โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.271 – เทพสงคราม
ซูซิงฝูหยิบบัตรหยกออกมา
บัตรหยกนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ สีดำราวกับหมึก เป็นหยกชั้นดี ทั้งยังมีอักษรจีนโบราณสลักอยู่บนมัน
‘สงคราม!’
ประกายวาบผ่านเข้ามาในตาของฉินเฟิง
นี่มันบัตรหยกเทพสงคราม!
ซูซิงฝูเริ่มอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เมื่อวันก่อน นอกเมืองนุ่ยเหมิง ปรากฏรอยแยกมิติขนาดใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า ภูเขาที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานฟ้าดินผลุบออกมา มีเสาหินถูกตั้งไว้ปากทางเข้าภูเขา สลักไปด้วยอักษรจีนโบราณ บอกเล่าถึงชายคนหนึ่งที่รู้จักกันในนามเทพสงคราม ทิ้งชีวประวัติไว้หลังจากจบชีวิตลงแล้ว และทิ้งท้ายประโยคว่า ‘หวังว่าจะมีคนสืบทอด’ จากนั้น ก็บังเกิดรอยแยกมิติขนาดเล็กขึ้นทุกพื้นที่ บัตรหยกใบนี้คือ ‘ตั๋วที่ใช้เข้าสู่สุสานเทพสงคราม’ ถึงจะพูดซะยิ่งใหญ่ แต่ปริมาณของมันมีเยอะมาก คาดการณ์คร่าวๆว่าอาจมากถึง 5,000 ใบ!”
“คุณจ่ายไปเท่าไหร่ถึงจะได้มันมา?” ฉินเฟิงเอ่ยปากถาม
ซูซิงฝูก “ 10 ล้าน”
เวลานี้ ซูซิงฝูเริ่มเกิดความไม่แน่ใจ
“คุณว่า … ฉันซื้อมันมาแพงเกินไปหรือเปล่า?”
เนื่องจากสุสานเทพสงครามเป็นที่โจษจันกันเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครทราบเลยว่ามีอะไรอยู่ข้างใน บัตรหยกเองก็ปรากฏขึ้นมาหลายใบ ดังนั้นมีผู้คนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยว่ามันอาจเป็นหลุมพราง!
“ไม่แพงเกินไปหรอก ช่วยมอบบัตรหยกใบนี้ให้กับโจวฮ่าวด้วย” ฉินเฟิงกล่าว
ซูซิงฝูชะงัก เร่งเอ่ยถาม “อ้าว? ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณล่ะ?”
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ “ผมน่ะหรอ? แน่นอนว่าจะออกไปปล้นมัน!”
ซูซิงฝูได้ยินคำตอบของฉินเฟิง ก็เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง
‘จะปล้นจากคนอื่น? เรื่องแบบนั้น มีแต่พวกองค์กรมืดเขาทำกันไม่ใช่หรือ?’
“ผู้ว่าการ ตอนนี้คุณเป็นผู้นำของสถานชุมชนเฟิงหลีแล้ว ไม่ควรทำแบบนั้น” ซูซิงฝูอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน
ฉินเฟิง “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะเป้าหมายที่ผมจะขโมยบัตรหยก ก็คือพวกคนขององค์กรมืดนั่นแหละ!”
“นี่ … หักลบข้อดีข้อเสียแล้ว ฉันว่าพวกเราไม่ควรทำแบบนั้น บัตรหยกเองก็ไม่ได้หายากอะไร ให้ฉันหาซื้อมันอีกหลายๆใบก็ได้ เพราะ 10 ล้านก็ไม่ถือว่าเป็นเงินที่มากจนเกินไป ถ้ามันดีจริง พวกเราสามารถซื้อมันเก็บไว้หลายๆใบ แล้วมอบให้แก่ผู้ใช้พลังของสถานชุมชนเฟิงหลีตามที่คุณเห็นสมควร”
“ไม่ควรทำแบบนั้น เพราะถึงพวกเขาจะมีโอกาสได้รับมรดกเทพสงคราม แต่โอกาสที่ไม่อาจรอดชีวิตกลับมามีสูงกว่ามาก!” ฉินเฟิงมีหรือจะไม่รู้ ว่าสุสานเทพสงครามอันตรายขนาดไหน
และอันตรายที่ว่า ไม่ได้มากจากสัตว์ร้าย หากแต่มาจากมนุษย์!
บัตรหยกเทพสงครามถูกส่งออกมากว่า 5,000 ใบก็จริง แต่ในความทรงจำของเขา สุสานของเทพสงครามเป็นมรดกจากต่างมิติที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ดี เกรงว่าไม่นาน ตัวตนระดับสูงมากมายคงจะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้
ดังนั้น คุณสามารถจินตนาการถึงคุณค่าของบัตรเทพสงครามได้ ว่ามันจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆในอนาคต ผู้คนที่เข้าไป จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
โดยการเข้าสู่สุสานเทพสงครามมีอยู่สองเงื่อนไข
หนึ่งคือต้องอายุไม่เกิน 20 ปี
สองคือกำลังภายในต้องมาถึงระดับหมอก หรือกล่าวอีกอย่างว่าต้องมีคุณสมบัติขั้นต่ำคือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F
ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าว ในเฟิงหลีนอกจากโจวฮ่าวก็ไม่มีใครอีกแล้ว ในขณะที่หากเข้าไป เป็นไปได้สูงที่จะเกิดการกระทบกระทั่ง และต่อสู้กัน
และในบรรดาเลเวล F โจวฮ่าวมิใช่คนอ่อนแอ เขายังมีเสี่ยวหวงอยู่ข้างกาย ฉะนั้นถึงข้างในจะอันตราย แต่ก็สามารถถอยกลับมาได้ ในขณะที่คนอื่นๆ เกรงว่าจะไม่โชคดีเหมือนเขา
ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงเลยตั้งใจจะให้โจวฮ่าวคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไป คนอื่นๆในเฟิงหลีคงต้องหมดหวัง
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เข้าใจแล้ว” ซูซิงฝูล้มเลิกแผนการที่เพิ่งเสนอไป
“อ่า แล้วแก่นพลังงานราชันย์สัตว์ร้ายที่ผมฝากให้ช่วยหาก่อนหน้านี้ มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง?” ฉินเฟิงเบี่ยงไปอีกคำถามหนึ่ง
“รวบรวมมาได้ 30 ชิ้น เป็นเงินราวๆ 2 หมื่นล้าน ” นี่มันเป็นเงินจำนวนมหาศาล ชนิดหากไปกระซิบข้างหูศพในหลุม น่ากลัวว่ากระทั่งผีสางคงสะดุ้งตกใจผุดลุกขึ้นมา อีกอย่างคนที่จะขายมันก็มีน้อยนิด ราคาจะแพงก็ไม่แปลก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราทำการซื้อขายมันในตลาดมืดอีก การทำธุรกรรมในตลาดมืดมีเงื่อนไขว่าจะไม่มีการเปิดเผยตัวตน ฉะนั้นเลยต้องใช้เวลานาน ถึงจะรวบรวมได้มากมายขนาดนี้
“อ่า งั้นขอทั้งหมดให้ผมด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหา”
แม้ซูซิงฝูจะไม่รู้ว่าฉินเฟิงต้องการจะทำอะไร แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเสียดายเงินเหล่านี้ไม่ได้ หลังจากมอบแก่นพลังงานระดับราชันย์ให้แก่ฉินเฟิง ซูซิงฝูก็ไม่ได้อยู่ต่อ จากไปทันที
ฉินเฟิงมอบแก่นพลังงานให้ไป๋หลี จากนั้นก็เรียกโจวฮ่าวมา
ช่วงหลังๆมานี้โจวฮ่าวตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก พัฒนาการเลยก้าวกระโดด ปัจจุบัน เขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F4 แล้ว
แม้เขาจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับฉินเฟิง ในมุมมองของคนธรรมดา โจวฮ่าวทำได้ถึงขนาดนี้ก็พอจะเรียกได้ว่าต่อต้านสวรรค์ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณนางพญามดทอง
“นายรับนี่ไป แล้วรีบเดินทางไปเมืองนุ่ยเหมิง แต่อย่าเพิ่งเข้าเมือง ให้รออยู่ข้างนอกก่อน” ว่าจบ ฉินเฟิงก็อธิบายเรื่องสุสานเทพสงครามแก่โจวฮ่าว
“ถ้างั้นแล้วนายล่ะ? ในเมื่อเงื่อนไขคือต้องมีกำลังภายในรูปแบบหมอก และอายุต่ำกว่า 20 ปี ถ้าอย่างงั้นนายก็ผ่านเงื่อนไขเหมือนกัน ทำไมไม่ไปซะเองล่ะ ตอนนี้นายแข็งแกร่งมาก การคว้ามรดกเอาไว้น่าจะง่ายชนิดพลิกฝ่ามือ ฉันไม่ต้องการแย่งโอกาสของนายหรอก” โจวฮ่าวกล่าว
ฉินเฟิงผลักบัตรหยกในมือโจวฮ่าวที่ยื่นคืนมากลับไปและกล่าว “ฉันก็จะไปเหมือนกัน แค่จะหาบัตรเทพสงครามด้วยตัวเอง และคิดว่าจะปรากฏตัวในอีกสถานะหนึ่ง”
โจวฮ่าวถามด้วยความสงสัย “อ้อต้องปลอมตัวด้วย? งั้นนายจะปลอมตัวเป็นอะไร?”
“ยังบอกไม่ได้ แต่เสี่ยวไป๋จะไปกับฉัน แลัถ้าอยากให้เธอเข้าไป เธอจะต้องเปลี่ยนรูปอยู่ในสถานะสัตว์ร้ายเท่านั้น ด้วยสถานะของฉันในตอนนี้ ไม่เหมาะที่จะไปปรากฏตัวที่นั่น อีกอย่างการแข่งขันครั้งนี้คงดุเดือดมาก อาจมีคนที่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้น ถ้าเราฆ่าพวกมันแบบเปิดเผยสถานะ น่ากลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ตามมา” ฉินเฟิงอธิบาย
ในหัวใจโจวฮ่าวเริ่มเย็นยะเยือก
“จะมีคนที่แข็งแกร่งมากปรากฏตัวขึ้นอย่างงั้นหรอ?”
“อืม อาจเป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสูง แม้แต่คนในเมืองมังกรก็มีโอกาสปรากฏตัวขึ้นเหมือนกัน” ฉินเฟิงกล่าว
หัวใจของโจวฮ่าวตกไปที่ตาตุ่ม “ฉันเข้าใจแล้ว แต่นายต้องระมัดระวังตัวด้วยนะ”
“อ่า พอถึงเวลา ถ้าเจอกันก็ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้จัก ทำทีเป็นเพิ่งพบกันครั้งแรก”
“เข้าใจแล้ว”
สนทนากันจบ โจวฮ่าวก็จากไปพร้อมบัตรเทพสงคราม
เมืองนุ่ยเหมิงกับเฟิงหลีอยู่ไกลกันมาก ดังนั้นหากคิดไป ต่อให้เป็นตอนนี้ เกรงว่าจะใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึง ฉะนั้นต้องรีบเดินทางแต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับไม่รีบร้อน ทั้งยังมัวเอ้อระเหย ผู้คนมากมายในสถานชุมชนต่างเห็นฉินเฟิงเดินอยู่ในเฟิงหลี
เขาเดินตรวจงานไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นร้านสาขาของกลุ่มหวันซ่ง , ตลาดมืด , สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า , เช็คระบบป้องกันต่างๆของเมือง … และสถานที่สุดท้ายที่ไปตรวจตราก็คือโรงงานแห่งหนึ่ง
ซึ่งผู้รับผิดชอบโรงงานแห่งนี้ คือหลิวเซินซาน
หลังจากที่หลิวเซินซานย้ายจากเมืองหานมายังสถานชุมชนเฟิงหลี เขาก็รับหน้าที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากฉินเฟิงมีความสามารถมากเกินไป ดังนั้นวัตถุดิบมากมายที่ได้จากการล่าในแต่ละครั้ง ทุกอย่างจึงถูกส่งมาที่หลิวเซินซาน เพื่อทำการศึกษาและแปรรูป
หลิวเซินซานรับผิดชอบในด้านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ , ผลิตอุปกรณ์ และจัดตั้งโรงงาน คอยผลิตสินค้าขึ้นเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น
และเนื่องจากเขาคือคนที่ตนไปเชิญมาด้วยตัวเอง เลยเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่ต้องการให้คนอื่นมารับหน้าที่ดูแลอุตสาหกรรมที่สำคัญนี้นอกจากหลิวเซินซาน
เนื่องจากฉินเฟิงมีวัตถุดิบมากมาย ตอนนี้อุปกรณ์รูนที่ถูกสร้างโดยหลิวเซินซานทั้งหมดจึงเป็นของเลเวล E ทั้งสิ้น
…
หลายวันผ่านมา
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงได้รบกวนให้หลิวเซินซานทำอะไรบางอย่างและต้องเก็บเป็นความลับ ซึ่งเจ้าตัวก็ยินดีช่วยเหลือ และมันก็เสร็จเรียบร้อยแล้วในวันนี้
ภายในสำนักงานผู้จัดการโรงงาน นอกจากหลิวเซินซาน ก็มีแค่ฉินเฟิงและไป๋หลี ไม่มีพนักงานคนอื่นๆเข้ามาวุ่นวาย
“ผู้ว่าการ สิ่งที่คุณขอมา ฉันทำให้เรียบร้อยแล้ว”
ขณะกล่าว หลิวเซินก็ก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา หลังจากเปิดมัน ก็พบกับสิ่งที่อยู่ข้างใน
—เป็นชุดต่อสู้ที่เปล่งประกายสีเงิน , มีดสั้นคู่หนึ่ง และหน้ากากสีซีดๆ
“เจ้าพวกนี้ทำมาจากวัตถุดิบระดับราชันย์เลเวล F ทั้งยังมีเอฟเฟคที่ดีมาก! อย่างเสื้อคลุม ทำมาจากค้างคาวกลางคืน มีคุณสมบัติสามารถบดบังรังสีแสงสีเงิน ยามสวมมัน เมื่อซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด จะไม่อาจมองเห็น ราวกับคนใส่กำลังล่องหน!”
“ส่วนมีดสั้นสองเล่มนี้ทำมาจากใบมีดของราชันย์ตั๊กแตนในเลเวล F7”
“สุดท้ายหน้ากาก กระบวนค่อนผลิตค่อนข้างพิเศษ มันช่วยเพิ่มอำนาจในการรับรู้ ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยป้องกันพิษ , บดบังพลังสมาธิ ให้ผู้อื่นไม่สามารถตรวจสอบใบหน้าของผู้สวมใส่ได้”
หลิวเซินซานแนะนำผลงานตน ทีละชิ้น ทีละชิ้น