตายยลงท่ามกลางการต่อสู้ไปแล้ว

“ออกไปจากรอบๆรถฉันซักที!” ฉินเฟิงเปิดประตู และผู้คนที่มามุงดู พอเห็นฉินเฟิง ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกาย

ในเวลาสั้นๆเพียงครึ่งเดือน กระดูกของฉินเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความสูงของร่างกายเขาปาไปถึง 1.8 เมตรแล้ว และยังสวมใส่ชุดต่อสู้ T7 ที่มีมูลค่าถึง 150,000 เหรียญ ให้บรรยากาศอันสูงส่ง เพียงแวบแรกที่มอง ก็บ่งบอกว่าทั้งคนทั้งร่างเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของผู้คนก็เต็มไปด้วยความอิจฉา

เพราะฉินเฟิงยังเยาว์วัย แถมยังดูดีมากอีกด้วย

ทว่าเมื่อสายตาของคนเหล่านั้นตกลงบนตราผู้ใช้พลังบนหน้าอกของฉินเฟิง ทั้งหมดก็ชะงักไป

กลับกลายเป็นว่าคนเบื้องหน้าคือผู้ใช้พลังในเลเวล G

ยิ่งไปกว่านั้นช่วงท้ายยังไม่มีตัวเลขระบุเอาไว้อีกด้วย —นี่มันก็คือผู้ใช้พลังที่ผ่านการรับรองทั่วๆไปเท่านั้น!

สักพักหนึ่ง ทุกคนก็รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้ากำลังมั่นใจเกินความสามารถของตนเอง — แข็งแกร่งเท่านี้ไม่มีทางจีบหลิวซูได้หรอก!

ฉินเฟิงไม่สนใจเกี่ยวกับความคิดของคนอื่น หลังจากที่เขาลงจากรถ ไป๋หลีเองก็ออกมาบ้าง แม้จะสวมแว่นกันแดดและหมวกฟาง แต่เธอก็ยังเด่นสะดุดตา ยิ่งไปกว่านั้นไป๋หลียังควงแขนฉินเฟิง เดินเข้าไปในร้านอย่างงดงาม

ในช่วงเวลานั้นเอง ไทยมุงจึงตระหนักได้ว่าตนเองเข้าใจผิดไป!

เพราะยังไงซะ หากฉินเฟิงต้องการจะตามจีบหลิวซูจริงๆ เขาจะควงผู้หญิงสาวสวยที่ดูสนิทสนมมาด้วยทำไม?

ฉินเฟิงไม่ใส่ใจกับสายตาคนรอบข้าง เขาแหวกฝูงชนออกมา และตรงเข้าไปในร้านอุปกรณ์เซินซาน เริ่มย้อนระลึกถึงห้วงความทรงจำอีกครั้ง

หน้าต่างยังคงสะอาดและใสแจ๋ว ทางเข้าหน้าร้านดูใหญ่โตโอ่อ่า บนประตูกระจกยังคงติดแผ่นพับที่ระบุว่ากำลังรับสมัครพนักงานขาย โดยมีทั้งที่พักและอาหาร

ย้อนกลับไปในช่วงนั้น ฉินเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่มีความแข็งแกร่งใดๆ เขาขี่มอเตอร์ไซผุๆพังๆที่ขโมยมา มายังเมืองหานโดยไม่พึ่งพาใคร และได้งานดังกล่าว

ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว

ฉินเฟิงเปิดประตูเข้าไป

หลิวเซินซานนั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้าของร้าน เมื่อพบว่ามีลูกค้าเข้ามา เขาก็กวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว และรู้ได้ทันทีว่าลูกค้าผู้มั่งคั่งได้มาเยือนแล้ว!

“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการอะไร” ก่อนที่พนักงานจะมาถึง หลิวเซินซานก็มาคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่ก่อนแล้ว

ฉินเฟิงพยักหน้าให้เขาและกล่าว “ผมต้องการ ‘หลอมคืน’ อุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง คุณมีเทคโนโลยีนี้รึเปล่า?”

“แน่นอน ทางเรายินดีรับคำร้องส่วนบุคคล ที่นี่การหลอมคืนเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ฉันเองก็จบการศึกษาเฉพาะด้านเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์รูนมาเหมือนกัน พ่อของฉันเองก็เป็นปรมาจารย์ด้านการผลิตอุปกรณ์รูนระดับอาวุโส! แต่น่าเสียดายที่เขาดันมาจากไปเร็วเกินไป” ลุงหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินเฟิงเองก็ยิ้ม เขาทราบดีว่าลุงหลิวกำลังคุยโม้อีกแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่คิดฉีกหน้าอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“งั้นก็ดี ผมอยากให้คุณช่วยหลอมคืนเจ้าสิ่งนี้”

ว่าจบ ฉินเฟิงก็หยิบชุดเกราะของราชันย์อัศวินออกมา!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท