The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1210 – ขอบเขตพลังแห่งชีวิต

ตอนที่ 1210 - ขอบเขตพลังแห่งชีวิต

  ซือหยูบอกสถานที่ด้วยความมั่นใจ

  เจิ้งหยวนชิงมองเขาด้วยแววตาสดใสโลกเสี้ยววิญญาณมิใช่แค่โลกที่วุ่นวายที่สุดในจักรวาล แต่ก็เป็นเส้นทางของการเดินทางครั้งนี้ด้วย

  ตามผลที่ได้จากการหารือเหล่าเทพคิดว่าเทพรากษสน่าจะหนีไปยังโลกเสี้ยววิญญาณ

  นี่นั่นคือสรวงสวรรค์ของเหล่าทรราชย์ของโลกทุกใบไม่มีใครกล้าเข้าไปจับตัวคนที่นั่น พันธมิตรบูรพาเองก็ไม่เว้น

  ที่โลกเสี้ยววิญญาณนั้นนับเป็นแดนสวรรค์แก่คนเลว

  หากเทพรากษสคิดจะหนีการตามล่าให้ได้นางก็ทำได้แค่ไปซ่อนตัวที่โลกเสี้ยววิญญาณ สถานที่ที่เหล่าเทพไม่กล้าไป

  แต่เจิ้งหยวนชิงเองก็ไม่ได้โง่นางพูดด้วยสิ่งที่สงสัย   เทพรากษสอาจจะหนีไปที่โลกเสี้ยววิญยาณแต่เทพตำรา… 

   ข้าว่าเทพตำราคงยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลเทพตำราถูกทำลายล้างไปแล้ว 

   เขาอาจจะกำลังมุ่งหน้ากลับมาที่พันธมิตรบูรพาในเวลานี้เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่โลกเสี้ยววิญญาณ? 

  ซือหยูยิ้มและชี้ศีรษะตัวเอง

   คิดในมุมของมันดูสิถ้าข้าเป็นเทพตำราที่แอบคิดร้ายต่อพันธมิตรมาตลอดเวลา ข้าจะไม่มีทางออกจากพันธมิตรและเดินทางอย่างไร้จุดหมาย อย่างน้อยจะต้องหาทางหาข่าวในพันธมิตรและทำเรื่องสำคัญ 

   ดังนั้นถ้าหากเทพตำราไม่โง่ มันก็น่าจะมีทางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในพันธมิตรอยู่แล้ว การนองเลือดเกิดขึ้นเมื่อเจ็ดวันก่อน ข่าวคงจะไปถึงจักรวาลเร็วกว่าตัวพวกเรา 

   ถ้าเทพตำรารู้มันจะหาที่หลบที่ปลอดภัยที่สุดในจักรวาล ซึ่งนั่นก็คือโลกเสี้ยววิญญาณไม่ผิดแน่ 

  เมื่อฟังการวิเคราะห์ของซือหยูจบเจิ้งหยวนชิงกระพริบตา นางคิดในใจ แม้จะดูเหมือนพูดเข้าข้างตัวเอง แต่มันก็มีเหตุผล

  จากที่นางรู้วิถีเทพที่เทพตำราทุกคนเลือกเดินก็คือวิถีแห่งตำรา พวกเขามีความรอบรู้และสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด เทพตำราในอดีตเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดี ไม่มีแม้สักคนที่ไร้ปัญญา

  ดังนั้นเทพตำราจึงน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่โลกเสี้ยววิญญาณ

   ถ้าอย่างนั้นเจ้าลักพาตัวฉินเฟยเฉินมาด้วยก็เพื่อล่อให้เทพตำราออกมารึ? 

  เจิ้งหยวนชิงเดาใจซือหยูสุดท้ายนางก็เข้าใจว่าเหตุใดซือหยูจึงไว้ชีวิตฉินเฟยเฉิน

  แต่เจิ้งหยวนชิงก็ต้องหงุดหงิดที่เห็นซือหยูส่ายหน้าเขายิ้มอย่างมีเลศนัย

   เทพตำราน่ะหรือกลกระจอกเช่นนี้ลวงมันออกมาไม่ได้หรอก ข้าเก็บฉินเฟยเฉินเอาไว้ด้วยเหตุผลอื่น 

   ไม่ยุติธรรมเลยที่เจ้าเอาแต่เดาทุกอย่างได้ถูกต้องขณะที่คิดอื่นเดาความคิดเจ้าไม่ได้เลย! 

  เจิ้งหยวนชิงเดินหนีไปที่กราบเรือนางบอกเทพทั้งเก้าในเรื่องที่คุยกับซือหยู

  ซือหยูยักไหล่เขามองจักรวาลอันมืดสนิท ดวงตาของเขาลึกล้ำ

  เขายังไม่หมดหวังถึงที่สุดเมื่อถูกบังคับให้ขึ้นเรือครั้งนี้

  ถ้าหากเขายังอยู่ในพันธมิตรและเทพรากษสกลับมาล้างแค้นถึงตอนนั้นจะไม่มีใครปกป้องเขา ถ้าหากเขาติดตามเทพทั้งเก้ามาแทน เทพรากษสจะไม่เป็นภัย

  อีกเหตุผลที่ทำให้เขาเข้าร่วมหน่วยล่านั้นเป็นเพราะฑากิณี!

  ด้วยเหตุผลบางประการนางทำให้ซือหยูรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก สัญชาตญาณของซือหยูบอกให้เขารักษาระยะห่างจากฑากิณีให้มากที่สุด

  ‘หวังว่าหน่วยข่าวกรองข้าจะเจอข้อมูลเรื่องนางมากพอ…’

  ซือหยูคิดก่อนที่จะเดินทางออกจากพันธมิตรบูรพา ซือหยูได้ไหว้วานหยางไท่และหวังยุ่นเสวียนให้ดูแลตระกูลเทพกระเรียนแทนเขา

  ซือหยูยังจัดให้หน่วยข่าวกรองสืบทุกเรื่องของฑากิณีอีกด้วย

  พอถึงคราวที่ซือหยูกลับไปเขาน่าจะได้ข้อมูลที่มากพอและวิเคราะห์ฑากิณีได้ดีกว่านี้

  ฉินเฟยเฉินจ้องซือหยูด้วยความปองร้าย

   ซือหยู!ถ้าเจ้าคิดล่อลวงท่านพ่อให้ออกมาเพื่อข้า เจ้าก็ลืมไปได้เลย เจ้าจะไม่มีทางฉลาดกว่าพ่อข้า พ่อข้าไม่โดนเจ้าหลอกหรอก! 

  ซือหยูยิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็เผยความเยือกเย็นออกมา   ทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงคิดว่าข้าจะใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อกันเล่า?ฮ่าๆๆๆๆ… 

  ฉินเฟยเฉินหัวใจหยุดเต้นเมื่อเห็นรอยยิ้มของซือหยูเขารู้สึกไม่ปลอดภัยเลย

  เมื่อกลับไปยังโลกหอคอยมีสามคนรอซือหยูอยู่

  มีมือสังหารสำนักนรกเซียนขาวและเซียนดำ

  เซียนดำเหลือบมองตาเซียนขาวทั้งสองคุกเข่าลง

   เราสองคนพร้อมรับใช้ท่านซือ 

   ดีเช่นนั้น ท่านสองคนจะต้องรับจิตวิญญาณเทพของว่าที่เทพสองคนนี้ไป… 

  ซือหยูยิ้ม

  หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนซือหยูตัดสินใจที่จะให้จิตวิญญาณเทพของจินกังและบุตรสาวเทพเซียนคันฉ่องกับเซียนขาวและดำ

  แต่คนที่เขาอยากให้ที่สุดก็คือเซี่ยนเอ๋อ  เพราะนางคือคนที่เขารักมากที่สุดถ้าหากนางได้จิตวิญญาณเทพไป นางจะกลายเป็นเทพได้อย่างแน่นอน

  แต่เซี่ยนเอ๋อปฏิเสธนางใช้สายโลหิตวิหคเพลิง ที่นางต้องทำก็มีเพียงการบ่มเพาะตามลำพัง การเป็นว่าที่เทพไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง

  แม้การได้จิตวิญญาณเทพจะเป็นทางลัดสู่การเป็นเทพร่างกายตั้งต้นจะเสียเปล่า ต่อให้เป็นเทพ พลังที่มีย่อมจำกัด

  นอกจากนางเขาอยากจะให้จิตวิญญาณเทพกับจักรพรรดิผีและเจี๋ยนอู๋เชิง

  จักรพรรดิผีนั้นต้องการแต่คุณสมบัติของจิตวิญญาณเทพทั้งสองไม่ตรงกับของเขาที่เป็นบุตรเทพผี ดังนั้นการดูดซับจึงไม่ดีนัก

  เจี๋ยนอู๋เชิงเองก็อยากได้พลังเช่นกันแต่นางยอมแพ้ในท้ายสุดนางยังอายุน้อยและมีโอกาสที่จะกลายเป็นเทพได้ด้วยตัวเอง

  สุดท้ายซือหยูจึงคิดถึงเซียนขาวดำทั้งสองช่วยเหลือซือหยูอย่างดีและกล้าหาญในการต่อสู้สุดท้ายที่จิวโจว ซือหยูเชื่อใจทั้งสองคน

  เมื่อซือหยูตัดสินใจเช่นนี้เซียนขาวดำดีใจมาก

  ด้วยอายุชราของทั้งคู่ทั้งคู่มีพลังเพียงเซียนขั้นหนึ่ง แม้จะได้ทรัพยากรจากพันธมิตร ทั้งสองสำเร็จเพียงเซียนขั้นสาม ซึ่งห่างไกลจากคนที่อ่อนเยาว์กว่าอย่างจักรพรรดิผีและเจี๋ยนอู๋เชิงที่กลายเป็นเซียนขั้นสี่แล้ว

  ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงการเป็นเทพแต่ขณะนี้ ซือหยูได้ให้โอกาสนี้แล้ว ทั้งสองรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด

   เอาล่ะท่านสองคนแบ่งจิตวิญญาณเทพกันเอง แต่ละดวงจะมีวิถีเทพที่ต่างกันออกไป ครั้งหน้าที่เราได้พบกัน ท่านจะทำให้ข้าแปลกใจแน่นอน 

  ซือหยูพูด  เซียนขาวดำรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งทั้งสองรับจิตวิญญาณเทพและพร้อมที่จะกลับไปบ่มเพาะพลังในโลกหอคอยแล้ว

  แต่ในตอนนั้นเองสายตาของเซียนขาวดำตึงเครียดขึ้น

   ท่านซือมีบางอย่างที่เราต้องรายงาน เราสัมผัสได้ว่าอายุขัยของเรากำลังหมดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ 

  อะไรนะ?ซือหยูเลิกคิ้ว ความเป็นไปได้เดียวกับเรื่องนี้ก็คือเซียนมณีกำลังใกล้เข้ามา

   เรากำลังคิดว่าเซียนมณีอาจจะออกจากพันธมิตรบูรพาและเดินทางล่องจักรวาลแล้ว 

  เซียนมณี…ซือหยูเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนเมื่อคิดถึงนาง

   ขอบคุณท่านที่บอกข้า 

  ซือหยูส่งเซียนขาวดำกลับโลกหอคอยขณะที่เขากำลังครุ่นคิดพร้อมกับบ่มเพาะพลัง

  ซือหยูบ่มเพาะพลังอยู่สี่เดือนเต็มในโลกสุสานเทพเขาได้กลายเป็นอสูรเนรมิตรขั้นห้าแล้ว

  หนึ่งเดือนต่อมาคลื่นพลังอสูรเนรมิตรได้เอ่อล้นทั่วร่างของซือหยู เกิดมงกุฎก่อร่างที่ศีรษะของเขา

   ยินดีด้วยนายท่านอีกไม่นานท่านจะได้เป็นอสูรเนรมิตรขั้นสูงสุเแล้ว ข้าเชื่อว่าอีกไม่นาน ท่านจะได้กลายเป็นเซียน 

  วิหคเพลิงทมิฬกล่าวชมเขาอย่างอ่อนโยน

  ซือหยูพยักหน้า

   พลังข้าเพิ่มขึ้นแล้วแต่พลังโดยรวมของข้ายังไม่เพิ่มขึ้นนัก ถึงเวลาที่จะใช้โลหิตเทพ… 

  เมื่อพูดจบซือหยูเรียกขวดหยกที่มีโลหิตเทพวารีอยู่เต็มออกมา

  เขารวบรวมพิรุณโลหิตทั้งหมดแต่มันก็ควบแน่นกลายเป็นโลหิตเทพเพียงสิบหยด ซึ่งคือแก่นโลหิตของเทพวารีจริง ๆ

  โลหิตหมุนวนรอบดัชนีซือหยูดูดกลืนโลหิตเทพทั้งสิบหยดผ่านระหว่างคิ้ว โลหิตถูกหม้อเก้ามังกรดูดที่แห้งเหือดมานานดูดซับเข้าไป

  โลหิตเทพถูกเจือจางเติมเต็มพื้นที่หม้อเก้ามังกรหนึ่งในสิบ

  โลหิตเทพเจือจางที่ไม่ได้เห็นมานานหยดซึมออกจากหม้อไหลผ่านมังกรหยกแห่งชีวิตมังกรหยกที่ยังไม่ก่อตัวอีกหนึ่งในสามถูกเติมเต็ม

  ถึงตอนนี้มังกรหยกได้ก่อร่างทั้งตัวแล้ว ข้อมูลที่เขาไม่คุ้นเคยจำนวนมหาศาลแล่นเข้าสู่สมอง มันอธิบายถึงพลังเฉพาะของหม้อเก้ามังกรฃ

  ตอนที่ก่อร่างมังกรท่อนแรกซือหยูได้รับพลังฟื้นคืนชีพ เมื่อได้ท่อนที่สอง เขาได้หัวใจนิรันดร์ เมื่อก่อร่างมังกรทั้งตัว เขาได้รับขอบเขตพลังแห่งชีวิต

  มันทำให้ซือหยูกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

 

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท