โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 154

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.154 – อาวุโสตระกูลซินออกหน้า

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.154 – อาวุโสตระกูลซินออกหน้า

ทว่าการประลองในรอบที่ 19 กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มขึ้น

เวลานี้ ทั้งเนื้อตัวของผู้จัดการท่วมไปด้วยเหงื่อนเย็น เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

เพราะคนพวกนี้ บางคนเป็นถึงนักสู้ระดับชั้นยอดในสังเวียนต่อสู้ของเขา ขณะที่บางคนก็ได้รับเชิญมา

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เขาสังหารผู้ท้าชิงที่ถูกส่งไปโดยผู้จัดการลงทั้งหมดเลย!

ต้องทราบนะว่าเครือข่ายของผู้จัดการน่ะกว้างขวางมาก แต่ตอนนี้ ผู้จัดการคิดว่า เพราะการที่ตนอยากจะประจบตระกูลซิน เลยทำให้เครือข่ายทั้งหมดของตนล่มสลายลงไม่มีหลงเหลือ!

ช่างน่าเห็นใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสมเพชเหลือเกิน!

“นายน้อยซิน .. ทางฝั่งกระผม ไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่เหลือแล้วจริงๆ!” ผู้จัดการกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ซินเจี่ยเซิงเองก็แทบจะกลายเป็นบ้า

“อาวุโสเต๋า!” ซินเจี่ยเซิงที่กำลังขบฟันแน่น เปล่งเสียงตะโกนขึ้นกระทันหัน

ผู้จัดการงง แต่วินาทีต่อมา จู่ๆก็มีคนปรากฏกายขึ้นภายในห้องส่วนตัวอย่างน่าฉงน

—เป็นเต๋าชิชาง อาวุโสกิตติมศักดิ์แห่งตระกูลซิน!

ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ เป็นเพราะเขาคือคนที่รับใช้ตระกูลซินมาตั้งแต่ช่วงวัยหนุ่ม ได้รับความโปรดปรานจากผู้นำเก่า และแน่นอน หน้าที่ของเขาก็ยังคงเหมือนกับคนรับใช้ คอยปกป้องซินเจี่ยเซิง คนที่มีแนวโน้มว่าจะรุ่งโรจน์ที่สุดในตระกูลซิน

“อาวุโสเต๋า จะปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!” ซินเจี่ยเซิงเองก็ดูจะกังวลเหมือนกัน เขาไม่แน่ใจว่าเต๋าชิชางจะยอมลงมือเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ซินเจี่ยเซิงตระหนักได้ถึงวิกฤตอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป ศักยภาพก็เหลือล้น

และเต๋าชิชางที่เฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชาอยู่รอบนอก หลบเลี่ยงอยู่ในความมืดมิดเองก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน!

“นายน้อยโปรดวางใจ ทาสชราผู้นี้จะจัดการให้เอง!”

สิ้นเสียง ทันใดนั้นเต๋าชิชางก็หยิบหน้ากากหนังมาสวมทับลงบนใบหน้าของเขา รูปลักษณ์ใบหน้าเปลี่ยนแปรไปทันใด

เปลี่ยนจากชายแก่ชรา กลายเป็นชายวัยกลางคน

ก็อย่างที่บอกไป เขาเป็นอาวุโสแล้ว ทั้งยังครอบครองสถานะพิเศษ ดังนั้นหากให้ออกไปลงมือจัดการกับฉินเฟิงในสภาพนั้น เกรงว่ามันจะไม่สมเหตุสมผลมากเกินไป

ไม่ต้องกล่าวถึงปัจจุบันมีผู้คนมากมายกำลังให้ความสนใจกับฉินเฟิง

แน่นอน อันที่จริงการประลองแบบข้ามเลเวล ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบเจอ ลูกหลานบางคนของตระกูลใหญ่ก็สามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในเลเวล F6 แต่กลับถึงขั้นสามารถโค่นผู้ท้าประลองที่มีเลเวลสูงกว่าถึง 3 ระดับได้ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงยังจบการประลองลงในเวลาไม่กี่ลมหายใจ

และชนะต่อเนื่องติดต่อกันกว่า 18 ครั้ง!

แค่นี้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากพอแล้ว

กระทั่งตัวตนชั้นนำของเมืองเฉิงหยาง ทั้งหมดก็เริ่มสังเกตเห็นถึงสถานการณ์นี้ พวกเขาเริ่มใช้อุปกรณ์ฉายภาพต่างๆ จับตาดูและให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสังเวียน

ขณะเดียวกัน คนอื่นๆก็เริ่มทยอยกันเข้ามาดูอย่างต่อเนื่อง

ฉินเฟิงเฝ้ารอนานกว่า 20 นาทีเต็ม จนสุดท้ายก้มลงมองนาฬิกาตน พบว่านี่มันก็เกือบจะ 2 ทุ่มแล้ว แต่เขายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย หากยังไม่มีใครมา เขาก็ตัดสินใจว่าจะลงไป

ทว่าราวกับรู้ความคิดของฉินเฟิง ร่างที่ดูเตี้ยและผอมเพรียว พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าฉินเฟิง

อีกฝ่ายมีใบหน้าที่แสนจะธรรมดา ชนิดที่ว่าหากจับโยนลงไปท่ามกลางฝูงชน เกรงว่าจะหาเขาไม่เจอ!

แต่มีเฉพาะเพียงดวงตาเท่านั้น ที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบ น่ากลัวว่าจะเป็นนักฆ่าชั้นยอด!

สีหน้าของฉินเฟิงเริ่มกลายเป็นจริงจังในที่สุด

“ในที่สุดก็มีพวกกระดูกแข็งเสนอหน้ามาซักที!” ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น

“เจ้าหนู เธอแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่น่าเสียดาย …. ” อีกฝ่ายถอนหายใจ “เพราะต้นไม้ที่งอกงามเร็วเกินไป รากยังมิอาจหยั่งลึก สุดท้ายก็ยังถูกโค่นลงโดยลมพายุร้าย!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินเฟิงก็เผยรอยยิ้มแย้มออกมา เพราะประโยคดังกล่าว มีใครคนหนึ่งเคยเอ่ยมันกับเขามาก่อนแล้ว

แต่คราวนี้เขาไม่คิดเปล่งวาจาโต้เถียง!

“งั้นก็พิสูจน์มันสิ!”

เต๋าชิชางพยักหน้า วินาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็วูบไหวเหลือเพียงเงา ดั่งพายุร้ายกรรโชกที่คิดโถมโค่นต้นไม้ใหญ่

ตามมาติดๆด้วยประกายแสงเย็นเยียบของมีดสั้น ตวัดโฉบตรงเข้าใส่ลำคอด้านข้างของฉินเฟิง!

ในหัวใจของฉินเฟิงกระตุกวูบ ทว่าหากคิดป้องกัน เกรงว่ามันจะสายเกินไป!

ตูมมม!

ปรากฏเสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้น! เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งทะยานสู่เบื้องบน รูนพรั่งพรูออกมาร่ายระบำ คลื่นกระแทกกวาดทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศทาง

นี่คือพลังพิเศษธาตุไฟของฉินเฟิง

—ต้องไม่ลืมนะว่าในงานสวนล่าใบไม้ผลิ ฉินเฟิงสามารถเก็บเกี่ยววัตถุดิบได้มากมาย ผลลัพธ์เลยกลายเป็นทั้งพลังสมาธิและการรับรู้ของฉินเฟิงเพิ่มสูงขึ้น กระทั่งหน่วยความจำก็ยังกลายเป็นดีเยี่ยม กล่าวได้ว่าเวลานี้หากมีใครคนหนึ่งปลดปล่อยอบิลิตี้ใส่เขา ตราบใดที่ตนได้เฝ้ามองมัน ก็จะสามารถดัดแปลงมาใช้กับตนเองได้ในทันที

ซึ่งท่าโจมตีนี้ คือท่าคลื่นเปลวเพลิง ที่ฉินเฟิงได้มาจากการปะทะกันกับนักเรียนสถาบันซิต๋า

วูซซซ วูซซซซ วูซซซซซ!

เต๋าชิชางกระเด็นออกจากระยะประชิด ย่ำกว่า 2 – 3 ก้าวจึงสามารถรั้งฝีเท้าไว้ตรงขอบเวที และเริ่มหลบเลี่ยงอำนาจมหาศาลของรูน

ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนรอบเวทีต่างระเบิดเสียงโห่ร้อง

“นั่นมันอบิลิตี้!”

“เป็นไปได้ยังไงกัน? ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณหรอกหรือ?”

“หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนทั้งวรยุทธและอบิลิตี้!”

ผู้ชมโดยรอบกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น

“ไม่เลวเลย ช่างน่าทึ่งจริงๆ”

เต๋าชิงชางได้ติดตามซินเจี่ยเซิงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับการทดสอบของฉินเฟิง อย่างไรก็ตามพลังสมาธิก็สามารถถูกใช้โดยมือปืนได้เช่นกัน แต่เมื่อมันมีระดับอยู่ถึงสวรรค์โปรดปราน ฉะนั้นเต๋าชิชางเกรงว่าน่าจะเฉพาะแค่คนที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้เท่านั้นถึงจะมีได้

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงระแวดระวังฉินเฟิงมาโดยตลอด จึงสามารถป้องกันได้อย่างทันท่วงที

บัดนี้ สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นจริงจังโดยสมบูรณ์

“ดูเหมือนว่าคราวนี้ ไม่เอาจริงจะไม่ได้แล้ว!”

วิสัยทัศน์ของเขาตกลงบนมีดสั้นสีเงินในมือของฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันก็ฉกมือลงไปที่เอว คว้ามีดกษัตริย์ครามมาไว้ในกำมือ

นักสู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ล้วนไม่คุ้มค่ากับการใช้มีดกษัตริย์คราม

แต่ปัจจุบัน ถึงเวลาต้องใช้มันแล้ว เพราะยังไงซะ กระบวนท่าของเต๋าชิชางก็น่าหวาดกลัว มันร้ายแรงพอที่จะสามารถสังหารเขาได้

อันตรายเกินไป!

มองไปยังฉินเฟิงที่ชักมีดกษัตริย์ครามออกมา นอกจากนี้ยังเป็นอุปกรณ์รูนสีเงิน ไม่เพียงแค่นั้น มันยังสาดแสงสีทองจางๆอีกด้วย ฉากนี้ทำให้ดวงตาของเต๋าชิชางหรี่แคบลง ในหัวใจเพิ่มความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น

ทั้งสองจ้องมองกันและกัน คล้ายดั่งกำลังมองหาช่องโหว่ของอีกฝ่าย

วินาทีต่อมา สองร่างก็วูบไหวขึ้นพร้อมกัน

วิซซซ วิซซซ!

ทั้งสองพุ่งสวนกัน โฉบทีเดียวข้ามผ่านกลางสังเวียน พุ่งไปถึงสุดขอบแต่ละฝั่ง

ทว่ากลับไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆของอาวุธที่กระทบกระทั่งกันและกัน

ฟิ้ว…! ผมปรกหน้าผากของฉินเฟิงร่วงหล่นลงไปหลายเส้น แต่ขณะเดียวกัน–

–ฉัวะ!

พลันบังเกิดเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด ปรากฏรอยตัดขึ้นตรงเอวของเต๋าชิงชาง เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นถึงเกราะสีเงินด้านในที่สวมทับ บัดนี้ตรงเกราะที่ถูกฟันเกิดร่องรอยบิดเบี้ยว ปากของเต๋าชิชางกระตุกวูบ หน้ากากหนังมนุษย์ปรากฏร่องรอยที่ดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้น

ฝูงชนโดยรอบที่แต่เดิมส่งเสียงเชียร์ บัดนี้ทั้งหมดหุบปากลง คอยเฝ้ามองทั้งสองบนเวทีอย่างเงียบๆ บรรยากาศเริ่มกดดันอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนถึงขั้นลืมหายใจ

กลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านไปในอากาศ แค่สูดหายใจยังรู้สึกยากลำบาก

ฉินเฟิงบนเวที สีหน้ากลายเป็นหนักอึ้งกว่าเดิม

ทั้งสองโถมโจมตีเข้าใส่กันอีกครั้ง!

ติ๊ง ติ๊ง!

คราวนี้เกิดเสียงกระทบกันระหว่างคมอาวุธทั้งสอง แต่ละฝ่ายสลับตำแหน่งกันอีกครั้ง และอีกครั้ง ทุ่มโจมตีเร็วขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น

เร็วขึ้นเรื่อยๆ!

ฉินเฟิงรู้สึกได้แค่เพียง ทั้งคนทั้งร่างของเขาตกอยู่ในสภาวะวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ทว่าการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อยังคงสมบูรณ์แบบ มันเลิศเลอยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ คล้ายสามารถระเบิดประสิทธิภาพการต่อสู้ออกมาได้มากถึง 120 % จากในคราวก่อนๆ

กล่าวได้ว่าตนกำลังร่ายระบำคมมีดแห่งความตายก็มิปาน

ขณะเดียวกัน ระหว่างต่อสู้ ฉินเฟิงก็ค่อยๆเรียนรู้และฝึกฝน เริ่มเกิดความเข้าใจและเชี่ยวชาญในท่าร่างก้าวแห่งหมอกขึ้นทีละนิด ทีละนิด ไม่เพียงเท่านั้น แต่ร่างกายของฉินเฟิง บัดนี้คล้ายกับถูกปกคลุมด้วยเงาดำ กลิ่นอายของเขาปรากฏขึ้น และวูบหายไปเป็นครั้งคราว

กระทั่งกลิ่นอายสังหารในตอนแรกเริ่มก็ทยอยลดหลั่นลง ถูกกักเก็บ จนกลายเป็นเงียบงัน

สถานะนักฆ่าและผู้ถูกล่า บัดนี้ยิ่งนานยิ่งเหมือนจะกำลังสลับตำแหน่งกัน

รูม่านตาของเต๋าชิชางเบิกกว้าง

เดิมที เขากำลังไล่ล่าฉินเฟิง แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นฉินเฟิงที่กำลังไล่ล่าเขา

เจ้าตัวค้นพบว่าตนไม่อาจไล่ติดตามให้ทันต่อความว่องไวของฉินเฟิงได้อีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่กระทั่งสติสัมปชัญญะเองก็ยังยากที่จะคิดตามทัน

สถานการณ์ดังกล่าว นับว่าอันตรายมากเกินไป!

ฉัวะ!

บนร่างของเต๋าชิชาง ปรากฏร่องรอยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบาดแผล

แม้บาดแผลนี้จะไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่มันก็ส่งผลให้กระดูกสันหลังของเต๋าชิชางได้รับบาดเจ็บรุนแรง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเต๋าชิชางก็กลายเป็นเดือดดาลขึ้นทันทีใด

มืออีกข้างของเขาขยับไหว ชักนำเอาจักรกลสีดำที่เก็บงำเอาไว้ออกมา!!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท