โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 240

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.240 – ปีศาจเสพวิญญาณ

Provider : Muntra

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.240 – ปีศาจเสพวิญญาณ

มองไปยังโจวฮ่าวที่กำลังปรับสมดุล ฉินเฟิงก็เผยยิ้ม พยักหน้าด้วยความพอใจ และเดินออกจากห้องฝึกฝนไป

ภายในห้องนั่งเล่น เขาพบกับหลิงหวูยี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองไห่

ฉินเฟิงยื่นขวดเลือดมังกรของราชันย์จระเข้ให้แก่อีกฝ่าย

“ลูกพี่ นี่ไม่จำเป็นหรอก เพราะฉันเองก็ได้รับส่วนแบ่งมาแล้ว” สมาชิกทีมของฉินเฟิงคนอื่นๆต่างได้รับการจัดสรรสินสงครามจากเกาะต่างมิติคนละ 300 ล้าน แต่หลิงหวูยี่อยู่กับฉินเฟิง ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วต่อให้ฉินเฟิงไม่มอบมันให้กับเขา เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร

“ไม่หรอก นี่คือรางวัลของนาย ถือว่าเป็นค่าจ้างล่วงหน้าก็ได้ เพราะจากนี้ไป นายต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของตลาดมืด ดูแลไม่ให้มันเกิดปัญหา!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิกฤตของชุมชนยังไม่ผ่านพ้น ดังนั้นฉันจะทิ้งไป๋หลีไว้ที่นี่ ให้ช่วยนายจับตาดูสถานชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น!”

หลิงหวูยี่เงยหน้าขึ้นมองฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ

“ลูกพี่จะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรอ?”

“ใช่ ว่าจะท่องไปอีกสักสองสามแห่ง เป็นตำแหน่งที่หยางซานหูได้ให้เบาะแสเอาไว้น่ะ ”

เนื่องจากขี้เกียจอธิบาย ฉินเฟิงเลยยกหยางซานหูขึ้นมาอ้าง

แต่มันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะฉินเฟิงกะว่าระหว่างเดินทางกลับ การแวะไปดูพิกัดที่หยางซานหูมอบให้ ก็น่าจะดีเหมือนกัน

“อ่า งั้นก็ขอให้เดินทางปลอดภัย อย่าลืมนะว่าสถานชุมชนเฟิงหลีขาดลูกพี่ไม่ได้!”

ตลอดทั้งสถานชุมชนเฟิงหลี ทั้งหมดถูกก่อตั้งโดยฉินเฟิง ฉะนั้นด้วยศักดิ์ศรีและบารมีของเขา มันเลยพลอยทำให้คนอื่นๆไม่กล้าโจมตีตามอำเภอใจ

แต่หากฉินเฟิงเสียชีวิต ทั้งเมืองที่เขาสร้างขึ้นก็จะถูกเปลี่ยนมือสู่เจ้าของคนใหม่

เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือยุคโลกาวินาศ ปัจจุบันไม่มีกฏเกณฑ์และกฏหมายใด ดังนั้นที่อธิบายไปข้างต้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“วางใจเถอะน่า ตราบใดที่มีไป๋หลีอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องเฟิงหลีหรอก!” ฉินเฟิงกล่าว

สนทนากันจบ ฉินเฟิงก็ออกมานอกคฤหาสน์ และพบกับไป๋หลีที่กำลังจัดสวนอยู่

เนื่องจากฉินเฟิงมีสวนสมุนไพรธาตุมืดเป็นของตัวเอง ดังนั้นไป๋หลีก็อยากจะมีบ้างเช่นกัน หลังจากปลูกต้นไม้และดอกไม้ที่เก็บรวบรวมมาจากเกาะต่างมิติแล้ว พลังงานของชั้นอากาศโดยรอบเลยพลอยอุดมสมบูรณ์ขึ้นไปด้วย รู้สึกหายใจสะดวกกว่าเดิมเยอะ

“เสี่ยวไป๋ ฉันต้องไปแล้ว” ฉินเฟิงกวักมือเรียกไป๋หลี เอ่ยคำหนึ่ง

ไป๋หลีกลอกตามองบนและกล่าว “อยากออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้ว? คงคิดว่าตัวแข็งแกร่งมากเลยสินะ”

ในมุมมองของไป๋หลี ทุกครั้งที่ฉินเฟิงออกจากสถานชุมชน ไม่มีครั้งใดเลยที่ไม่สู้หรือฆ่าคน

—เมื่อครอบครองร่างกายที่แข็งแกร่ง ตราบใดที่คอยป้อนพลังงานให้แก่มันมากพอ พวกเขาก็จะสามารถวิวัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว

และพลังงานที่ว่า ก็มาจากการฆ่า ไม่ก็ล่า แต่ทั้งหมดในมุมมองของไป๋หลี มันเป็นแค่การละเล่นเท่านั้น

“เฟิงหลีคือบ้านของพวกเรา แต่ตอนนี้มีคนไม่ดีคิดจะทำลายมัน ดังนั้นที่นี่จำเป็นต้องมีเธอคอยปกป้อง!” ฉินเฟิงยื่นมือบีบจมูกของไป๋หลีเบาๆ คล้ายกำลังยียวนเด็กน้อย

หลังจากผ่านไปครึ่งปี สติปัญญาของไป๋หลีได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเข้าใจเรื่องราวต่างๆมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่งอแงเหมือนกับที่ฉินเฟิงเคยทิ้งเธอไว้เพียงลำพังในตอนแรก

“ก็ได้ ฉันเข้าใจ ที่รักไปเถอะ!” ไป๋หลีแม้ไม่งอแง แต่ก็ฟึดฟัดเล็กน้อยใส่ฉินเฟิง

“ที่รักของเธอกำลังจะออกไปแล้วนา นี่ไม่เต็มใจจะบอกลากันหน่อยหรอ?” ฉินเฟิงหยอกล้อไป๋หลี “จูบลากันก่อนแล้วฉันจะยอมไป”

ไป๋หลีเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของเขา หว่างคิ้วของเธอย่นเข้าหากันเล็กน้อย แต่ก็ยังก้าวเข้ามา เขย่งปลายเท้า และจูบลงที่มุมปากของฉินเฟิง ก่อนจะเริ่มไล่ไปตามริมฝีปากของเขา

ยามเมื่อสองริมฝีปากทั้งสองประสานกัน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าชนิดหนึ่งไหลผ่านร่างกายของทั้งสอง

ฉินเฟิงโอบกอดไป๋หลีทันที บรรจงก้มจูบให้ลึกและดื่มด่ำยิ่งกว่าเดิม

ผ่านไปค่อนนาที ไป๋หลีถึงค่อยผลักฉินเฟิงออก เวลานี้หน้าเธอแดงราวกับลูกแอปเปิ้ล ดูมีเสน่ห์และอ่อนโยนไปอีกแบบ

“เอาล่ะ ออกไปสักทีเถอะ!” ไป๋หลีปล่อยรถศึกขนาดเล็กที่ฉินเฟิงเคยซื้อในตอนแรก แล้วหมุนตัว กึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไปราวกระต่ายตื่นตูม

ฉินเฟิงเลียมุมปากของเขา

“เสี่ยวไป๋โตขึ้นแล้ว”

ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะเลียแก้มตน … ดูเหมือนว่าการที่ให้เด็กน้อยนั่งดูทีวีมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน

ฉินเฟิงอยู่ในห้วงอารมณ์ดียิ่ง เขาก้าวขึ้นไปบนรถศึก สตาร์ทมันและขับออกจากสถานชุมชนเฟิงหลี

พาหนะขับเคลื่อนสู่ทุ่งล่า และสถานที่ที่จะไปเยือนในครั้งนี้ อยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองเฉิงหยาง ตรงกันข้ามกับเมืองไห่และฟูเฉิงอย่างสิ้นเชิง

อาจเรียกได้ว่ามันอยู่นอกอาณาเขตของสามเฉิง!

และศัตรูในครั้งนี้ที่เขากำลังไปเผชิญหน้า มันคือข้อมูลที่ฉินเฟิงได้มาจากเครือข่ายนักสู้โดยบังเอิญก่อนจะเกิดใหม่ อันที่จริงข้อมูลนี้มันก็นานมากแล้ว แต่เขาเพิ่งนึกออกพอดี

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนแรกของปี เดิมฉินเฟิงไม่ได้ต้องการไปที่นี่ เพราะยังไงซะหากเทียบกับเรื่องงานประมูลเมืองไห่แล้ว เกาะต่างมิติเห็นได้ชัดว่าเหมาะสมกับเขามากกว่า ผลกำไรก็มหาศาล

อย่างไรก็ตาม เรื่องของเมืองไห่ดันเกิดการเปลี่ยนแปลงไป มันจบเร็วกว่าในชีวิตก่อนถึงครึ่งเดือน เพราะการกระทำของฉินเฟิงก่อให้เกิดปรากฏการณ์บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟค ด้วยเหตุนี้เองฉินเฟิงเลยต้องหาเวลามาที่นี่

“ข้อมูลมันยังคลุมเครือเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะพบกับตันหยู ฉันคงไม่นึกถึงมันด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่เจอในสิ่งที่ตามก็ไม่เป็นไร เอาไว้ไปสำรวจพิกัดที่หยางซานหูมอบให้ก็ได้! ”

—เหตุการณ์ครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นในชีวิตก่อนของฉินเฟิง และมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มซ่งเฉิง

และสถานที่ที่ฉินเฟิงกำลังมุ่งหน้าไปตอนนี้ มันถูกเรียกว่าสถานชุมชนผิงหยุน มีประชากรอยู่มากกว่า 20,000 คน ซึ่งถือว่าค่อนข้างมาก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสาขาของกลุ่มซ่งเฉิง มันคือศูนย์กลางการขนส่ง

ในเวลานั้น มีรอยแยกมิติเล็กๆปรากฏขึ้น ทั้งๆที่อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติก็ยังเปิดอยู่ และสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังหลุดออกมา

—เป็นปีศาจเสพวิญญาณ!

อีกทั้งยังเป็นระดับราชันย์ในเลเวล E3

มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาด และไม่มีร่างกายเป็นของตัวเอง ดังนั้นวิธีเดียวที่จะกำจัดมัน คือการใช้อบิลิตี้แสงหรือไฟ ไม่ก็ต้องใช้พลังสมาธิที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

แต่น่าเสียดาย ที่สถานชุมชนผิงหยุน แม้จะเป็นศูนย์กลางการขนส่ง แต่ผู้ใช้พลังที่สามารถต่อสู้ได้ อยู่แค่เลเวล F เท่านั้น

เช่นเดียวกับตันหยู ซึ่งมีฐานะเป็นกัปตันของรถไฟ เขาเองก็เลเวล F เหมือนกัน อันที่จริงเลเวล F สำหรับคนธรรมดาก็คิดว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว

แต่เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของปีศาจเสพวิญญาณ มันก็มิต่างจากมดเผชิญหน้ากับช้าง

สำหรับฉินเฟิงเอง หากพลังสมาธิของเขายังไม่ถึงเลเวล E3 เจ้าตัวก็ไม่ตั้งใจจะมาที่นี่เหมือนกัน

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! ระบบสแกนตรวจพบสัตว์ร้ายเลเวล F3 เบื้องหน้าคุณห่างออกไประยะ 1000 เมตร โปรดระมัดระวังให้ดี!”

เสียงดังออกมาจากรถศึก ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น มองไปตามถนนที่ทอดยาวเบื้องหน้า และพบกับงูสัตว์ร้ายที่กำลังขวางทางอยู่ อีกทั้งยังมีคนในรถ SUV คันใหญ่กำลังต่อสู้กับมัน

ฉินเฟิงกวาดพลังสมาธิออกไป และพบว่าในรถ SUV มีคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในเลเวล F3 ขณะที่คนอื่นๆต่างซ่อนตัวอยู่หลังรถที่พลิกคว่ำ คอยช่วยยิงสกัดเข้าใส่งูสัตว์ร้าย แต่กระสุนทั้งหมดก็ถูกสะท้อนกลับ

เพราะความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองมันแตกต่างกันมากเกินไป

งูสัตว์ร้ายม้วนตัวเข้าพันผู้ใช้พลังเลเวล F3 อย่างรวดเร็ว ร่างกายใหญ่โตของมันเริ่มบิดรัดอีกฝ่าย

“พี่เฉียน!”

“เสี่ยวหยู เสี่ยวหลิง รีบหนีไป!”

“แต่พี่เฉียน … ”

บนรถมีทั้งหมด 4 คน ผู้หญิงสองคนอยู่ในเลเวล G3 ดูเด็กมาก อายุแค่ 17 หรือ 18 ปีเท่านั้น อีกหนึ่งเป็นชายผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล G8 ขณะนี้กำลังหวาดกลัว มิกล้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อโจมตี

ฉินเฟิงมิได้ลดความเร็วลง พอรถศึกของเขาขับเข้าไปใกล้คนเหล่านี้ กระจกรถก็ลดระดับลง เผยให้เห็นถึงปืนพกสีใสที่ยื่นออกมา

—เป็นปืนสลายอนุภาค

ซี่!

ประกายรังสีสว่างวาบ แสงหลากสีพุ่งออกมา ปะทะเข้าใส่หัวของงูสัตว์ร้ายโดยตรง

โผล๊ะ!

วินาทีต่อมา หัวของงูสัตว์ร้ายก็ถูกทำลาย เศษชิ้นส่วนแก่นพลังงานร่วงตกลงกับพื้น ซากสมองไม่มีหลงเหลือ

นายพลสัตว์ร้ายเลเวล F3 ตกตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท