โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 140

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.140 – เป็นแค่หางแถวคิดเสนอหน้า?

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.140 – เป็นแค่หางแถวคิดเสนอหน้า?

หลังจากที่กำจัดลิงเถื่อนจนหมดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เก็บรวบรวมอะไร แต่เดินตามหลินเหมาไปทันที

ฉินเฟิงแน่นอนว่าย่อมตระหนักถึงการมาเยือนของคนเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมิได้ลอบโจมตีเขาด้วยอาวุธปืน ดังนั้นฉินเฟิงจึงเดินนำคนอื่นๆในทีมออกไปประจัญหน้าอย่างองอาจ

ในครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงฉินเฟิง โจวฮ่าวและคนอื่นๆก็รู้สึกได้เช่นกัน ทุกคนทยอยกันแยกจากต้นกล้วย กลับมาหยุดยืนข้างฉินเฟิง

แน่นอน ว่าในทีมตั้งกระบวนทัพในรูปแบบสามเหลี่ยม โดยมีจ้าวหยูอยู่ตรงกลาง เฝ้ารอคอยการมาถึงของอีกฝ่าย

ไม่นานเกินรอ นักเรียนจากสถาบันซิต๋าก็ปรากฏตัวขึ้น ด้วยจำนวนที่มากกว่าหลายเท่า พวกฉินเฟิงเลยยิ่งดูโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ

หลินเหมาก้าวออกมาข้างหน้า จ้องมองไปยังทั้งสี่ด้วยสายตาเหยียดหยาม

“นี่น่ะหรือทีมอันดับหนึ่งคลาสอบิลิตี้ของเฉิงเป่ย? ทำไมถึงมีกันแค่ 4 คนล่ะ? มือปืนคงจะถูกฆ่าตายไปแล้วใช่ไหม? มีกำลังรบเท่านี้ ช่างอ่อนแอจนน่าหัวเราะซะจริง!”

นักเรียนจากซิต๋าพากันระเบิดเสียงหัวเราะ พวกเขาคิดว่าฉินเฟิงเป็นทีม 5 คน แต่ผลปรากฏว่าไม่มีมือปืนโผล่มา เลยคาดเดากันไปเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฉินเฟิงที่ยืนอยู่หน้าสุด เลยทำให้ทางฝั่งซิต๋าสามารถมองเห็นเลขอันดับของเขาได้อย่างชัดเจน

“เลข 21 ?”

“นั่นมันพวกหางแถวไม่ใช่หรือ?”

“ได้ยินว่านักเรียนคลาสอบิลิตี้ของเฉิงเป่ยมีมากที่สุดก็ 30 คน”

“อ่อนแอแบบนี้ มาอยู่ทีมเดียวกันกับนักเรียนลำดับ 1 ได้ยังไงกัน? หรือว่าสถาบันเฉิงเป่ยยอมแพ้ที่จะเข้าชิงที่ 1 ในการแข่งขันครั้งนี้แล้ว? แต่ก็นั่นล่ะนะ เพราะพวกเขาเองเหมือนว่าจะไม่มีนักเรียนที่โดดเด่นปรากฏตัวขึ้นหลายปีแล้ว!”

ฝูงชนเริ่มสนทนา เยาะเย้ยกันอย่างเต็มที่

แต่น่าเสียดาย ที่บนใบหน้าฝั่งตรงข้าม มันกลับไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลย ราวกับว่าสิ่งที่พวกซิต๋าพูด ไม่ได้กล่าวถึงพวกเขา

หลินเหมาส่งเสียงฮึฮะคำหนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “เอาล่ะ ฉันจะไม่รังแกพวกนาย เรามาสู้กันในรูปแบบ ‘ตัวต่อตัว’ เพราะฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าอันดับหนึ่งคลาสอบิลิตี้ของเฉิงเป่ยจะแน่ซักแค่ไหน!”

หลินเหมาสาดสายตาไปทางจ้าวหยู ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกมาต่อสู้กับตนอย่างยุติธรรม

ส่วนคนอื่นๆ เขาละความสนใจไปโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม จ้าวหยูมิได้ก้าวออกมา แต่เป็นเฉินเฟิงที่โฉบไปก้าวหนึ่ง

“งั้นคู่แรก ขอเริ่มจากฉันก็แล้วกัน”

จ้าวหยูมีประสบการณ์ต่อสู้กับคนจริงๆน้อยมาก ดังนั้นฉินเฟิงไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถเอาชนะหลินเหมาได้หรือไม่

ทว่าเพียงฉินเฟิงก้าวออกมา ทางซิต๋าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไอ้เศษสวะ แกมันไม่คุ้มค่าให้หัวหน้าของพวกเราลงมือ! ฉันจะจัดการแกเอง” วัยรุ่นร่างท้วมก้าวเดินออกมา บนหน้าอกเขา ติดป้ายชื่อที่มีเลขระบุเอาไว้ว่า

13!

แม้ในปีนี้ทางซิต๋าจะมีนักเรียนคลาสอบิลิตี้ไม่มากนัก แต่ลำดับที่ 13 ยังถือว่าเป็นความสำเร็จในระดับกลาง!

“เอาเลยหลี่หยาง จัดการมันซะ!”

“มันก็แค่พวกหางแถว ไม่ใช่คู่มือของหลี่หยางแน่นอน!”

“หลี่หยางเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ไฟ ธาตุไฟน่ะครอบครองพลังโจมตีที่แข็งแกร่ง เจ้าหมอนั่นไม่ตาย ก็คงถูกระเบิดปลิวหายไปแน่ๆ”

“ก๊าก ฮ่าฮ่า มันตายแน่ ฉันทนรอดูสภาพมันถูกเผาจนหัวหยอยไม่ไหวแล้ว!”

ฝั่งซิต๋าเย้ยหยันกันสุดโต่ง ทางหลี่หยางเองพอถูกเชียร์มากๆเข้าก็กลายเป็นตื่นเต้นเช่นกัน เขาก้าวออกมาข้างหน้า เผยโฉมให้เห็นถึงคู่ถุงมือที่สวมใส่

–เป็นกรงเล็บไฟเลเวล G1!

มันคืออุปกรณ์รูน!

นี่คืออุปกรณ์รูนอบิลิตี้สำหรับผู้เริ่มต้นที่ใช้กันโดยทั่วไป แม้จะมีระดับต่ำสุด แต่ราคาก็ปาเข้าไปมากถึง 53,000 เหรียญแล้ว การที่สามารถสวมใส่ถุงมือนี้ได้ แสดงว่าครอบครัวของลำดับ 13 คงมั่งคั่งพอสมควร

ฉินเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า

“เริ่มกันซักที แล้วก็จบให้ไวๆอย่ามัวชักช้า!” หลินเหมาเร่งเร้า ดูเหมือนว่าเขาอยากจะให้ฉินเฟิงพ่ายแพ้ให้จบๆไป

“รับทราบหัวหน้า! เปลวเพลิงเอ๋ยจงลุกโหม!” หลี่หยางกรีดกรายนิ้วไปมาราวกับหนวดหมึก ปลุกเร้าเปลวเพลิงรอบกายเขา ช่วงเวลาต่อมา ก็ปรากฏลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นก่อตัวขึ้น!

“ระเบิดไฟ!”

ยามเมื่อถูกกระตุ้นด้วยพลังสมาธิ เปลวไฟดีดตัวออก พุ่งเข้าหาฉินเฟิงเฉกเช่นเดียวกับกระสุนปืนขนาดย่อม

ฉากนี้สำหรับผู้คนที่เฝ้ามอง มันดูน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่น่าเสียดาย ที่มันอ่อนแอเกินไป!

“เปลวเพลิงเอ๋ยจงลุกโหม!”

ฉินเฟิงกระตุ้นพลังสมาธิในทำนองเดียวกัน

“ระเบิดไฟ!”

บอลไฟขนาดเท่ากำปั้นปะทุออก หากแต่มันเป็นสีแดง-ดำ พรวดปะทะเข้ากับลูกไฟของหลี่หยางและ—

–เปรี้ยง!

ลูกไฟดวงหนึ่งเกิดการระเบิดขึ้นกลางอากาศในทันควัน เปลวเพลิงลุกโหมภายใต้สายตาของฝูงชน

และในจังหวะนั้นเอง ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนซิต๋า คนๆหนึ่งได้โพล่งเตือนออกมา

“หลี่หยาง อันตราย!”

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโหม ลูกไฟสีดำแดงพุ่งพรวดออกมา กระแทกใส่หลี่หยางเข้าเต็มๆ

ตูม!

หลี่หยางถูกระเบิดปลิวออกไปทันที แม้บนตัวจะสวมชุดเกราะชั้นในคอยป้องกัน แต่บัดนี้ ใบหน้าของหลี่หยางดำคล้ำราวกับถูกถ่านโปะ

เนื่องจากหลังปลุกพลังให้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว พลังชีวิตของมนุษย์จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ความทนทานก็สูงขึ้น ดังนั้นหลี่หยางจึงไม่ตายทันทีหลังจากถูกโจมตี แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจฝืนสู้ต่อได้ไหม

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”

หลี่หยางเบิ่งตากว้าง อาเจียนเลือดออกจากปาก เขาไม่อาจทำใจเชื่อได้เลย

ในสายตาของคนอื่นๆ ทั้งสองปลดปล่อยระเบิดไฟออกมาพร้อมกัน ในเวลานั้น รูนไฟที่หลี่หยางใช้โจมตีถูกปลดปล่อยออกมา 5 ตัว

ทว่าอีกฝ่ายซึ่งเป็นหางแถว กลับปลดปล่อยรูนไฟออกมาถึง 6 ตัว ส่งผลให้สามารถโค่นหลี่หยางลงภายใต้การโจมตีเดียวได้อย่างกระทันหัน

นี่เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับสำหรับพวกเขา หากอย่างไรมันก็คือความจริง!

“รอบนี้ถือว่าฉันชนะใช่ไหม? งั้นไหนล่ะคนต่อไป?” ฉินเฟิงตอบโต้ด้วยท่าทีสบายๆ

บอกได้เลยว่าเวลานี้ ท่าทีและคำพูดของเขาสามารถกระตุ้นความโกรธของนักเรียนซิต๋าได้เป็นผลสำเร็จ!

“แก .. แค่โค่นลำดับ 13 ได้ อย่าทำเป็นอวดดีไปหน่อยเลย!”

อีกคนหนึ่งกระโจนออกมา และพบว่าบนป้ายชื่อเป็นเลข 10

“กระแสน้ำเอ๋ยจงบรรจบ!”

“คลื่นวารี!”

อบิลิตี้น้ำถาโถมอย่างเมามัน ก่อตัวเป็นกระแสคลื่นขนาดย่อม ดูตระการตาเป็นอย่างยิ่ง

“คลื่นเปลวเพลิง!”

ลูกไฟขนาดใหญ่ปะทุโหม มันก่อตัวเป็นมังกรเพลิงในรูปแบบเดียวกันกับคลื่นน้ำ สาดเข้าหากัน

น้ำกับไฟหักล้างกันและกัน พริบตานั้นหมอกหนาก็ฟุ้งไปทั่วบริเวณ นักเรียนจากสถาบันซิต๋าเฝ้ามองใจตำแหน่งปะทะอย่างใจจดใจจ่อ

“อบิลิตี้น้ำกับไฟ … น้ำยังไงก็เหนือกว่า พวกเราเป็นฝ่ายชนะแน่นอน!”

“ถูกต้อง มอบความพ่ายแพ้ให้มันซะ ไอ้บ้านั่นมันหยิ่งยะโสเกินไป ต้องถูกสั่งสอนซะบ้าง!”

“พวกเราชน–”

ขณะที่ทุกคนกำลังคิด และเตรียมชูมือขึ้นประกาศชัยชนะ พวกเขาก็ต้องหุบปากลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเวลานี้ ใจกลางพื้นที่เปิดโล่งได้ตัดสินผู้ชนะไปแล้วจริงๆ

ทว่าที่ปรากฏสู่สายตากลับเป็นคลื่นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่โถมทับ กลืนกินคลื่นน้ำจนระเหยหายเป็นไออย่างรวดเร็ว สาดคลื่นความร้อนแผ่ออกมา และ–

–เปรี้ยง!

คลื่นเปลวเพลิงกระแทกเข้าใส่คลาสอบิลิตี้ลำดับ 10 ปลิวกระเด็นขึ้นไปบนฟากฟ้า

… เป็นหรือตายก็ไม่อาจทราบได้

คนของสถาบันซิต๋า เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

“คนต่อไป!” ฉินเฟิงกล่าวปลอดโปร่ง

“แก … อย่าทำเป็นอวดดีไปหน่อยเลย!”

คราวนี้เป็นคลาสอบิลิตี้ลำดับ 6

“ประโยคเดียวกับคนก่อนหน้าเป๊ะๆ แกก็เป็นตัวประกอบใช่ไหม?”

ฉินเฟิงขยับปากงึมงำ

และเขาไม่ได้พูดผิดไปเลย เพราะเพียงกระบวนท่าเดียว อีกฝ่ายก็ถูกโค่นลงโดยสิ้นเชิง

ฉินเฟิงคว้าชัยชนะมาได้อีกครั้ง

สีหน้าของนักเรียนฝั่งซิต๋ากลายเป็นเขียวคล้ำ

ต้องรู้นะว่า แม้ในกลุ่มของพวกเขาจะมีอยู่กว่า 30 คน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าจะลำดับสูงหรือต่ำ ก็ต้องต่อสู้เพื่อคะแนนของตนเอง และปัจจุบันลำดับ 6 ก็พ่ายแพ้ไปแล้ว ดังนั้นจะมีใครอีกที่ยินยอมออกหน้า?

ฉินเฟิงกวาดสายตาผ่านฝูงชน ก่อนจะหยุดลงบนร่างของอันดับ 2 แห่งซิต๋า

“ยังมัวรออะไรอยู่อีก? น่าจะถึงตานายแล้วนะ!” ฉินเฟิงพยักหน้าให้เฉียนเต๋า “แล้วหลังจากเขี่ยอันดับ 2 ทิ้ง ฉันก็จะได้เตะตูดอันดับ 1 ซักที!”

สีหน้าของเฉียนเต๋า และหลินเหมากลายเป็นฟ้าอมม่วง

สองแขนของโจวฮ่าวที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมอดไม่ได้ที่จะกุมท้องเนื่องจากหัวเราะอย่างหนัก วาจาจิกกัดของฉินเฟิงช่างเจ็บแสบซะจริงๆ!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท