Ch.176 – เกราะหยก
Provider : Muntra
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.176 – เกราะหยก
ฉินเฟิงพอได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยคำ ‘คลังสินค้าเมืองฟูเฉิง’ หลากหลายภาพเหตุการณ์ก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
เนื่องจากครอบครองพลังสมาธิอันแข็งแกร่ง ฉินเฟิงเลยสามารถย้อนนึกไปถึงความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน
‘รู้เรื่องรึยัง? ได้ข่าวว่าสมบัติจากรอยแยกมิติที่ ‘กลุ่มฮงรี’ (อัสดงสีชาด) ตามหาได้ถูกค้นพบแล้ว!’
‘อ่า เหมือนจะเคยได้ยินว่าตอนนี้กลุ่มฮงรีกำลังตามหาสมบัติที่กระจัดกระจายออกไปอยู่นะ’
‘และพวกเขาก็เจอมันแล้ว! หนึ่งในนั้นคือชุดเกราะหยกที่ถูกเก็บทิ้งเอาไว้ในคลังสินค้าเมืองฟูเฉิง ไม่มีใครสนใจมันมานานหลายปี แต่ตอนนี้กลับถูกค้นพบอีกครั้ง ทางกลุ่มฮงรีเลยกำลังกดดันผู้นำเมืองฟูเฉิงอย่างหนัก’
‘กลุ่มฮงรีมีตัวตนทรงพลังเลเวล A มากมาย ผู้นำเมืองฟูเฉิงไม่มีทางที่จะต่อต้านได้’
‘ก็ไม่แน่หรอก ใครจะรู้ ผู้นำเมืองฟูเฉิงอาจมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังก็ได้ พวกเรามาดูกันดีกว่า ว่าฝ่ายไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน!’
‘แต่ที่แน่ๆเวลานี้ ผู้นำเมืองฟูเฉิงคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน’
ภาพในใจของเขาค่อยๆเริ่มพร่าเลือน มุมมองถูกแปรเปลี่ยนไปอีกทาง ในเวลานั้นฉินเฟิงเพียงเดินผ่าน และได้ยินบทสนทนาระหว่างทางก็เท่านั้น
“ฟู่ว … ”
ฉินเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ขมวดคิ้วมุ่น พลังสมาธิถูกสูบออกไปมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
คราวทรงจำเมื่อครู่ เป็นเพียงภาพเหตุการณ์ผ่านๆในชีวิตก่อน
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความเข้มข้นของพลังสมาธิเขามีศักยภาพอยู่ในระดับ SS ฉินเฟิงคงไม่มีทางนึกออก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้ทราบมาแล้วแน่ๆก็คือ เกราะหยกในคลังสินค้า ย่อมเป็นของดีอย่างแน่นอน
และเมื่อเป็นของดี ก็เป็นธรรมดาที่เขาอยากจะครอบครองมัน
“ตกลงผู้บัญชาการชิ ผมเองก็อยากจะมีประสบการณ์ได้เข้าไปในคลังสินค้าของฟูเฉิงสักครั้งเหมือนกัน”
ชิหลงหัวเราะ “บัญชงบัญชาการอะไรกัน? สงครามสิ้นสุดลงแล้ว เรียกฉันว่าชิหลงก็พอ”
อันที่จริงชิหลงแก่กว่า แถมฉินเฟิงยังเด็ก สมควรเรียกเขาว่าพี่ชิหลงถึงจะถูก!
ทว่าชิหลงไม่กล้าเอ่ยเช่นนั้น เนื่องจากศักยภาพของฉินเฟิงยอดเยี่ยมเกินไป และบางทีอาจจะกลายเป็นถึงเลเวล D ในอนาคต ไม่ต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้ทั้งสองเลเวล E เหมือนกัน แต่ฉินเฟิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ ฉะนั้นในแง่สถานะย่อมสูงกว่าหากเทียบกับชิหลงที่เป็นมือปืน
ฉินเฟิงพยักหน้า “ด้วยความเคารพ งั้นหลังจากนี้ไปคุณเรียกผมด้วยชื่อเฉยๆก็พอ พวกเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เรียกมิสเตอร์มันค่อนข้างฟังดูขัดหู”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้สิ ได้เลยฉินเฟิง ก่อนอื่นพวกเราแยกย้ายไปจัดการธุระของตัวเองกันก่อน จากนั้นค่อยออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้”
“เข้าใจแล้ว”
ว่าจบ ทั้งสองก็แยกย้ายไปสั่งการคนของตัวเอง ฉินเฟิงสั่งให้วังเฉินกลับไปส่งของ เพราะท้ายที่สุดแล้ว วัตถุดิบในครั้งนี้ มีมูลค่าขั้นต่ำราวๆ 3 – 4 ร้อยล้านเหรียญ
ส่วนทีมของโจวฮ่าวก็ติดตามไปด้วย เพราะแม้นางพญามดทองจะถูกทุบตีเกือบตาย แต่มันก็พอมีเรี่ยวแรงหลงเหลือ หลังจากพักฟื้นไม่กี่วันก็น่าจะเริ่มหายดี
สำหรับคนธรรมดาที่ได้ร่วมต่อสู้กับฉินเฟิงในเมืองหานตลอดทั้ง 10 วัน หลังจากปรึกษากันแล้ว คนเหล่านั้นก็ตั้งใจจะกลับไปยังสถานชุมชนเฟิงหลี และทางฉินเฟิงเองก็ยินดีรับกลุ่มผู้ลี้ภัยอย่างพวกเขา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สถานชุมชนเฟิงหลีกำลังขาดแคลนคน ดังนั้นการเปิดประตูรับพวกเขาก็ไม่มีอะไรเสียหาย!
หลังจากพักผ่อนกันเล็กๆน้อยๆเป็นเวลา 1 วัน ฝูงชนก็ค่อยๆทยอยแยกย้ายกันไป ฉินเฟิงกับชิหลงเดินทางโดยรถไฟลอยฟ้าสุดหรู มุ่งหน้าสู่เมืองฟูเฉิง
หากเดินทางด้วยรถไฟลอยฟ้า จากเมืองหานสู่เมืองฟูเฉิงจะใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมง ไม่น่าแปลกใจเลยทำไมเมืองหานถึงไม่มีใครรัก เพราะหากเป็นรถธรรมดา น่ากลัวว่ากว่าจะเดินทางถึงคงใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน!
ซึ่งมันไม่สะดวกต่อการสัญจรเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางทุ่งล่ายิ่งเป็นตอนกลางคืนยิ่งอันตราย นี่เองคืออีกหนึ่งในสาเหตุที่เมืองหานยากต่อการพัฒนา
ไม่นานนัก กำแพงเมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของฉินเฟิง บ่งบอกว่าตนได้เดินทางมาถึงเมืองฟูเฉิงแล้ว!
ทำเลที่ตั้งของฟูเฉิงอยู่ในมุมสูง มันแทบจะถูกสร้างขึ้นบนเทือกเขา พื้นที่โดยรอบมีทั้งภูเขาและแม่น้ำ ครอบครองภูมิประเทศตามธรรมชาติที่สามารถปกป้องตนจากศัตรู
กล่าวได้ว่าเป็นดินแดนแห่งความสุข เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยด้านความปลอดภัย ที่คาดว่าน่าจะสูงกว่าเมืองเฉิงหยางระดับหนึ่ง ความแข็งแกร่งของระดับสูงเมืองฟูเฉิงทุกคนล้วนอยู่ในเลเวล D เทศมนตรีเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D7 ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอน ว่าการดำรงอยู่ดังกล่าว เป็นไปไม่ได้ที่ฉินเฟิงจะได้พบหน้า
ชิหลงสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นธรรมดาที่เมืองฟูเฉิงจะมอบรางวัลให้เขา กระทั่งจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง แต่ฉินเฟิงกับไป๋หลีไม่ได้เข้าร่วม แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฮีโร่ในสงครามครั้งนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มาช่วยฟรีๆ ที่สำคัญพวกตนไม่ใช่คนของเมืองฟูเฉิง
วันถัดมา
ฉินเฟิงเปิดประตูโรงแรม ก็พบกับชิหลงที่กำลังยืนยิ้มแย้ม
“ดูจากท่าทีของคุณแล้ว เหมือนจะได้รางวัลดีๆมาสินะ” ฉินเฟิงหัวเราะเล็กน้อย
“รางวัลของคุณเองก็ดีเหมือนกัน เอ้านี่!” ชิหลงกล่าวพลางหยิบกล่องเล็กๆสองกล่องออกมา มอบให้ฉินเฟิง “สิ่งนี้ได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษจากนายพลของทางเรา นอกจากนี้คุณยังได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าสู่คลังสมบัติระดับสามของเมืองฟูเฉิงอีกด้วย! มาเถอะ พวกเราจะไปกันหลังจากทานอาหารแล้ว”
ฉินเฟิงเปิดกล่องใบเล็ก และพบว่ามันคือตราสัญลักษ์ โลโก้เลเวล E อยู่ภายใน
เดิมการรับรองโลโก้เลเวล E จำเป็นต้องไปยังโถงทดสอบผู้ใช้พลัง แต่ไม่ว่าจะเป็นเมืองฟูเฉิง หรือเมืองเฉิงหยาง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทดสอบได้สำเร็จ เพราะใกล้ๆในละแวกนี้ ไม่มีสัตว์ร้ายเลเวล E อยู่เลย
สัตว์ร้ายเหล่านั้นเป็นระดับที่สูงขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นหากพวกมันจำนวนมากปรากฏกายขึ้นจริงๆ ทั้งเมืองเฉิงหยางและฟูเฉิงคงถูกทำลายลงไปนานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับสองเมืองนี้ อัตราคนที่สามารถก้าวขึ้นสู่เลเวล E นับว่าต่ำมาก ราวๆ 3 – 5 ปีจะมีสักคน และหากสั่งสมแต้มทางการทหารได้มากพอ ก็จะผ่านการอนุมัติรับรองโลโก้เลเวล E ได้เป็นกรณีพิเศษ
เหมือนกับฉินเฟิงในตอนนี้
“มันช่วยประหยัดเวลาได้มากเลย ขอบคุณ!” ฉินเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ เรียกไป๋หลีออกมา แล้วติดมันลงบนอกเธอ
ไป๋หลีเองก็หยิบโลโก้มาสวมให้แก่ฉินเฟิง ทั้งสองดูสนิทสนมกลมเกลียว สร้างความอิจฉาให้ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสามลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรม บรรดาแขกเมื่อเห็นการมาถึงของทั้งสอง ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง แม้พวกเขาจะพบว่าไป๋หลีครอบครองรูปลักษณ์ที่แสนงดงาม แต่ก็ไม่มีใครเลยที่กล้าแซวหรือจีบเธอ
หลังมื้ออาหารเช้า ชิหลงกับฉินเฟิงก็เดินทางสู่ฐานทัพเมืองฟูเฉิง ฐานทัพแห่งนี้จัดตั้งขึ้นบนพื้นที่เชิงภูเขา ภายในคอนกรีตถูกเสริมด้วยเหล็กกล้า กระทั่งอากาศภายนอกก็ไม่อาจเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ ดูเหมือนว่าตอนสร้างจะได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใช้อบิลิตี้ดิน
หลังจากผ่านด่านป้องกัน ในที่สุดฉินเฟิงก็มาถึงห้องนิรภัยลับที่ใช้เก็บสมบัติของฟูเฉิง
“ทั้งหมดในชั้นแรกจะเป็นวัตถุดิที่ทำจากสัตว์ร้ายเลเวล G ระดับนายพลและราชันย์ มีทั้งอาวุธและชุดเกราะ เช่นเดียวกับทักษะกำลังภายในหรือทักษะเสริมสร้างพลังสมาธิ ฯลฯ คุณสามารถเลือกได้ตามใจชอบ” ชิหลงแนะนำ
ถึงจะกล่าวว่าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ แต่ทุกอย่างล้วนมีราคาของมัน ระดับนายพลสัตว์ร้ายอาจใช้แต้มสงครามหลักหลายพันถึงหลายหมื่น ระดับราชันย์สัตว์ร้ายยิ่งแล้วใหญ่
เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่แลกเปลี่ยนแต้มกับสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ และเนื่องจากเขาครอบครองพลังสมาธิอันแข็งแกร่ง ดังนั้นหลังจากที่ปลดปล่อยมันออกไป และไม่พบกับสิ่งที่ตนต้องการ เขาก็ส่ายหัว และไม่แสดงออกถึงความสนใจใดๆ
ชิหลงเองก็เหมือนจะตระหนักได้ ดังนั้นเขาจึงนำฉินเฟิงไปยังชั้นถัดไป บนชั้นนี้มีสิ่งของหลายอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนกัน แต่มูลค่าที่ใช้แต้มแลกจะมากกว่า และทั้งหมดคือสิ่งของเลเวล F
ฉินเฟิงกวาดสายตามอง จู่ๆสองตาของเขาก็หรี่แคบลง หยุดลงบนผ้าคลุมไหล่หยกผืนหนึ่ง
ถูกต้อง มันเหมือนกับผ้าคลุมไหล่ทรงสามเหลี่ยมของสุภาพสตรี หยกที่ใช้ทำก็บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่น แต่ทั่วทั้งแผ่นกับดูละเอียดอ่อนราวมันไขมันแกะ ทั้งผืนเป็นสีขาวโพลน ดูสวยงามมาก
‘สงสัยว่าอาจจะเป็นเจ้าสิ่งนี้ก็ได้!’
แต่ในความทรงจำของเขา พวกคนที่ฉินเฟิงเดินผ่านพูดถึงเกราะหยกมิใช่หรือ แต่ไม่ได้เอ่ยออกมาว่ามันเป็นผ้าคลุมไหล่หยกเสียหน่อย
“ขอลองดูอีกสักหน่อยแล้วกัน” ฉินเฟิงกล่าว เพราะเขายังไม่ได้ขึ้นไปดูที่ชั้นสามเลย
ทว่าเมื่อฉินเฟิงกำลังจะเดินจากไป ชิ้นหยกในส่วนล่างของชุดคลุมก็พลันเปล่งแสงเรืองรองออกมา