โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 132

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.132 – ทีม 4 คน

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.132 – ทีม 4 คน

“ฉินเฟิง ท่าทีหยิ่งผยองนั่นมันอะไรกัน เชื่อไหมว่าแค่ฉันเอ่ยปากก็สามารถฆ่าแกได้!” หลินไคโกรธจนแทบคลั่ง

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่สนใจ กลิ่นอายสังหารกระพริบผ่านในแววตาของเขา

ใครจะฆ่าใครกันแน่!

อาจเป็นเพราะบทสนทนาระหว่างพวกเขาส่งเสียงดังมากเกินไป ในที่สุดก็มีอาจารย์แทรกผ่านเข้ามาในฝูงชน

“เกิดอะไรขึ้น? พวกเธอไม่ได้กำลังหาทีมอยู่หรอกหรอ? ทะเลาะอะไรกัน!” เฉิงเฉาขมวดคิ้ว มองทั้งสองกลุ่ม และหลังจากรู้ทราบว่าทั้งสองคือใคร เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงปัญหา

แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีอีกเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากฝูงชน

“อาจารย์ใหญ่!”

“อาจารย์ใหญ่!”*

(ขอเปลี่ยนคำเรียกเติ้งเหนียนว่าอาจารย์ใหญ่ จะได้ไม่ซ้ำกับผู้อำนวยการหลินเต๋อหรงครับ)

เป็นเติ้งเหนียน!

แม้หลินไคจะทำตัวราวกับกระทิงคลั่ง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะต่อกรกับคนที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพ่อของตน และไม่อยากถูกสั่งสอนที่นี่ ดังนั้นจึงถลึงตามองฉินเฟิง

“ฝากไว้ก่อนเถอะ แต่ฉันจะไม่จากไปเปล่าๆแน่นอน ในวันนี้! ใครก็ตามในคลาสมือปืนที่กล้าเข้าร่วมทีมกับฉินเฟิง ฉันจะไปเช็คบิลมันย้อนหลัง!”

หลินไคทิ้งระเบิดตูมใหญ่ หันหลังและเดินจากไป

เบ๊คนอื่นๆก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน และรู้สึกเพียงแค่ว่าฉินเฟิงทำให้เจ้านายของพวกเขาต้องเสียหน้า

เฉิงหมิงเองก็โกรธเกรี้ยว

เขาไม่คาดคิดเลย ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่อาจข่มฉินเฟิงได้ แถมยังทำให้มันหยิ่งผยองมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก!

“ฉินเฟิง ในฐานะที่พวกเราเป็นพี่น้องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันอยากจะเตือนนาย ว่านายน้อยหลินไม่ใช่คนที่สามารถล่วงเกินได้!”

“พี่น้อง? แกเคยเป็นพี่น้องกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น

โจวฮ่าวเองก็ขมวดคิ้ว “ฉินเฟิง นายจะไปสนใจมันทำไม บางทีคราวนี้อาจจะเป็นมันที่จงใจยุยงให้เจ้านายเข้ามาก่อกวนพวกเราก็ได้ แต่มันคงคิดไม่ถึงว่าจะหน้าแตก แล้วต้องวิ่งหนีหางจุกตูดกลับไปแบบนี้”

ใบหน้าของเฉินหมิงแดงก่ำขึ้นมาทันที คำพูดของโจวฮ่าวชัดเจนว่าแทงใจดำเขา

“โจวฮ่าว พูดได้ก็พูดไปก่อนเถอะ เดี๋ยวต่อไปพวกเราจะได้เห็นดีกัน!” เฉินหมิงแสดงออกถึงความเกลียดชัง จ้องมองโจวฮ่าวด้วยความโกรธ

“ก็เอาซี่ ฉันจะรอดู!”

ได้ยินถึงเสียงทะเลาะกันอีกรอบ ในที่สุดเติ้งเหนียนก็ก้าวออกมาต่อหน้าฉินเฟิงและคนอื่นๆ

“พวกเธอมามุงดูอะไรกันที่นี่ หาเพื่อนร่วมทีมกันได้แล้วรึยัง?”

เมื่อได้ยินคำกล่าวของเติ้งเหนียน ฝูงชนรอบข้างก็แยกย้ายกันไปทันที

เติ้งเหนียนหันไปมองฉินเฟิงในฝูงชน พยักหน้าให้ด้วยความเมตตา มิได้เอ่ยคำใดสักคำ แล้วหันหลังเดินจากไป

บางประโยค ไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยวาจาที่นี่

ในเวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็สั่นไหว ฉินเฟิงกวาดตามอง และพบว่าเป็นเติ้งเหนียนที่ส่งมาว่าหลังจากรายงานตัวทีมแล้ว ให้ไปคุยกับเขาที่สำนักงาน

ฉินเฟิงมิได้รู้สึกประหลาดใจใดๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากอ่านข้อความในอุปกรณ์สื่อสาร ฉินเฟิงก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และค้นพบว่าสีหน้าของโจวฮ่าวกับจ้าวหยูค่อนข้างน่าเกลียด ทั้งสองขมวดคิ้วมุ่น ในแววตาแฝงไปด้วยความโกรธ มีเพียงจางเทียนที่ยังคงสงบ มีท่าทีไม่แยแสใดๆ

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”

โจวฮ่าวสบถด้วยความโกรธ “ก็ไอ้หลินไคน่ะสิ! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ตั้งแต่ที่มันพ่นคำขู่เมื่อกี้ออกมา ก็ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นในคลาสมือปืนคนไหนมาเข้าทีมกับพวกเราเลย!”

“เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน!” จ้าวหยูเองก็โกรธอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอไม่ทางเลือกอื่น ได้แต่ปิดปากเงียบ

ขณะที่โจวฮ่าวเป็นเหมือนดั่งลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ เขากำลังขบคิดในจิตใจว่าสมควรจะให้บทเรียนหลินไคอย่างไรดี

“ฉันจะลองติดต่อกับพวกเขาดู” ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร เนื่องจากมีการประกาศอันดับออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นอุปกรณ์สื่อสารจึงสามารถใช้ติดต่อกับผู้คนที่ติดอันดับได้โดยอัตโนมัติ มันมีกระทั่งฟังก์ชั่นคัดกรองและบล็อค อย่างเช่นตั้งค่าให้คนที่อยู่อันดับล่างๆไม่สามารถติดต่อกับตนเองได้

และฉินเฟิงตั้งค่าเอาไว้ว่าไม่ให้ใครติดต่อเขา แต่ตอนนี้เขาได้เปิดมันแล้ว และหลายคนรับรู้ได้ว่าฉินเฟิงกำลังจัดทีม แต่ตำแหน่งเดียวที่ว่างอยู่คือมือปืน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับไม่มีนักเรียนจากคลาสมือปืนคนไหนติดต่อมาหาเลย

ฉินเฟิงไม่ใส่ใจ เลือกส่งคำถามไปยังสิบอันดับแรกของสาขาปืนโดยตรง

พิมพ์ถามไปแค่ว่าอีกฝ่ายมีทีมรึยัง

ในบรรดาคนเหล่านั้น บางคนก็เลือกจะไม่สนใจฉินเฟิง บางคนก็ใช้เวลาสักพัก ก่อนจะตอบว่าตนเองมีทีมแล้ว

‘มีทีมแล้วอย่างงั้นหรอ … ?’

‘นั่นเป็นไปไม่ได้! เพราะถ้าหากมีทีมจริงๆ ชื่อก็จะหายไปจากรายการจัดอันดับ!’

ผ่านไปกว่าสิบนาที ฉินเฟิงก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆอีก

นอกจากนี้ นักเรียนใหม่เกือบทั้งหมดก็ลงทะเบียนกันเสร็จสิ้นแล้ว

“ไปเถอะ ไม่ต้องเสียเวลารอกันอีกแล้ว” ฉินเฟิงเอ่ยปาก

จ้าวหยูแสดงออกถึงความกังวล “แต่ถ้าไม่มีมือปืน พวกเราจะเสียเปรียบนะ บางทีอาจถูกสไนเปอร์ของฝ่ายตรงข้ามลอบโจมตีเอาก็ได้”

มือปืนน่ะเป็นราชาแห่งการโจมตีระยะไกล เมื่อคุณไม่สามารถประชิดตัวอีกฝ่ายได้ นั่นหมายถึงการไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่อีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิง

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง อย่าลืมสิ ว่าฉันเองก็สามารถใช้อาวุธปืนได้!” ฉินเฟิงกล่าว

จ้าวหยูพอได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายสดใสขึ้นทันที

นั่นสินะ เพราะในครั้งแรกที่เข้าเรียนวิชายิงปืน ฉินเฟิงเคยโค่นอาจารย์ลง จนอีกฝ่ายถึงขั้นบิดตูดหนีมาแล้ว

“จริงๆด้วย ฝีมือยิงปืนของฉินเฟิงเองก็แข็งแกร่งเหมือนกันนี่นา งั้นฉันไม่ต้องการคนเพิ่มแล้ว มีสี่ก็ดีเหมือนกันจะได้แบ่งคะแนนกันได้เยอะๆไง ไปกันเถอะ!” โจวฮ่าวไม่อยากจะอยู่ในจตุรัสอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนกำลังมองมาทางพวกเขาด้วยความสงสารและเห็นใจ

และยังมีข้อสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ว่าฉินเฟิงอาจไม่ได้เก่งจริงๆ แต่เขาถูกยกขึ้นเป็นตัวโปรโมตสถานที่ชุมชนก็เท่านั้นเอง

‘ถ้าพวกนายเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงต้องบอกว่าสายตาของพวกนายมันมืดบอด!’

นี่คือสิ่งที่โจวฮ่าวคิด แต่เขาไม่ได้อธิบายออกไป เอาไว้เห็นด้วยตาตัวเองเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็หน้าสั่นเอง

ทั้งสี่เดินไปลงทะเบียนทีม แม้เฉิงเฉาจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินเฟิง

“มาแล้วนักเรียนดีเด่นฉินเฟิงของพวกเรา เกียรติยศในครั้งนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ!” เฉิงเฉาตบไหล่ฉินเฟิง

“ผมจะพยายามเท่าที่ทำได้ครับ!” ฉินเฟิงตอบไม่เต็มปากเต็มคำ แล้วการลงทะเบียนก็สิ้นสุดลง หลายคนแยกย้ายกันไป บางคนไปฝึกต่อ บางคนก็ไปพักผ่อน เพราะท้ายที่สุดแล้ว การฝึกพิเศษตลอดทั้งหนึ่งเดือนเพื่อวันนี้ เป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปสำหรับบางคน

มันรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ และในวันพรุ่งนี้เวลา 8 โมงเช้า ทั้งหมดจะต้องมารวมตัวกัน เพื่อเดินทางไปยังสวนล่าใบไม้ผลิโดยพาหนะที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้

“พวกเราจะมาฝึกพิเศษเตรียมตัวกันหน่อยไหม?” โจวฮ่าวเอ่ยถาม

แต่ฉินเฟิงส่ายหัว “ไม่หรอก ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ฉันเองก็มีธุระต้องทำด้วย”

“ตกลง งั้นเจอกันพรุ่งนี้”

“เออ เจอกัน”

ทั้งหมดร่ำลา และแยกย้ายกันไป ฉินเฟิงมุ่งไปยังสำนักงานของเติ้งเหนียน

….

ในสำนักงาน

ฉินเฟิงนั่งลงบนโซฟา ยกชาที่เติ้งเหนียนเตรียมไว้ให้ขึ้นจิบ

“ฉันได้ยินมาว่า เมื่อเร็วๆนี้เธอเพิ่งนำกลุ่มผู้ลี้ภัยจากเมืองหานกลับมาอย่างงั้นหรอ แถมยังล่าแม่พันธุ์แมงมุมเลือดขาเหล็กได้อีก?” เติ้งเหนียนเอ่ยถาม

ข่าวนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิด แม้เมืองหานจะอยู่ค่อนข้างไกล แต่ยังคงใช้เครือข่ายร่วมกัน

ตอนนี้เมืองหานตกอยู่ในกำมือศัตรู และกำลังส่งคำร้องขอผู้ใช้พลังจำนวนมากไปช่วยเหลือ ดังนั้นผลการต่อสู้ของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ เลยถูกส่งต่อออกไปเป็นธรรมดา

“ใช่แล้วครับ” ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างไม่คิดปิดบัง

เติ้งเหนียนถอนหายใจ “นี่สินะคำกล่าวที่ว่าลูกศิษย์อย่างไรสักวันหนึ่งย่อมเหนือกว่าอาจารย์!”

“อาจารย์ใหญ่ยกย่องผมเกินไปแล้ว”

“ไม่เลย เธออย่าถ่อมตัวสิ มันเป็นเรื่องจริง สำหรับงานสวนล่าใบไม้ผลิปีนี้ ฉันดีใจมากจริงๆที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา ฉันอยากให้เธอได้คะแนนดีๆ ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่ง เพราะหลายปีที่ผ่านมา พวกเรามักจะตกเป็นรองในการแข่งขันอยู่เสมอ”

ประโยคนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะท้ายที่สุดแล้วสถาบันระดับสูงที่เก่งที่สุดย่อมไม่พ้นสถาบันของทางเฉิงหยาง ที่นั่นมีนักเรียนเก่งๆมากมาย กระทั่งจำนวนโรงเรียนก็ยังมากกว่าสถาบันแห่งอื่นถึงสามเท่า

และด้วยปริมาณที่มหาศาล นักเรียนอัจฉริยะก็ย่อมมีมหาศาลเช่นกัน

แต่ใครจะไปคาดคิด ว่าในสถานชุมชนเฉิงเป่ยในปีนี้ จะมีสัตว์ประหลาดที่สามารถเหยียบย่ำอัจฉริยะเหล่านั้นจนจมดินได้ปรากฏตัวขึ้น!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท