Ch.247 – วิวัฒนาการของปีศาจเสพวิญญาณ
Provider : Muntra
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.247 – วิวัฒนาการของปีศาจเสพวิญญาณ
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่บนยอดสุดของสถานชุมชน รับรู้ได้ถึงความผันผวนนอกเหนือไปจากพลังสมาธิของคนทั่วๆไป
“ตรงนั้น!”
ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงหายวับไปทันที กำลังภายในถูกอัดฉีดลงสู่ฝ่าเท้า วิ่งไต่ผนังตึกซ่งเฉิน กระโจนลงไปยังอาคารเบื้องล่างหลังหนึ่ง
มีดกษัตริย์คราโบกสะบัด
เฉือนพื้นอิฐทะลวงลงสู่ทางเดินใต้ดิน!
โครม!
ร่างของฉินเฟิงลงจอดกับพื้น
กรรรร!
ทันใดนั้นศพเน่าเปื่อยนับสิบก็โผเข้าหาฉินเฟิง หมายจะสังหารเขา
มีดกษัตริย์ครามวูบไหว หั่นซากศพทั้งหมดกลับไปนอนกองบนพื้น
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้าไม่นานก็พบประตูห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินของสถานชุมชนผิงหยุน มีคุณสมบัติป้องกันถึงแค่เลเวล F เท่านั้น จึงไม่อาจหยุดฉินเฟิงได้
“เปิดทางให้ฉัน!”
มีดกษัตริย์ครามพลันลุกไหม้ ใบมีดเปลวเพลิงที่ยืดยาวเฉือนเข้าใส่ประตูเหล็กกล้า หลอมละลายมัน
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก หลายซากศพก็โผเข้าหาฉินเฟิง
ซากศพเหล่านี้เพิ่งถูกดูดซับพลังไปโดยปีศาจเสพวิญญาณเมื่อครู่นี้เอง ตอนนี้เลยยังไม่วิวัฒนาการ ความแข็งแกร่งแทบไม่ต่างจากเดิมในตอนร่างมนุษย์
2 – 3 ประกายจากคมมีดสาดสะท้อนไฟจางๆของห้องใต้ดิน อันที่จริงฉินเฟิงไม่เหลียวมองพวกมันด้วยซ้ำ ในสายตาเขา เห็นแค่เพียงปีศาจเสพวิญญาณกลายเป็นเงาดำ หลบหนีขึ้นไปด้านบน
“พรมโลกันต์!”
ฉินเฟิงปลดปล่อยเปลวเพลิงท่วมไปในห้องใต้ดิน เปลี่ยนซากศพเน่าเปื่อยให้กลายเป็นเถ้าถ่านทันที จากนั้นค่อยไล่ตามปีศาจเสพวิญญาณขึ้นไป
ตูม ตูมมมม!
แต่ละชั้นของตึกค่อยๆถูกทำลายจากล่างขึ้นไปยังเบื้องบน ปีศาจเสพวิญญาณลนลานหลบหนีไปรอบๆ แต่เนื่องจากมันไม่มีกายเนื้อ ดังนั้นฉินเฟิงเสียเปรียบในด้านอุปสรรคกีดขวาง
ไม่กี่ลมหายใจ ตลอดทั้งตัวอาคารก็ถูกทำลาย ถล่มลงมา
ปีศาจเสพวิญญาณพุ่งตัวหลบหนีไปยังตึกอื่นอีกครั้ง!
สีหน้าของฉินเฟิงสงบเงียบขรึม สองตาหุบลง นั่งขวาทับซ้าย เริ่มระดมพลังสมาธิทำการสแกนหาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ผู้ใช้พลังที่อยู่ภายนอก เป็นธรรมดาที่ไม่คิดรั้งรออยู่เฉยๆ
โดรนนับไม่ถ้วนถูกปล่อยบินออกตรวจสอบภายในผิงหยุน มือปืนเองก็เริ่มสร้างเครื่องมือสำหรับสแกนจิตสำนึก เพื่อเตรียมรับมือกับปีศาจเสพวิญญาณ
แม้ตอนนี้จะยังไม่เสร็จสิ้น แต่ก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งยังสามารถมองผ่านจอว่าเกิดอะไรขึ้นภายในผิงหยุน
“ถ้าพวกเราไม่รู้ว่ามีปีศาจเสพวิญญาณอยู่ในชุมชน ฉันคงคิดว่าเป็นฉินเฟิงที่ทำลายผิงหยุนของพวกเรา!” หยูกังอดไม่ได้ที่จะกล่าว
ตันหยูช่วยเสริม “ฉินเฟิงไม่เคยทำอะไรฟรีๆ สถานชุมชนของเขาก็ยังไม่เรียบร้อย หากที่ปรากฏขึ้นในผิงหยุนมิใช่ราชันย์สัตว์ร้าย ฉันเกรงว่าเขาคงไม่คิดช่วยเหลือ ฉันรู้จักเขาดี เขาคือลูกรักของพระเจ้าที่แสนหยิ่งทะนง คุณเองระวังไว้บ้างก็ดี อย่าไปสร้างปัญหาให้เขา เดี๋ยวเขาก็ยอมกลับไปแบบไม่มีเรื่องมีราวเอง”
—สมควรก้มหัวฟังฉินเฟิงเอาไว้ก่อน เพราะเวลานี้ปัญหาที่เด่นชัดที่สุดมิใช่ฉินเฟิง แต่เป็นปีศาจเสพวิญญาณ!
มันน่ะสามารถเร้นกายได้อย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังตามจับตัวได้ยากมาก!
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้จับได้แล้วอย่างไร? หากพวกเขาไม่มีวิธีการพิเศษเหมือนอย่างฉินเฟิง ก็คงไม่สามารถฆ่ามันได้อยู่ดี
ฉินเฟิงเดินท่ามกลางซากปรักหักพัง ทยอยกวาดล้างซากศพเน่าเปื่อย
“เพลิงโลกันต์!”
เขาดีดนิ้วออกไป ปล่อยเปลวเพลิงเล็กๆให้พอแผดเผาร่างศพ และก้าวเดินต่อไม่หยุดยั้ง
และซากศพเน่าเปื่อยเหล่านี้ แต่ละตัวล้วนครอบครองแก่นพลังงาน
ซึ่งเป็นแก่นพลังงานนี่เอง ที่คอยขับเคลื่อนให้พวกมันสามารถขยับตัวได้
“ฆ่า!”
ฉินเฟิงไล่ล้างบางซากศพทุกหนแห่ง ตลอดทั้งช่วงกลางวัน ในที่สุดความสงบสุขก็กลับคืนสู่ผิงหยุน —หากไม่นับตามซากปรักหักพัง หรือใต้ดิน บนท้องถนน กองทัพซากศพถูกเผาจนเกลี้ยงไม่มีหลงเหลือ
“รู้งี้พาไป๋หลีมาด้วยก็ดี!” ฉินเฟิงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า พบว่าดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว
ตลอดทั้งช่วงเช้า ปีศาจเสพวิญญาณออกไล่ล่ามนุษย์ในห้องใต้ดินที่ทึบแสงอย่างเงียบๆ และเมื่อถูกฉินเฟิงจับตำแหน่งได้ก็หลบหนี กระบวนการวกวนเช่นนี้ตลอดทั้งวัน
ตึกรามในผิงหยุนยับเยินลงโดยน้ำมือของฉินเฟิง ซากศพมหาศาลถูกเผาลงโดยเขา แต่นี่ก็เพื่อป้องกันมิให้ปีศาจเสพวิญญาณวิวัฒนาการ
เนื่องจากฉินเฟิงได้กลับมาเกิดใหม่ ฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอย่างปีศาจเสพวิญญาณ
อย่างแรกเลยพวกมันไม่เหมาะสมที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยเฉพาะช่วงกลางวัน ปีศาจเสพวิญญาณจะอ่อนแอมาก และเนื่องจากมันเป็นปรปักษ์ต่อเปลวไฟของฉินเฟิง ราชันย์ปีศาจเสพวิญญาณเลยหนีหัวซุกหัวซุน แม้ฉินเฟิงจะไม่สามารถฆ่ามันได้ แต่ก็กดดันมันจนจมอยู่ในห้วงวิกฤต
ทว่าเนื่องจากมันเองก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองสติปัญญาระดับสูง ฉะนั้นย่อมมีวิธีพิเศษในการวิวัฒนาการ!
เพื่อป้องกันเปลวไฟและแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะแผดเผาร่างกาย ปีศาจเสพวิญญาณเลยเลือกร่างที่จะใช้ซ่อนตัว และเดิมที ร่างที่มันคิดจะสิงสถิต ก็คือร่างของฉินเฟิง
แต่น่าสงสารยิ่งนัก ที่ฉินเฟิงไม่ยอมปล่อยให้มันทำสำเร็จ จนตอนนี้ต่างฝ่าย เลยอยู่ในฐานะศัตรูตัวฉกาจที่ต้องกำจัดลงให้จงได้
ปัจจุบัน ท่ามกลางความมืดมิด ซากศพบางส่วนที่ยังไม่ถูกเผาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง พวกมันมารวมตัวกัน
แม้พลเมืองผิงหยุนจะหนีรอดไปได้กว่า 10,000 คน และตลอดการไล่ล่าทั้งวัน ฉินเฟิงจะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้อีกกว่า 2,000 ก็ตาม
แต่ด้วยเชื้อร้ายที่แพร่กระจายเมื่อคืนวาน ส่งผลให้คนจำนวนมากติดเชื้อชั่วข้ามคืน กลายเป็นซากศพเน่าเปื่อยกว่า 8,000 ศพที่อยู่ในเมือง ซึ่งตั้งแต่เช้า ฉินเฟิงสังหารพวกมันไปเป็นจำนวนมาก
แต่เพียงลำพัง อย่างไรก็ต้องมีตกหล่นกันบ้าง
ณ ขณะนี้ ท่ามกลางซากปรักหักพัง ราชันย์องค์ใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น
สิ่งมีชีวิตตนนี้มีความสูงเทียบเท่ากับมนุษย์ปกติ หากมองจากลักษณะภายนอกก็ยังเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มันสวมใส่เกราะสีดำทั้งตัวยกเว้นใบหน้า
และหากมองไปยังใบหน้าดังกล่าว ทุกท่านจะทราบได้ทันทีว่าคนในเกราะคือกวงเสี่ยวกังที่ปีศาจเสพวิญญาณยึดครองร่างไป
ช่วงเวลานี้ ซากศพเน่าเปื่อยที่ยังหลงเหลือ ทยอยกันหมอบคลานเข้ามาหาเขา
ฉัวะ!
กวงเสี่ยวกังวาดมือออก สะบัดหนึ่งกรงเล็บแหลมตัดศีรษะของซากศพ ท่ามกลางสมองเหลวสีเหลือง แก่นผลังงานถูกเผยออกมา เขาคว้ามันไว้ในกำมือ และกลืนลงไปในอึกเดียว
จากนั้น ความแข็งแกร่งทางกายของกวงเสี่ยวกัง ก็ทะยานสูงขึ้น
ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ดังนั้นปีศาจเสพวิญญาณเลยค่อยๆเสริมแกร่งต่อไปอย่างวางใจ โดยที่มันไม่ทราบเลย ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่
หากมันซ่อนอยู่ในที่มืดมิด ไม่เปิดเผยตัวได้ ฉินเฟิงเองก็สามารถทำได้ในทำนองเดียวกัน
ตั้งแต่แรกเริ่ม ฉินเฟิงไม่เคยเปิดเผยอบิลิตี้มืดของเขา ซึ่งนี่นำไปสู่เหตุการณ์ที่ว่า ปีศาจเสพวิญญาณเกิดข้อสงสัย ว่าทำไมฉินเฟิงที่อยู่ใจกลางเสารูนมืด มิได้ถูกย่อยสลายเป็นซากศพ
อย่างไรก็ตาม มันคงไม่ทันคิดเรื่องที่ว่าเขาเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืด และคงไม่ทราบเช่นกัน ว่าความมืดมิดไม่เป็นอุปสรรคใดต่อวิสัยทัศน์ของเขา
ตรงกันข้าม ยิ่งมืด มันก็ยิ่งเห็นได้ชัด
แต่ฉินเฟิงยังคงไม่ลงมือกระทำสิ่งใด
เขาเลือกที่จะเฝ้ารออย่างเงียบๆ
จนในที่สุด ปีศาจเสพวิญญาณก็กลืนกินซากศพเน่าเปื่อยจนหมด ทั่วบริเวณ เต็มไปด้วยศพไร้หัว ในขณะที่ร่างของกวงเสี่ยวกัง สุดท้ายก็ทะยานขึ้นมาถึงเลเวล E
มาถึงได้แบบเฉียดฉิว!
“สารเลว!”
พอลองย้อนคิดไป ว่าหลังจากที่กลืนกินวิญญาณของพวกมนุษย์ก่อนหน้านี้จนเสร็จสิ้นแล้ว และปล่อยให้ศพย่อยสลายจนเกิดแก่นพลังงาน แล้วให้ร่างของกวงเสี่ยวกังกินมันอีกรอบในทันที เขาคงจะแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่านี้แท้ๆ
แต่น่าเสียดายที่เป็นไปไม่ได้
เพราะฉินเฟิงทิ้งซากศพเน่าเปื่อยไว้ให้เขาน้อยเกินไป
“ไอ้มนุษย์จอมเจ้าเล่ห์นั่น!”
ระหว่างไล่ล่าในช่วงเช้า ฉินเฟิงไม่เพียงสังหารซากศพไปเปล่าๆปลี้ๆ เขายังดึงเอาแก่นพลังงานของศพออกมา ไม่ยอมหลงเหลือส่วนแบ่งให้แก่ปีศาจเสพวิญญาณ
นี่เท่ากับเป็นการลดทอนความแข็งแกร่งของปีศาจเสพวิญญาณทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม ปีศาจเสพวิญญาณก็ยังมีวิธีอื่นหลงเหลืออยู่ ในหัวใจของมัน ยังคงคิดว่าฉินเฟิงเป็นร่างสถิตที่ดีที่สุด ฉะนั้นมันจะต้องฆ่าฉินเฟิง และครอบครองอีกฝ่ายให้จงได้
“จงตื่นจากนิทรา!”
ปีศาจเสพวิญญาณคำรามเดือดดาล แสงสีดำแพร่กระจายออกไป ร่างศพไร้ศีรษะทั้งหมดผุดลุกขึ้น เดินไปกองรวมกัน เบียดเสียดและซ้อนทับ ก่อตัวเป็นร่างมหึมา
โครงกระดูกในศพบิด และเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน กลายเป็นร่างขนาดยักษ์ ที่สูงกว่า 15 เมตร เทียบเท่าได้กับตึก 5 – 6ชั้น
และในตำแหน่งกะโหลกของมัน มีปีศาจเสพวิญญาณยืนหยัดอยู่เพียงลำพัง สองขาของมันจมหายลงไปในคอของศพยักษ์ ทั้งยังสาดไปด้วยแสงสีดำบนร่างกาย
บรรยากาศอันน่าสะพรึง ส่งกลิ่นอายออกมาจากยักษ์ใหญ่
เพียงมอง ก็ชวนให้รู้สึกขนลุกเกรียว!