โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 245

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.245 – โศกนาฏกรรมในบาร์

Provider : Muntra

เสาร์อาทิตย์ลง 2 ตอน วันนี้ลง 245 246

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.245 – โศกนาฏกรรมในบาร์

หยูกังทั้งยินดีและตื่นเต้น ดูก็รู้ว่ามีเรื่องที่อยากจะคุยอีกเยอะ แต่ฉินเฟิงไม่มีเวลามามัวสุภาพกับอีกฝ่าย เร่งบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกครั้ง รวมถึงวิธีรับมือกับมัน

“ปีศาจเสพวิญญาณเลเวล E3 ระดับราชันย์? นี่อาจเป็นการเข้าใจผิดก็ได้ ศัตรูที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นจะปรากฏตัวขึ้นในผิงหยุนได้อย่างไร?”

เห็นได้ชัดว่าหยูกังไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาน่ะคือคนที่เชื่อในสิ่งที่เห็นเท่านั้น เพียงลมปาก เจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน

สีหน้าของฉินเฟิงค่อยๆกลายเป็นเย็นเยียบ

“ถ้าคุณไม่เชื่อ งั้นก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยทิ้งไว้จนผิงหยุนกลายเป็นเมืองผีก็ได้ เพราะผมถือว่าผมเตือนแล้ว ยังไงซะ ผมก็เป็นแค่คนที่ผ่านทางมา!”

หยูกังสะดุ้งเฮือก เริ่มแสดงท่าทีรับฟังฉินเฟิงอย่างจนปัญญา แม้จะยังมีข้อสงสัยอยู่ในจิตใจ แต่ปัจจุบันเขาหวาดกลัวว่าฉินเฟิงจะโกรธตน

เพราะอีกฝ่ายคือผู้ใช้พลังเลเวล E!

“มิสเตอร์ฉิน ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ก็แค่สงสัยว่ามันจะเป็นไปได้จริงๆหรือที่ราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล E ปรากฏตัวขึ้น เพราะก่อนประกาศอพยพ เราจะต้องบอกเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอแก่พวกพลเมือง!”

ฉินเฟิงกล่าวเสียงทุ้ม “งั้นก็ลองไปถามผู้ใช้อบิลิตี้ของคุณดูเองก็แล้วกัน ช่วงที่อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติแจ้งเตือนเมื่อครู่ พอผมมาถึงที่นี่ คนๆนั้นก็ถูกสิงร่างไปแล้ว น่ากลัวว่าเขาอาจใช้วิธีอะไรบางอย่าง ทำการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงจากต่างมิติเข้ามา”

ฉินเฟิงชี้นิ้วไปยังทิศทางศพของวัยรุ่นชายไร้หัว ซึ่งบนแผ่นหลังปรากฏหลุมขนาดใหญ่เป็นแผลเหวอะ

สีหน้าของหยูกังแปรเปลี่ยนไป

วัยรุ่นคนนั้นคือผู้ใช้อบิลิตี้ที่ได้รับการชุบเลี้ยงเป็นอย่างดีโดยสถานชุมชน เรื่องนี้หยูกังรู้ดี เนื่องจากทางผิงหยุนไม่มีสถาบันระดับสูง ดังนั้นเมื่อปรากฏเมล็ดพันธุ์ชั้นดี ทางสถานชุมชนเลยจัดสรรทรัพยากรให้

หยูกังโบกมือ ออกคำสั่งให้คนอื่นตรวจสอบเพื่อหาว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

ไม่นาน อุปกรณ์สื่อสารของหยูกังก็สั่น เหมือนว่าจะมีบางคนส่งข้อมูลให้เขา

เมื่อมาถึงจุดนี้ หยูกังก็เชื่อคำของฉินเฟิงในที่สุด

“มิสเตอร์ฉิน คุณคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี? แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าปีศาจเสพวิญญาณอยู่ที่ไหน?”

ฉินเฟิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “คุณ , ตันหยู และคนอื่นๆต้องอพยพออกไปทันที มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าพาทุกคนออกจากเมืองในตอนนี้ รวมไปถึงเร่งผลิต และกระจายอุปกรณ์สแกนจิตสำนึก เพื่อตรวจสอบผู้คนว่าถูกปีศาจเสพวิญญาณครอบงำหรือไม่ ”

“เรื่องนี้ … มันจะไม่ยุ่งยากเกินไปหน่อยหรือ!” หยูกังกล่าว เพราะพลเมืองมีเยอะเกินไป

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มดุร้ายให้แก่หยูกัง

เวลานี้ทั้งเมืองกำลังเผชิญหน้ากับราชันย์เลเวล E แต่อีกฝ่ายยังมัวกังวลเรื่องความยุ่งยาก

“งั้นคงต้องรอให้คุณตายก่อนใช่ไหม ถึงจะได้ไม่รู้สึกยุ่งยาก!”

“มิสเตอร์ฉินอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย ฉันแค่คิดถึงผลกระทบที่ตามมาเท่านั้น สถานชุมชนผิงหยุนมิสามารถโอบได้ด้วยฝ่ามือเดียว ถ้าจะอพยพผู้คนภายในวันเดียวคงเป็นไปไม่ได้”

ฉินเฟิงไร้คำจะกล่าว สำหรับบางคน ไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา!

ช่วงเวลาเดียวกัน ณ บริเวณใจกลางศูนย์การขนส่ง ภายในบาร์ใต้ดิน ประดับประดาไปด้วย ‘โคมไฟสีแดงและไวน์เขียว’(เป็นสำนวนหมายถึง การสังสรรค์และแสวงหาความสุข)

ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูหรูหราและมีชีวิตชีวา ปีศาจเสพวิญญาณที่สิงสู่ในร่างของกวงเสี่ยวกัง เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้

มันกำลังปรับตัว สำรวจโลกภายนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ทุกครั้งที่ปีศาจเสพวิญญาณกลืนกินจิตของร่างสถิต มันจะสามารถเห็นความทรงจำจากส่วนลึกในจิตใจของอีกฝ่ายได้ ช่วยให้ล่วงรู้ถึงความสุขและความทุกข์

เห็นได้ชัดว่าในความทรงจำของกวงเสี่ยวกัง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขที่สุด คือการได้มายังสถานที่ๆมีแต่ผู้หญิงงดงามเช่นที่นี่

ปัจจุบัน เมื่อปีศาจเสพวิญญาณมาถึง ผู้หญิงกว่า 4 – 5คนก็ปรี่เข้ามารุมล้อมรอบกายเพื่อยื้อแย่งเขา

“ที่แท้ก็พี่กวง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”

“ไหนๆก็มาแล้ว ไปเต้นด้วยกันเถอะ”

“พี่กวงไปดื่มกัน!”

กลุ่มหญิงงามคล้องแขน ยื้อแย่งปีศาจเสพวิญญาณกันไปมา อีกทั้งยังยื่นปากมากระซิบข้างหูเบาๆ หลังจากครอบครองความทรงจำของมนุษย์หลายคน สุนทรียภาพของปีศาจเสพวิญญาณก็มีแนวโน้มที่จะเหมือนมนุษย์ และรู้สึกว่าชีวิตมนุษย์ช่างสะดวกสบาย

เพียงแต่ขณะนี้วิญญาณของมันกำลังปั่นป่วน และวิญญาณของเหล่าหญิงงามตรงหน้า สำหรับมัน ถือว่าน่าลิ้มลองจนไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกอื่นอีกแล้ว

ในเวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของทุกคนก็สั่นไหว

“ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! โปรดทราบ โปรดทราบ นี่คือประกาศหมายจับภัยคุกคามระดับ A หากใครพบเห็นหรือทราบเบาะแส กรุณาเร่งแจ้งให้ทางเราทราบโดยด่วน และจะมีรางวัลให้อย่างงาม!”

จากนั้น รูปภาพก็ปรากฏขึ้น เป็นใบหน้าของกวงเสี่ยวกัง

ผู้หญิงที่รายล้อมรอบปีศาจเสพวิญญาณ ทั้งหมดเบิกตากว้าง จ้องมองภาพบนอุปกรณ์สื่อสารด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองปีศาจเสพวิญญาณ บางคนที่ได้สติรีบยื่นมือกดปุ่มรายงาน

ณ เวลานี้ เหล่าหญิงงามที่เคยดีดดิ้นรอบกาย ทั้งหมดถอยห่างออกมา

ปีศาจเสพวิญญาณเองก็มีอุปกรณ์สื่อสารของกวงเสี่ยวกัง ฉะนั้นเมื่อมันสั่นไหว ภาพของร่างสิงตนเองก็เด้งขึ้นมาเช่นกัน เนื่องจากได้รับความทรงจำมา เลยเป็นธรรมดาที่มันจะทราบว่าคำเหล่านี้เขียนว่าอะไร

มันไม่คาดคิดเลย ว่าสถานชุมชนเล็กๆจะสามารถระบุตัวมัน และดำเนินการได้รวดเร็วถึงขนาดนี้

“นี่สินะที่เรียกกันว่าเทคโนโลยี? ฮี่ฮี่ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ!”

เจ้าสิ่งนี้ช่วยให้สะดวกสบายขึ้นมาก ทั้งยังช่วยเปิดเผยสถานะของมันอีก

เวลานี้ ปีศาจเสพวิญญาณค้นพบว่าโลกมิติมนุษย์ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งน่าสนใจ มันเต็มไปด้วยวิกฤติและอันตราย ชวนให้อยากทำลายมากยิ่งขึ้น

เมื่อนึกถึงจุดนี้ มันก็หันไปสบตากับผู้หญิงที่ค่อยๆถอยห่างอย่างช้าๆ

ฟุ่บบ!

ปากพลันอ้าออก ลิ้นสีดำหมึกพุ่งออกไปเป็นหนามแหลมเจาะเข้าตรงกลางหว่างคิ้วของผู้หญิงคนนั้น ทะลุหัวเธอเป็นรูโบ๋

“กรี๊ดดดดด!”

เสียงกรีดร้องสยองขวัญดังไปทั่วทั้งบาร์

อีกด้านหนึ่ง อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงได้ทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายของผิงหยุนเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่มีคนกดปุ่มรายงาน และฉินเฟิงได้รับข้อความ เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที

“เร็วเข้า รีบไปกัน ปิดกั้นที่เกิดเหตุไว้ อย่าปล่อยให้ใครเข้าไปในนั้น! และเร่งช่วยคนที่ยังติดค้างออกมา” ตันหยูเดินตาม เอ่ยสั่งเสียงดัง

เหล่าผู้ใช้พลังเลเวล F ขานรับคำ

กระทั่งเฉียนหยวนก็ยังถูกลากมาเอี่ยว เขารับหน้าที่ช่วยสลายมวลชน และคอยปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรการฉุกเฉิน

ฉินเฟิงเดินเข้าไปในบาร์เป็นคนแรก แม้เวลาเดินทางจะไม่ถึงนาที แต่ตลอดทั้งบาร์ก็กลายทุ่งสังหารไปเสียแล้ว

เสียงเพลงยังคงดังอึกทึก แต่สภาพแวดล้อมโดยรอบไม่มีกลิ่นอายของชีวิตอยู่เลย กลิ่นสาบเลือดแทรกซึม ฟุ้งไปทั่วอากาศ ชวนน่าขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง

ฉินเฟิงก้าวเข้าไปข้างใน เหยียบย่ำพื้นจนเลือดเปื้อนเต็มรองเท้า

ภายนอก ทุกคนทำการเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดภายในบาร์ และได้เห็นถึงฉากอันน่าสลดข้างใน

หยูกังที่แต่เดิมมีท่าทีไร้กังวล บัดนี้ตะลึงงัน รู้สึกถึงไอเย็นวาบตามกระดูกสันหลัง

ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงได้เดินมาถึงตำแหน่งใจกลางบาร์แล้ว แนวสายตาของเขากวาดออกไป และฟาดเปลวไฟไปยังทิศทางแผงควบคุม

เปรี้ยง!

กระแสไฟฟ้ากระพริบไหว ไม่นานเสียงเพลงในบาร์ก็หยุดลง

เมื่อไร้เสียงดังรบกวน ฉินเฟิงก็สามารถจดจ่ออยู่กับพลังสมาธิได้ดียิ่งขึ้น

ในตอนนั้นเอง ร่างๆหนึ่งพลันผลุบขึ้นมาจากพื้น โผเข้าหาฉินเฟิง

—เป็นผู้หญิงที่เพิ่งเสียชีวิตลง บนหน้าผากของเธอปรากฏรูขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีของเหลวสีขาวอมเหลืองไหลออกมาย้อมบนใบหน้า คาดว่าน่าจะเป็นสมอง ภาพนี้ดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

ตูม!

เรี่ยวแรงมหาศาลกระแทกเข้าใส่ร่างของฉินเฟิง

มีดกษัตริย์ครามในมือฉินเฟิงฟาดฟันออกไป ผ่าอีกฝ่ายแยกเป็นสองซีก

อย่างไรก็ตาม ราวกับเป็นฉนวนสัญญาณการต่อสู้ จู่ๆทุกศพที่นอนกองอยู่กับพื้นก็เริ่มขยับไหว ทั้งหมดผุดลุกขึ้น ปรี่เข้าหาฉินเฟิงอย่างบ้าคลั่งหมายจะฆ่าสังหารเขา!

“เจ้าพวกนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ไสหัวออกมาซะดีๆ!”

ฉินเฟิงตวาด เปลวไฟลุกท่วม กวาดกระจายออกไปรอบทิศทาง

วงแหวนเปลวไฟขนาดใหญ่ลุกไหม้ขึ้นรอบกายฉินเฟิง ส่งศพทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาลอยกระเด็นออกไป

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ร่างเงาหนึ่งพลันผลุบขึ้นมาจากเบื้องล่างฉินเฟิง คว้าจับขาเขาเอาไว้!

“ฮี่ฮี่ จงตายแล้วกลายเป็นหุ่นเชิดของฉันซะเถอะ!”

สิ้นเสียง รูนแห่งความมืดปะทุโหม โอบล้อมฉินเฟิง พวยพุ่งเป็นเสาแสงทมิฬ!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท