โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 225

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.225 – ถูกค้นพบ

Provider : Muntra

วันนี้ลง 2 ตอน 225 226

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.225 – ถูกค้นพบ

ฉินเฟิงรีบเก็บกล่องที่ถูกเปิดทิ้งไว้ใส่แหวนมิติที่ตนนำติดตัวมาด้วยอย่างรวดเร็ว พอพื้นที่มิติภายในมันเต็ม เขาก็เก็บของที่ยังไม่หมดลงในกุญแจมิติที่เพิ่งได้รับมา

หลังจากกวาดสมบัติในถ้ำมาได้มากมายโดยไม่มีใครแย่ง ฉินเฟิงก็รู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง

“คงได้เวลาแล้ว” สำหรับวันนี้ ฉินเฟิงตัดสินใจพอแค่นี้

ปัจจุบันเวลาล่วงเลยมาถึงตี 3 มันใกล้เช้าแล้ว ฉินเฟิงเลยคิดว่าพอก่อนดีกว่า เพราะยังมีเวลาอีกมากในวันต่อๆไป เอาไว้ค่อยไล่สำรวจส่วนต่างๆในถ้ำอย่างช้าๆในภายหลัง

ฉินเฟิงถอนตัวออกจากโพรงใหญ่ที่มีขนาดเท่าสนามฟุตบอล แต่เขาไม่พบไป๋หลีอยู่ที่เดิม จึงกวาดพลังสมาธิออกไป และเจอไป๋หลีกำลังเดินเด็ดสมุนไพรแก้เบื่อ หลังจากเข้าไปหา และทราบถึงจำนวนสมุนไพรที่ไป๋หลีเก็บรวบรวมมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ฉินเฟิงก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก

เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าผู้ใช้พลังตื่นจากห้วงนิทราเพราะเสียงนกร้อง ทยอยกันลุกขึ้นมาเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้น

เพราะแสงที่สาดทอลงมา เป็นสัญญาณของวิกฤตที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

แม้ฝูงชนจะรวมตัวและสามัคคีกันในยามค่ำคืน ทว่าหากเป็นในช่วงเวลากลางวัน คนเหล่านี้กลับกลายเป็นคอยระแวงซึ่งกันและกัน หรือหากมีโอกาสที่เหมาะสม ก็อาจถึงขั้นลอบสังหารกันเลยก็ได้

ณ เวลานี้ บางคนเริ่มตั้งข้อสงสัย

“นิสัยของจระเข้มังกรมักไม่ชอบล่าในตอนกลางคืน อ๊า! อยากให้ท้องฟ้ามืดอยู่ตลอดเวลาจัง!”

“บ้าบอเถอะ! ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราก็ไม่ได้ออกไปไหนกันพอดีน่ะสิ!”

“ออกสำรวจตอนกลางคืนอาจจะดีกว่าก็ได้นะ แม้มันจะอันตรายกว่าตอนเช้า แต่ก็ยังดีกว่าโดนจระเข้มังกรกิน!”

“พูดได้ถูกใจจริงๆ! เพราะถ้าพวกเราออกไปสำรวจกันในระหว่างที่พวกจระเข้กำลังหลับ ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องความปลอดภัย!”

เมื่อคืนนี้ ก็มีบางคนคิดเหมือนฉินเฟิงเช่นกัน พวกที่กล้าหาญและมีฝีมือมากหน่อย ได้ทดลองออกไปสำรวจนอกค่ายเล็กๆน้อยๆ

ถึงแม้ว่าจะยังพบเจอกับสัตว์ร้าย แต่พวกมันก็ไม่ใช่ฝูงจระเข้มังกร

บางคนออกสำรวจกระทั่งถึงขอบเกาะ ไปยังสถานที่ๆพวกเขาโผล่มาในตอนแรก แต่ก็ไม่พบเจอกับเหตุการณ์อะไร

อีกทั้งภายใต้คลื่นทะเลที่ซัดสาด เลยพลอยทำให้รอยเท้าของจระเข้ถูกชะล้างหายไป เลยไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาไม่ค้นพบเบาะแสอะไร

ภายในกลุ่มของฉินเฟิง ฮั่นเจียนเอ่ยปากถาม

“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดี ควรเคลื่อนไหวกันเฉพาะในตอนกลางคืนดีไหม?”

แทนที่จะตอบ ฉินเฟิงเลือกที่จะถามกลับ “แล้วคุณคิดว่า พวกเราจำเป็นต้องหวาดกลัวจระเข้มังกรด้วยหรือ?”

ดวงตาของฮั่นเจียนกับชิหลงพลันสว่างไสว

“จริงสิ! ฝูงจระเข้มังกรไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเราซักหน่อย! ยิ่งคนพวกนี้หวาดกลัวที่จะออกสำรวจในเวลากลางวัน ก็ยิ่งเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณบนเกาะมากขึ้น!”

ไม่นานทั้งห้าก็เริ่มออกเดินทางจากค่าย สำรวจพื้นที่บนเกาะ กวาดสมบัติที่งอกขึ้นเองตามธรรมชาติ และเจอศัตรูก็เข้าต่อสู้

เกาะแห่งนี้จะกล่าวว่ามีขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ เล็กก็ไม่เชิง ดังนั้นหลังจากทีมต่างๆแยกกันออกจากค่าย หากตั้งใจที่จะหลบเลี่ยงจริงๆ ก็จะไม่พบเจอหรือเผชิญหน้ากัน

หลังจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อวานนี้ ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตหลายศพ ดังนั้นมนุษย์ที่ยังรอดบนเกาะจึงเหลือไม่ถึง 100 คน

หลายวันถัดมา ฮั่นเจียน , ชิหลง และหลิงหวูยี่ช่วยกันต่อสู้ในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนฉินเฟิงจะลอบเข้าไปในถ้ำใต้ดิน และกวาดสมบัติกลับมาเท่าที่จะทำได้

อะไรที่ราชันย์จระเข้มังกรกินแล้วเหลือทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือกระดูก ฉินเฟิงกวาดเรียบ ทิ้งเอาไว้แค่บางสิ่งบางอย่างที่ไร้ค่า

อย่างไรก็ตาม ความเงียบสงบดังกล่าว ในวันที่สี่ สุดท้ายมันก็ได้พังทลายลง!

ในคืนนั้น ภายในค่ายที่พักชั่วคราว บรรยากาศคุกรุ่นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เนื่องจากกลุ่มของฉินเฟิงมีกำลังรบที่ทรงประสิทธิภาพ เลยกลับมาช้ากว่าคนอื่นๆ พอเห็นฝูงชนแสดงท่าทีหวาดระแวงกันและกัน ทั้งหมดก็เริ่มเกิดความสงสัย

“ฉันขอออกไปหาข่าวก่อนนะ” ฮั่นเจียนกล่าว ผู้ใช้พลังของสี่เขตรอบเมืองเฉิงหยางต่างรู้จักเขาดี ดังนั้นเจ้าตัวเลยอาสาไปเอ่ยถาม

“ฉันก็จะไปด้วย” ชิหลงแยกตัวออกไปเช่นกัน เขาคือผู้ใช้พลังของฟูเฉิงซึ่งเป็นเมืองใหญ่ ดังนั้นเป็นที่รู้จักมากกว่าฮั่นเจียนซะอีก

ไม่นานทั้งสองก็กลับมา

“ระหว่างสำรวจ มีคนพบปากทางเข้าถ้ำที่สามารถลงลึกไปถึงใต้ดินของเกาะ ในนั้นมีพลังงานฟ้าดินสั่งสมอยู่มากกว่าข้างบน อีกทั้งยังค้นพบดอกหญ้าทมิฬ แต่มันถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เลยเกิดความสงสัยในฝูงชน ว่าน่าจะมีคนเจอถ้ำก่อน แล้วลอบเข้าไปโดยไม่บอกคนอื่นๆ!”

ใบหน้าของฉินเฟิงไม่แสดงอาการใดๆ ไป๋หลีเองก็เล่นกับอะไรอย่างในมือราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

สถานการณ์ในปัจจุบัน ต่อให้เป็นหลิงหวูยี่ ฉินเฟิงก็ยังไม่บอกความลับนี้ออกไป

ดังนั้นใต้ดินมีสมบัติล้ำค่าอยู่มากแค่ไหน นอกจากเขากับไป๋หลีแล้วไม่มีใครล่วงรู้ได้เลย

แต่หากรู้ เกรงว่าพวกเขาคงอิจฉาจนดิ้นตาย!

“ข่าวเชื่อถือได้รึเปล่า? นี่คงไม่ใช่กับดักขององค์กรมืดอีกหรอกนะ!” ฉินเฟิงแสดงละคร โยนความผิดไปทางคนขององค์กรมืด

ฮั่นเจียนส่ายหัว “ไม่ใช่แน่นอน ถ้ำถูกค้นพบโดยคนที่ออกสำรวจกันเป็นทีมใหญ่ เดิมพวกเขาแค่อยากทราบสถานการณ์รอบเกาะ แต่เมื่อเจอถ้ำและเข้าไป กลับพบว่ามีดอกหญ้าทมิฬถูกเด็ด ผู้คนเลยสงสัยว่าอาจมีผู้ใช้พลังบางคนในกลุ่มพวกเรา คิดฮุบสมบัติเอาไว้คนเดียว”

ตั้งแต่ถูกกลุ่มจระเข้มังกรไล่สังหาร ทุกคนต่างก็เหมือนกับหยกที่แตกร้าว ดังนั้นหากมีใครในกลุ่มสามารถทำเงินได้เป็นจำนวนมาก โดยไม่บอกผู่ใด นั่นคือสิ่งที่ทั้งหมดรับไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการเอาเปรียบคนอื่น

ยิ่งไปกว่านั้นทีมที่พบถ้ำยังยืนกรานว่าพวกเขาไม่ได้เอาดอกหญ้าทมิฬไป หมายความว่าจะต้องมีคนค้นพบถ้ำใต้ดินก่อน และไม่รู้เลยว่าคนๆนั้นปล้นสมบัติไปมากแค่ไหนแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง บรรยากาศภายในค่ายจึงไม่เหมือนเดิม กลายเป็นหวาดระแวงกันและกัน แม้จะอยู่ใน่ช่วงเวลากลางคืน

อย่างไรก็ตาม ตรงจุดนี้พวกเขาเดาถูกจริงๆ เพราะไอ้หัวขโมยที่ว่าคือฉินเฟิง!

“งั้นพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปสำรวจมัน” ฉินเฟิงออกคำสั่งในฐานะหัวหน้า

“ตกลง!” ชิหลงกล่าว “ถ้ามีดอกหญ้าทมิฬขึ้นอยู่จริงๆ นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าพวกเราสามารถเก็บเกี่ยวมันมาได้คงรวยเละ!”

ในเวลานั้นเอง ไม่ว่าจะทีมของฉินเฟิงหรือทีมอื่นๆ ทั้งหมดต่างกระตือรือร้นที่จะเข้าไปสำรวจ ในขณะที่บรรดาคนจากองค์กรมืด ดวงตาของพวกเขากลับสาดประกายสว่างสดใส ในสมองขบคิด ว่านี่คือโอกาสทอง

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในถ้ำใต้ดิน มันเป็นพื้นที่ๆแคบ ทั้งยังมืดมิด เหมาะสำหรับการลอบลงมือสังหาร

วันถัดมา พระอาทิตย์ยังไม่ทันสาดแสง คนในค่ายชั่วคราวตื่นเช้ากว่าปกติ ทั้งหมดตรงไปยังทิศตะวันออกของเกาะ จนมาถึงหน้าผา

บางทีมถึงขั้นตัดสินใจลงไปสำรวจก่อนโดยไม่ขอความเห็นจากคนอื่นๆ

และคนแรกที่นำเข้าไป แน่นอนว่าคือปาหัน

เพราะปาหันแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฝูงชน ทั้งยังเป็นคนของกลุ่มหวันซ่ง ทุกคนเลยไม่คัดค้านหากเขาจะลงไปก่อน รวมไปถึงทีมของเขาเช่นกัน , คนหนึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มหวันซ่ง ส่วนอีกสองคนคือผู้ใช้พลังจากเมืองไห่ ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

ทีมของทั้งสี่กระโดดลงหน้าผาอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พวกเขาลงไป อีก 3 คนก็ทนไม่ไหว โฉบออกมาจากฝูงชนและกระโดดตามลงไป

และทีมสามคนที่ว่า ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ลม

“วายุล่องเวหา!”

พายุเข้าปกคลุมทั้งสาม ว่ายวนรอบตัวพวกเขา ค่อยๆพาลอยลงไปข้างล่าง

แต่ในเวลานั้นเอง เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองพลันดังขึ้นอย่างกระทันหัน ทั้งยังตามมาด้วยเสียงคำรามก้องของสัตว์ร้าย

ร่างของปาหันทะยานออกมาจากถ้ำ ถ่ายเทกำลังภายในลงไปยังสองเท้าของเขา สับขาวิ่งเหยียบผิวน้ำทะเลอย่างดุเดือด

ในขณะเดียวกัน ภายในปากถ้ำใหญ่ ร่างขนาดใหญ่ก็ค่อยๆทยอยกันวิ่งตามออกมา

กรรรร!

นี่มันเสียงของจระเข้มังกร!

ฝูงชนที่ยังยืนอยู่บนหน้าผา ทั้งหมดเห็นจระเข้มังกรที่ไล่ตามปาหันออกมา

เมื่อออกสู่ภายนอก จระเข้ก็หันไปเห็นผู้ใช้อบิลิตี้ลมพอดี มันทะยานเข้าหาเขาตามสัญชาตญาณ

ตูม!

จระเข้มังกรราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระโจนขึ้นมากลางอากาศ หมายจะกัดงับผู้ใช้อบิลิตี้ลมอย่างเต็มปากเต็มคำ

“ไสหัวไปให้พ้น!”

ผู้ใช้อบิลิตี้ลมสบถเกรี้ยวกราด พริบตานั้นกลุ่มมีดสายลมพัดกวาดออกไป ตัดเฉือนเนื้อหนังของจระเข้มังกรจนเลือดไหลซิบ ทว่ามิอาจหยุดการคุกคามของอีกฝ่ายได้

—ปากใหญ่ของจระเข้มังกร โฉบเข้ามาจนอยู่ใกล้แค่เอื้อม!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท