โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 137

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.137 – ฉุดดึงเข้าสู่วังวน

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.137 – ฉุดดึงเข้าสู่วังวน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่คนเหล่านี้นึกคิด และกระแสของวังวนวายุกำลังไหลเข้าสู่มือของฉินเฟิง พลันปรากฏแสงสีแดงเฉิดฉาย ปะทุออกจากฝ่ามือของฉินเฟิงอย่างกระทันหัน

เปรี้ยง!

เส้นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ระเบิดออก พุ่งทะลวงใจกลางวังวนวายุ สายลมที่ปั่นป่วนกลายเป็นขับหนุนเปลวเพลิงให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม กรีดอากาศเป็นทิศทางตรง เข้าปะทะซางโหวเต็มรัก

วินาทีต่อมา ร่างไหม้เกรียมก็ถูกแรงปะทะดีดกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร ก่อนจะร่วงแหมะนอนจมอยู่ในพงหญ้า

ฉินเฟิงชักมือกลับ สะบัดควันไฟที่ลอยฟุ้งบนมือออกไปเบาๆ

นักเรียนจากสถาบันซิต๋าหลายตะลึงงัน นิ่งงันกลายเป็นคนโง่งม

“ส่งป้ายชื่อมาให้ฉันด้วยตัวเอง มิฉะนั้น ก็อย่ามาโทษว่าฉันไร้ความปราณี!”

อีกสามคนที่เหลือมองหน้ากันและกัน ปากอ้าตะโกน “แยกกันวิ่ง!”

เห็นได้ชัดว่าในหัวใจของพวกเขายังไม่ยอมแพ้ ส่งสัญญาณแยกย้ายกันไปคนละทาง บางทีหนึ่งในพวกเขาอาจจะรอดก็ได้!

ทว่ามีหรือที่ฉินเฟิงจะปล่อยไป เปลวไฟขนาดเท่าก้อนกรวดปะทุโหม แยกออกเป็นสามลูก ระเบิดจากฝ่ามือ พุ่งเข้าหาทั้งสามด้วยความเร็วที่สูงยิ่งกว่า ยามปะทะส่งทั้งสามปลิวว่อนไปคนละทิศทาง

และนี่ไม่ใช่บอลไฟเดิมๆ หากแต่เป็นบอลไฟที่ฉินเฟิงได้แรงบันดาลใจมาจากท่าวังวนวายุก่อนหน้านี้ เนื่องจากแรงระเบิดของลำแสงเปลวเพลิงน่ะมันรุนแรงเกินไป ดังนั้นเขาจึงควบรวมเปลวไฟเป็นกระแสวังวน ซึ่งจะระเบิดได้ง่ายกว่า สูญเสียพลังงานน้อยกว่า แต่ก็เบากว่าเช่นกัน

แผ่นหลังของทั้งสามคนถูกแรงระเบิดจนเกิดเลือดไหลซึม แม้นักเรียนบางคนจะสวมใส่เกราะรูน แต่แรงกระแทกก็ยังมากพอที่จะทำให้สลบไป

เรียกว่าน็อคในกระบวนท่าเดียว!

ฉินเฟิงตรงเข้าไป หยิบกระเป๋ารบของทั้งหมดมา จากนั้นก็แกะป้ายชื่อออก บนป้ายชื่อส่งเสียง ‘คลิ๊ก!’ และเมื่อมันแยกออกจากเสื้อผ้าที่แนบอยู่ ก็พลันปรากฏช่องว่างมิติขึ้นทันที แล้วพวกนักเรียนก็ถูกกลืนหายไป

พวกเขาถูกส่งกลับไปยังฐานทัพทหาร ตามกฏที่ผู้แพ้ต้องถูกออกจากการแข่งขัน

ผู้ใช้อบิลิตี้ระดับ 3 ของสถาบันซิต๋าแล้วมันยังไง? สุดท้ายก็ไม่คณามือฉินเฟิงอยู่ดี

“ฉินเฟิง!”

เสียงของโจวฮ่าวดังมาจากระยะไกล ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของฉินเฟิง

“จัดการหมดแล้วงั้นหรอ?”

“แน่นอน เจ้าพวกนี้มือใหม่ทั้งนั้น จะมาสู้กับฉันได้ยังไง!”

ต้องไม่ลืมนะว่าโจวฮ่าวเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G6 ที่เคยลงศึกจริงและเคยสู้กับอาชญากรมาแล้ว ในขณะที่พวกนักเรียนซิต๋ายังไม่สามารถก้าวไปถึงเลเวล G ด้วยซ้ำ

“ร้ายกาจ!”

ฉินเฟิงยกนิ้วโป้งให้ เอ่ยปากสรรเสริญอย่างไม่ลังเล

โจวฮ่าวหัวเราะ และกล่าว “เจ้าพวกนี้มันดวงตามืดบอด คิดแค่ว่าในทีมของพวกเรา มีแต่จ้าวหยูที่ทรงพลัง จังหวะแรกไม่มีใครคิดสนใจฉัน ผลสุดท้ายเลยถูกฉันฉวยโอกาสอัดจนหมอบลงไปจูบกับพื้นแทบทุกคน!”

แต่นั่นจะโทษอีกฝ่ายไม่ได้ซะทีเดียว เพราะเสื้อคลุมที่โจวฮ่าวสวมใส่ มันมีความสามารถซ่อนอยู่ นั่นคือ หลังจากอัดฉีดด้วยกำลังภายในลงไปแล้ว จะเกิดแสงสีเงินช่วยหลบเร้นโจวฮ่าวจากสายตาของผู้คน

“เอาล่ะ เสบียงน่าจะเพียงพอแล้ว”

เมื่อปล้นชิงเสบียงของทั้งสามทีม พวกฉินเฟิงก็มีอาหารพอสำหรับรับประทานเป็นเวลา 3 วัน

“ฟ้าใกล้มืดแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสองวัน พวกเราพักผ่อนกันก่อนจะดีกว่า ไม่ต้องรีบร้อนไป เพราะกลางคืนจะอันตราย จากการรับรู้ของฉัน พวกซิต๋าไม่ใช่แค่ดักซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ แต่พวกมันยังโรยผงขับไล่สัตว์ร้ายเอาไว้ด้วย!

“เข้าใจล่ะ งั้นพวกเราก็รับช่วงต่อจากพวกนั้นสินะ”

“ตกลง ฉันเชื่อนาย”

ผู้คนในทีมได้ยกให้ฉินเฟิงเป็นหัวหน้า และยินดีรับฟังคำของเขา

ในความเป็นจริง พวกซิต๋าไม่ได้ตั้งใจจะซุ่มโจมตีฉินเฟิงหรอก แต่พวกเขาตั้งแค้มป์กันที่นี่ต่างหาก แล้วมือปืนที่เฝ้ายามก็ดันไปเจอฉินเฟิงเข้าพอดี และพอเห็นว่าป้ายชื่อฉินเฟิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ลำดับ 21 เลยคิดว่าศัตรูเป็นแค่พวกหางแถว นี่เองคือต้นเหตุของเปิดฉากโจมตีในครั้งนี้

แต่ใครจะไปคิด ว่าฉินเฟิงและคนอื่นๆดันกลายเป็นเหล็กกล้าที่มิอาจสั่นคลอนได้อย่างกระทันหัน

ทั้งสี่หยิบอาหารแท่งขึ้นมากินในสถานที่ปลอดภัย และเริ่มรู้สึกว่าปากแห้งกำลังหยิบน้ำขึ้นมาดื่มกัน

แต่ในจังหวะนั้นเอง ปรากฏถึงเสียงซอกแซ่กดังขึ้นจากพงหญ้า

จางเทียนกับโจวฮ่าวดีดตัวขึ้นทันที

ไม่นานเกินรอ ร่างเงาสีขาวก็กระโจนออกมาจากมุมอับสายตา พุ่งเข้าหาฉินเฟิง

“อันตราย!”

ร่างเงาสีขาวว่องไวเกินไป แต่ฉินเฟิงกลับไม่ได้ตั้งท่าป้องกันใดๆ และเมื่อร่างเงาขาวหยุดลง คนที่เหลือจึงพบว่า จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับหมาปอม

“ฟู่ว … ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวไป๋!” โจวฮ่าวลดการป้องกันลง และเสี่ยวไป๋มิได้กลับมามือเปล่า มันยังคาบกระต่ายอ้วนที่ใหญ่กว่าตนเองเอาไว้ในปากมาฝากอีกด้วย

“ดูเหมือนว่ามื้อนี้เราจะได้กินอาหารพิเศษกันนะ” ฉินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ประเสริฐ ประเสริฐจริงๆ! งั้นฉันขอรับหน้าที่ย่างเนื้อกระต่ายเอง!” โจวฮ่าวดูมีความสุขมาก

เนื่องจากในทีมมีผู้ใช้อบิลิตี้ไฟ ดังนั้นการก่อกองไฟเลยไม่ใช่ปัญหา

จ้าวหยูเรียกลูกไฟออกมา จุดลงบนกิ่งไม้แห้งที่เก็บมากองรวมกัน ส่วนจางเทียนกำลังโบกสะบัดมีดผ่าตัด ถลกหนังกระต่าย และแยกอวัยวะภายในของมันออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นโจวฮ่าวก็ใช้ผลไม้วิญญาณที่พบโดยบังเอิญระหว่างทาง หั่นเป็นชิ้นๆแล้วยัดไส้ลงในกระตาย

ไม่นาน กลิ่นหอมก็เริ่มฟุ้งกระจาย

จ้าวหยูถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย

“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเราไม่ได้มาสู้เลย แต่ออกมาปิกนิกกันในสวนสาธารณะซะมากกว่า!”

“ปิกนิกกันในทุ่งล่าก็ได้ ขอแค่แข็งแกร่งเรื่องอื่นก็ไม่ใช่ปัญหา” โจวฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

กระต่ายถูกย่างจนสุก ท้องฟ้ามืดสลัว ทั้งสี่นั่งรอบกองไฟ กัดกินเนื้อกระต่ายย่างอย่างเอร็ดอร่อย

แต่เมื่อเทียบกับพวกเขาทั้งสี่ที่กำลังมีความสุขแล้ว คนอื่นๆกลับตื่นตัว และหวาดกลัวอยู่แทบตลอดเวลา

เพราะตกดึก คือช่วงเวลาที่สัตว์ร้ายจะปรากฏตัวขึ้น และพวกมันเองก็รอไม่ไหวสำหรับงานเลี้ยงฉลองประจำปีที่จะจัดขึ้นนานๆครั้งแบบนี้!

สำหรับพวกมัน นี่คือช่วงเวลาที่อาหารอย่างมนุษย์ถูกส่งเข้ามาป้อนถึงปาก!

“โบร๊ว …”

เสียงหอนดังยาวขึ้นต่อเนื่อง

“โบร๊ว โบร๊ว …”

ต่อด้วยอีกเสียงหนึ่ง และอีกหนึ่ง

“ฝูงหมาป่า!” สีหน้าของจ้าวหยูแปรเปลี่ยน

“แถมยังอยู่ไม่ไกลจากพวกเรา” ฉินเฟิงเริ่มเพ่งสมาธิ

สถานการณ์แบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้ยินเสียงหอนและสับฝีเท้าของหมาป่า ไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องตัดผ่านผืนฟ้า

“ช่วยด้วย!”

“อ๊า อย่าทิ้งฉัน กลับมาช่วยฉันก่อน”

และเสียงนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้าของเสียงถูกสังหารโดยฝูงหมาป่า หรือแกะป้ายชื่อตัวเองออก และหลบหนีจากพื้นที่สวนล่าใบไม้ผลิไปแล้ว

สีหน้าของคนที่เหลือเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง เพราะเสียงที่เขาและเธอได้ยิน มันกำลังดังตรงเข้ามาทางตำแหน่งที่ตั้งแค้มป์อยู่!

เนื่องจากฉินเฟิงและคนอื่นๆ จุดกองไฟย่างกระจ่ายกินกันอย่างเปิดเผย และพวกมือปืนก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เหล่ามือปืนที่กำลังลาดตระเวนจะไม่สังเกตเห็นตำแหน่งของพวกฉินเฟิงได้อย่างไร?

ดังนั้นหลังจากบังเอิญเผชิญกับฝูงหมาป่า พวกเขาจึงเร่งตรงมายังทิศทางของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว

แม้อีกฝ่ายจะไม่ยินดีช่วยพวกตนก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงซะ มันก็ดีกว่าถูกฉุดดึงลงสู่ความตายเพียงลำพัง

“ขึ้นไปบนต้นไม้!”

ฉินเฟิงเอ่ยสั่ง และปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เป็นคนแรก

โจวฮ่าว , จางเทียน ช่วยกันดึงจ้าวหยูขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง

กำลังภายในและพลังสมาธิถูกควบรวมมาไว้ที่ดวงตา ท่ามกลางความมืดมิด วิสัยทัศน์ของพวกเขากว้างไกลขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่นานก็สามารถมองเห็นร่างที่อยู่ไกลออกไปได้

ทั้งหมดพบว่ามันเป็นเครื่องแบบนักเรียนสีเขียวเข้ม เป็นนักเรียนจากสถาบันซิต๋าอีกแล้ว

แต่การพบนักเรียนจากสถาบันเดิมซ้ำๆน่ะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะตำแหน่งที่พวกฉินเฟิงเข้ามา คาดว่าน่าจะอยู่ติดกับสถาบันซิต๋า และนี่เองคือเหตุผลที่เจอกับนักเรียนซิต๋าหลายครั้งหลายครา

สีหน้าของโจวฮ่าวแสดงออกชัดถึงความโกรธ

“คิดจะลากพวกเราให้ตายไปด้วยกันอย่างงั้นหรอ? ได้เลย ฉันจะเป็นคนลงมือฆ่าแกเอง!” โจวฮ่าวชักปืนขึ้น เตรียมยิงใส่อีกฝ่าย

“โจวฮ่าว ฉันขอล่ะอย่าเลย ถ้านายทำแบบนั้นในตอนนี้ เขาจะตายจริงๆนะ!” จ้าวหยูเร่งขวางโจวฮ่าว

ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ในตำแหน่งถัดออกไป เกิดเสียงปืนดังขึ้น

ปัง!

ไรเฟิลสาดเสียงคำรามต่ำออกมา

อ๊าาาา!

นักเรียนของซิต๋าที่กำลังวิ่งหลบหนี ร่วงลงกับพื้น

เมื่อทุกคนหันไปตามเสียงก็พบว่า —-

—เป็นฉินเฟิง!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท