โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 198

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.198 – คงกระพัน

Provider : Muntra

ลง 2 ตอน 198 199

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.198 – คงกระพัน

ไม่ว่าจะฉินเฟิงหรือไป๋หลี ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งตายไป สถานการณ์อาจพลิกกลับมาได้ ดังนั้นหลังจากได้ยินเสียงร้องเรียก ทั้งหมดจึงตัดสินใจพุ่งเข้าหาฉินเฟิงทันที

การเลือกตัดสินใจเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะหลังจากได้ประชันฝีมือ พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวไป๋หลีเล็กน้อย

หวาดกลัวไป๋หลี … แต่ไม่กลัวฉินเฟิงเนี่ยนะ พวกเขาคิดถูกแล้วจริงๆน่ะหรือ?

ฉินเฟิงเบนสายตามองคนเหล่านั้นที่ใกล้เข้ามา ปากแสยะยิ้มหยัน

“ฉันอุตส่าห์ไม่ไปหา แต่พวกแกดันมาหาถึงที่ งั้นก็ตายซะ!”

‘ใช่แล้ว … พวกแกกล้าลงมือกับไป๋หลี ฉะนั้นจะต้องถูกลงทัณฑ์!’

มังกรไฟที่ว่ายวนอยู่เบื้องหลังฉินเฟิง เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

เปลวไฟพัดกระหน่ำ รูนส่งเสียงหอนคำรามดุเดือด

ช่วงเวลานั้นเอง อีกหนึ่งพลังสมาธิโถมเข้าต้านทานมัน –เป็นอาวุโสตระกูลซินผู้ทำสัญญากับสัตว์ร้าย เขาขบกรามแน่น ระงับอาการปวดหัว เร่งเร้าพลังสมาธิ

“คลื่นวารี!”

ในพริบตา สัมผัสของไอเย็นก็เพิ่มพูนขึ้นท่ามกลางชั้นอากาศที่ร้อนอบอ้าว กระแสน้ำควบรวมกัน ก่อตัวเป็นคลื่น ม้วนโถมเข้าใส่ฉินเฟิง

คลื่นน้ำและมังกรไฟประสานงากัน ก่อเกิดเสียงฟู่ ฟู่ ไอน้ำลอยตลบอบอวลในอากาศ หมอกควันฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ผู้ใช้วรยุทธโบราณตระกูลซินใช้ประโยชน์จากหมอกนี้ ฉวยโอกาสประชิดเข้าด้านข้างของฉินเฟิง ทั้งสามพร้อมใจกัน โจมตีประกบฉินเฟิงจากทั้งซ้ายขวาตามลำดับ

ปงงง

ปงงง

ปงงง

ทั้งสองใช้ออกทั้งหมัดและฝ่ามือ กระแทกเข้าใส่ร่างกายของฉินเฟิง

แต่ไม่มีเวลามากพอให้พวกเขาได้ทันแสดงออกถึงความสุข จู่ๆพวกตนก็คล้ายรู้สึกราวกับถูกหินกดทับลงบนฝ่ามือและหมัดที่ซัดออก ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังปรากฏแรงดึงดูดที่น่าสยดสยอง ตรึงแขนของพวกเขาแนบติดลำตัวฉินเฟิง ไม่อาจถอนมันกลับคืนได้

“ทักษะลับกลืนดารา!”

ปรากฏแรงระเบิดอันเกรี้ยวกราดออกมาจากฉินเฟิง อำนาจการดึงดูดอันโหดร้าย แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายศัตรู ก่อวังวนในตันเถียน เริ่มกลืนกินมันอย่างบ้าคลั่ง

กำลังภายในของซินเซิงและอีกสามอาวุโสตระกูลซินทะลักออกอย่างต่อเนื่อง ส่งกำลังภายในมากองลงในตันเถียนของฉินเฟิงไม่มีหยุดยั้ง

ชั้นของทะเลเมฆกำลังภายใน ค่อยๆหยดลงและกระจายไปในตันเถียนของเขา เติมเต็มพื้นที่มันให้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะเดียวกันสถานการณ์ของตระกูลซินทั้งสี่ ยิ่งมายิ่งเลวร้าย

โดยเฉพาะซินเซิง

เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปพัวพันกับกลืนดาราของฉินเฟิง ปัจจุบันหน้าตาของซินเซิงราวกับแก่ลงไปเป็น 20 ปี ร่างกายที่ฮึกเหิมไปด้วยจิตวิญญาณก็เริ่มเหี่ยวแห้ง

ทักษะลับกลืนดารา ไม่เพียงแต่สามารถดูดซับกำลังภายในของฝ่ายตรงข้าม แต่มันยังช่วงชิงพลังชีวิตของซินเซิงมาอีกด้วย!

–ช่างเป็นทักษะที่ทรงพลังทว่าสุดแสนชั่วร้ายซะจริง! ยิ่งฉินเฟิงฝึกฝนใช้งานมันอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เวลานี้ทักษะลับกลืนดาราพัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้ว!

กระทั่งวินาทีสุดท้าย ฉินเฟิงสัมผัสได้ว่าไม่อาจดูดซับกำลังภายในของซินเซิงได้อีกต่อไป ในขณะที่กำลังภายในของตระกูลซินคนอื่นๆ ไม่มีค่าที่จะกล่าวถึง

“ปลดปล่อยแรงผลัก!”

กำลังภายในที่เหือดหายทำให้ซินเซิงกลายเป็นเทียนไขที่เปล่งแสงริบหรี่ ฝั่งอาวุโสตระกูลซินตันเถียนกลายเป็นว่างเปล่า เมื่อถูกปะทะด้วยแรงผลัก ทั้งหมดก็ปลิวละลิ่วไปคนละทิศทาง

ซินเซิงในเวลานี้มีสภาพไม่ต่างไปจากผ้าขี้ริ้ว เขาลอยละลิ่วอยู่นานก่อนจะร่วงตกลง ทั้งยังได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังเป๊าะมาแต่ไกล

ทั่วทั้งใบหน้าของเขาซีดเผือด มันแก่ชราราวกับไก่ที่ถูกถอนขน ดูน่าอนาถและสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

ชายผู้นี้ เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วในห้องโถง ยังเปล่งประกาย จัดวางกลยุทธ์ คิดเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างโหดเหี้ยมอยู่เลย เป็นถึงผู้นำตระกูลซินที่มากบารมี เพียงเอ่ยปากก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตของคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม เวลานี้กลับตกอยู่ในสภาพราวกับคนแก่ใกล้ตาย ไม่อาจกระทำการใดได้นอกจากเฝ้ารอการลงทัณฑ์

ช่วงเวลานี้ ไอน้ำโดยรอบได้สลายไป คนที่ยังอยู่ในสวนหลังบ้านเมื่อเห็นว่าเสียงการต่อสู้ได้จบลง ก็พาลคิดไปว่ากลุ่มอาวุโสตระกูลซินคงสังหารฉินเฟิงไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าจะเป็นตระกูลซินซะเองที่ถูกยำ นอนหมอบกับพื้นคนละทิศทาง

โดยมีฉินเฟิงที่ยืนอยู่กลางวงล้อมอย่างสงบ แม้เสื้อผ้าและผมจะกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ปรากฏถึงร่องรอยของความเหนื่อยล้าแสดงบนใบหน้าเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูแจ่มใส่และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณมากกว่าในตอนแรกเริ่ม!

“แก … แกฆ่าปู่ฉัน!” ซินเจี่ยหยูไม่กล้าก้าวมาข้างหน้า ปัจจุบันเขาเป็นเลเวล E เพียงคนเดียวที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จ้องมองไปยังซินเซิงที่สภาพแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม สองตาของเขาก็เบิกกว้าง เอ่ยอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ยังไม่พอ ตอนนี้สีหน้าของเขากำลังตื่นตระหนก เพราะตระหนักได้ว่า ตระกูลซินของตนกำลังจะเปลี่ยนไป

ซินเจี่ยหยูที่มักจะแสดงพฤติกรรมดุร้ายอยู่เสมอมา ในตอนนี้ ได้กลายเป็นเด็กน้อยสูญสิ้นที่พักพิง ต่อให้ร่ำไห้ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ

ฉินเฟิงหัวเราะหยัน “เขายังไม่ตาย ฉันจะฆ่าเขาได้อย่างไร? ถ้าทำแบบนั้นมันคงไร้มารยาทน่าดู เพราะฉันถูกเชิญมาในฐานะแขก ไม่ใช่ในฐานะฆาตกร”

ฉินเฟิงนับว่ากล่าวไม่ผิด เพราะกระทั่งถึงตอนนี้ แม้ไป๋หลีจะสร้างบาดแผลร้ายแรงแก่ตระกูลซินถึง 2 คน แต่ก็เหมือนกับฉินเฟิง เธอและเขายังไม่ได้ฆ่าใคร

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงได้ลงมือจนสองผู้ใช้อบิลิตี้แทบพิการ , สี่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเองก็เช่นกัน และทั้งหมดล้วนเป็นระดับสูงของตระกูลซิน

และจนถึงตอนนี้ เลเวล E ที่ยังมีสภาพดี เหลือเพียงซินเจี่ยหยูเท่านั้น

“แต่ว่าน้า … ”

ฉินเฟิงเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง ทว่าเวลานี้ไม่มีใครสามารถต้านทานหรือขัดเขาได้อีกต่อไป ทำได้เพียงจ้องมองและรับฟังอย่างหวาดกลัว

และทุกคนในตระกูลซินล้วนพอจะคาดเดาได้ ว่าประโยคต่อไปคงเป็นต้นตอของบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น

“ที่นายพูดมามันก็ถูก ตอนนี้ถึงเวลาที่จะตัดต้นตอของปัญหาทั้งหมดแล้ว!” สายตาของฉินเฟิง กวาดมองไปยังคนอื่นๆที่กำลังนอนหมอบกับพื้น

“ไม่! อย่าฆ่าฉัน!” หนึ่งในอาวุโสที่ถูกสูบกำลังภายในจนว่างเปล่า ร้องตะโกนขึ้นทันใด

“ไม่ให้ฆ่าแก? งั้นลองบอกมาว่าชีวิตของแกมีค่าเท่าไหร่? และเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่ควรฆ่า!” ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ

ใช่แล้ว คิดว่าชีวิตของตนมีค่าเท่าไหร่กัน?

แม่สำหรับฉินเฟิง จะไม่เห็นว่าพวกเขามีคุณค่าใดๆ แต่ในมุมมองของคนเหล่านี้ พวกเขาไม่ต้องการที่จะตาย พวกเขายังมีอนาคตที่สดใสรออยู่!

“ถ้าไว้ชีวิตฉัน ฉันจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ ใช่แล้วเงิน! เงินไง ฉันจะมอบเงินให้คุณ! ” ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

สิ่งนี้เองทำให้ฉินเฟิงย้อนนึกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“เห .. เงินอย่างงั้นสินะ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกแกเคยบอกว่า ต้องการหุ้น 20% ของสถานชุมชนเฟิงหลีหรอกหรือ?” ฉินเฟิงกล่าว

สีหน้าของคนทั้งหมดซีดจางลง

“ไม่ ไม่ได้พูด! ทั้งหมดนั่นเป็นซินเซิงพูดออกมาเอง พวกเราไม่เกี่ยว!” ชายคนนั้นโยนขี้ สาดความผิดรดลงบนศีรษะของซินเซิงทันที

“นี่แก … ” ซินเซิงเอ่ยน้ำเสียงสั่นเทา ชี้นิ้วไปทางอีกฝ่าย แทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากจะฉีกทึ้งไอ้ปากเสียเป็นชิ้นๆ

อย่างไร้ก็ตาม ตอนนี้เขาไร้ซึ่งอำนาจใดๆ

แม้ผู้คนจะไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นสภาพที่ปรากฏของซินเซิง ต่างก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาน่ะจบสิ้นแล้ว

ฉินเฟิงไม่สนใจข้อพิพาทภายในตระกูล แต่ตอนนี้มันถึงทีของเขา ฉะนั้นตนจึงเอ่ยขอในสิ่งที่ต้องการ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เวลานี้ตระกูลซินกลายเป็นหินรองเท้าให้เขาเป็นที่เรียบร้อย

และทุกคนได้รู้ซึ้งแล้ว ว่าฉินเฟิงไม่ใช่คนที่จะสามารถยั่วยุได้!

“จะว่าไป หุ้น20%ของสถานชุมชนฉัน พวกแกไม่ต้องการมันแล้วหรอ?” ฉินเฟิงกวาดมองไปยังฝูงชน

“ไม่ต้องการ ไม่ต้องการ!”

พวกเขาจะกล้าหมายปองมันอีกได้อย่างไร เพราะเวลานี้ ตนอยู่ในสภาพที่มีมีดจ่อคอ!

“ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าตอนนี้ชีวิตของพวกแกอยู่ในมือของฉันใช่ไหม? ฉันสามารถข่มขู่พวกแกได้ ไหนขอคิดดูหน่อยซิ .. ” สายตาของฉินเฟิงตกลงบนคนเหล่านี้ คล้ายกับกำลังมองลูกแกะที่กำลังถูกยกขึ้นเขียง

“เพื่อแลกกับชีวิตพวกแก งั้นฉันขอเป็น หุ้น 20% ของตระกูลซินก็แล้วกัน!”

ฉินเฟิงกล่าวประชดประชัน

ก่อนหน้านี้ ซินเซิงต้องการหุ้นของสถานชุมชนเฟิงหลี ฉินเฟิงเอ่ยปากว่าต้องแลกกับเงิน 2 หมื่นล้าน ผลที่ได้คืออีกฝ่ายเพิกเฉย

ดังนั้นคราวนี้ฉินเฟิงจึงเอาคืนตระกูลซินในทำนองเดียวกันบ้าง เขาต้องการหุ้น 20% เช่นกัน และอีกฝ่ายต้องมอบให้!

เฝ้ามองไปยังคนเหล่านี้อย่างเงียบๆ จะให้หรือไม่ให้ นั่นคือจุดตัดสินของวงล้อแห่งโชคชะตาในครั้งนี้

จะว่าไปแล้ว ทุกท่านคงสงสัยใช่หรือไม่ว่าตระกูลซินร่ำรวยขนาดไหน?

ยกตัวอย่างง่ายๆนะ เอาเป็นหลิวซูก็แล้วกัน เธอคือเลเวล F ในสถานชุมชนขนาดเล็ก แต่แค่เลเวล F คนเดียว กลับสามารถสนับสนุนพ่อแม่จนเปิดโรงแรมและร้านค้าอุปกรณ์ใจกลางเมืองหานได้

ฉะนั้น นับประสาอะไรกับหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองเฉิงหยาง ที่มีผู้คนข้องเกี่ยวนับพันนับหมื่น

คงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ามีเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนเท่าไหร่

แต่เฉพาะสินทรัพย์ถาวร น่าจะมหาศาลมาก

“อืม … แต่ฉันก็ไม่ใช่คนของเมืองเฉิงหยางซะด้วยสิ ในกรณีนี้ 20% ที่ว่าขอแลกเปลี่ยนมันเป็นเงิน … ใช้เงินสดแลกเปลี่ยนกับชีวิตของพวกแกก็แล้วกัน! โอ้ แล้วอย่าคิดเล่นตุกติกกับฉัน อย่าลืมนะว่า ฉันรู้จักอันเจิ้งเว่ย!”

ฉินเฟิงเตือนพลางยิ้มหยัน

อันเจิ้งเว่ยคือนักธุรกิจ ทั้งยังเป็นผู้รอบรู้ ฉลาดหลักแหลม ดังนั้นบุคคลประเภทนี้ ย่อมทราบถึงปริมาณทรัพย์สินของตระกูลซิน ดังนั้น ถึงพวกเขาจะโกหกฉินเฟิง แต่มิอาจหลอกลวงอันเจิ้งเว่ยได้อย่างแน่นอน!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท