โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 272

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.272 – ข้ามมิติ

ชุดอุปกรณ์เหล่านี้ คือสิ่งที่ฉินเฟิงฝากหลิวเซินซานทำเมื่อหลายวันก่อน กระทั่งรองเท้าบูทยังสั่งทำเป็นพิเศษ ให้สามารถเก็บปืนจักรกลขนาดเล็กเอาไว้ได้

เครื่องแต่งกายข้างต้น เห็นได้ชัดว่าถูกออกแบบมาเพื่อปิดบังตัวตนและลอบสังหารโดยเฉพาะ!

“คุณทดลองใช้งานมันดูว่าได้ผลรึเปล่า”

“อืม ของพวกนี้ไม่เลวเลยลุงหลิว แต่อย่าลืมเก็บเป็นความลับนะครับ”

“วางใจเถอะ ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น” หลิวเซินซานไม่ได้เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าฉินเฟิงจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร

ฉินเฟิงเก็บอุปกรณ์ตรงหน้าลงในพื้นที่มิติ เดินสำรวจภายในโรงงานใหญ่อีกสักพักก็จากไป

….

เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สุสานเทพสงครามจะเปิดออก แต่เกรงว่าหากฉินเฟิงเริ่มเดินทางตอนนี้ มันคงไม่ทันแล้ว

แม้ซูซิงฝูจะเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา

ในคืนเดียวกัน ฉินเฟิงใส่ชุดรบใหม่ที่เพิ่งได้รับมา สวมหน้ากาก ทั้งคนทั้งร่างของเขา ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

เดิมที หลังจากที่มีรูบิควิเศษ ฉินเฟิงไม่มีความจำเป็นต้องสั่งทำอุปกรณ์จากหลิวเซินซานอีกต่อไป แต่หากใช้รูบิค มันจะไม่ช่วยรักษาแสงสีเงินของวัตถุดิบที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์เอาไว้

ดังนั้นหากถูกสังเกตในเรื่องนี้ การจะสืบสาวมาถึงเขาก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง

“เสี่ยวไป๋ ฉันกลัวว่าครั้งนี้เธอคงต้องผิดหวังแล้ว มันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ”

“เอาเถอะๆ อันที่จริงแล้วฉันจะอยู่ในรูปลักษณ์ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” ไป๋หลีเดิมเป็นสัตว์ร้าย แต่เธอสบายใจกว่าที่จะเก็บรูปลักษณ์นั่นเอาไว้ เพราะรูปลักษณ์มนุษย์มันสะดวกที่จะอยู่กับฉินเฟิง อีกอย่างยังมีเสื้อผ้าน่ารักๆมากมาย ให้เลือกใส่

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ฉินเฟิงต้องไปยังสุสานเทพสงคราม อีกทั้งเป้าหมายชัดเจนว่าคือการฆ่า ดังนั้น เป็นธรรมดาที่ไป๋หลีต้องไม่เปิดเผยตัวตนของเธอ วิธีการที่ดีที่สุดคืออยู่ในรูปลักษณ์สัตว์ร้าย

แน่นอน ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็น

“ฉันจะเริ่มล่ะนะ” ไป๋หลีหันมาให้สัญญาณกับฉินเฟิง

ฉินเฟิงพยักหน้า บ่งบอกว่าพร้อมแล้ว

“งั้นก็ไปได้!”

ปัจจุบัน มันสายเกินไปแล้วที่จะเดินทางไปเมืองนุ่ยเหมิงโดยรถยนต์ แต่ฉินเฟิงมีวิธีที่ดีกว่า

แน่นอนว่ามันคือการข้ามมิติ

การข้ามมิติของไป๋หลี สิ่งที่จำเป็นต้องใช้มีแค่พิกัดมิติเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็สามารถเดินทางไปมาระหว่างมิติได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเป็นมิติในระนาบเดียวกันคงไม่ต้องกล่าวถึง

อย่างไรก็ตาม สถานที่ในคราวนี้ไป๋หลียังไม่เคยไปมาก่อน ดังนั้นไม่มั่นใจเกี่ยวกับตำแหน่งที่ถูกต้อง จำต้องข้ามมิติผ่านพิกัดที่ฉินเฟิงมอบให้ ดังนั้นตำแหน่งอาจเหลื่อมล้ำไปบ้าง

ไป๋หลีชี้นิ้วออกไปเบื้องหน้า รังสีแสงสีเงินถูกปล่อยออกมา

ฉากนี้ฉินเฟิงเคยได้เห็นมาก่อนแล้วบนเกาะจระเข้มังกร

แสงสีเงินลอยค้างเติ่งอยู่ในอากาศ เริ่มหมุนวน ขยายออกเป็นช่องว่างมิติ รูปร่างคล้ายกับแผ่นดิสก์ที่มีความสูงกว่า 2 เมตร

ความว่างเปล่าอันมืดมิดก่อตัวขึ้นภายใน เกิดการเชื่อมต่อมิติ ปลายทางพิกัดถูกระบุลงไป

“มาเถอะ”

ไป๋หลีเอื้อมคว้ามือฉินเฟิง และกระโดดเข้าใส่ช่องว่างมิติโดยตรง

การข้ามมิติเพียงชั่วครู่แต่ให้ความรู้สึกราวกับชั่วนิรันดร์ เมื่อวิสัยทัศน์กลับคืนมาอีกครั้ง ฉินเฟิงก็ค้นพบว่าตนเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

ใต้เท้า …ไม่มีพื้นดินให้หยั่ง!

โชคยังดีที่ฉินเฟิงเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้ว เขากดสวิตซ์ –ปีกเครื่องร่อนที่อยู่ด้านหลังกางออกทันที

เขาดึงไป๋หลีเข้ามาในอ้อมอก โอบกอดเอวคอดกิ่วของอีกฝ่าย และค่อยๆร่อนลงจอดเบื้องล่างอย่างช้าๆ

โชคยังดี ที่พวกเขาอยู่ห่างจากพื้นแค่ 20 เมตรเท่านั้น แต่ฉินเฟิงกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้โอบกอดสาวงาม เขาจึงค่อยๆร่อนลงอย่างเชื่องช้า

เมื่อถึงพื้น ฉินเฟิงก็เก็บปีกเครื่องร่อน

ในเวลาเดียวกันก็นำชุดคลุมที่หลิวเซินซานสร้างขึ้นออกมา ส่วนไป๋หลีเริ่มเปลี่ยนร่าง

กายมนุษย์ของไป๋หลีค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป แสงสีเงินปกคลุมรอบกายเธอ เสื้อผ้าหายวับโดยอัตโนมัติ พวกมันถูกเก็บใส่พื้นที่มิติ ร่างของไป๋หลีเปล่งประกายไปด้วยแสงสีเงิน ช่างน่าเสียดายที่แสงสลัวทำให้วิสัยทัศน์พร่าเลือน มิได้มองเห็นได้ชัดเจน

สักพักหนึ่ง ร่างเงาสลัวจู่ๆก็เริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างกระทันหัน พริบตาเดียวพุ่งสูงไปเกือบเท่าตึกสองชั้น น่าจะสักประมาณ 5 เมตร ร่างเงานี้ถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวราวหิมะ ภายใต้แสงจันทร์ สะท้อนไปด้วยแสงสีเงิน ไม่ต่างไปจากเสื้อคลุมของฉินเฟิง

คู่ดวงตาของมันราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยสีเงิน ขนตางอนยาวงดงาม เบื้องหลังเป็นมีสามหางนุ่มฟูกำลังส่ายไปมา ดูแล้วสบายตา

ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี

ใครกันที่บอกว่าไป๋หลียังเป็นเด็ก? เวลานี้เธอตัวใหญ่มาก! ใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ

ไป๋หลีเชิดหน้าขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ ท่าทีช่างดูทรนงและสง่างาม

สักพักหนึ่ง ร่างเธอก็ค่อยๆเริ่มหดเล็กลง ไม่กี่ลมหายใจกลายเป็นขนาดเท่าสองฝ่ามือ สามหางนุ่มฟูมีความยาวเกือบจะครึ่งตัวของมัน ดูน่ารักมาก!

ไป๋หลีกระโจนขึ้นไปบนไหล่ของฉินเฟิง

“ฉันพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ” ไป๋หลีกล่าว

ฉินเฟิงลูบหัวของไป๋หลี หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาดู และเชื่อมต่อกับตำแหน่งปัจจุบัน

เขาพบว่าที่นี่ไม่ไกลจากเมืองนุ่ยเหมิง หากเดินทางไปตามถนนจะใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่ใกล้ไม่ไกล ยังมีสถานชุมชนขนาดเล็กที่ชื่อว่าฮั่นจวนโกวตั้งอยู่

ซึ่งนั่นคือสถานที่เป้าหมายของฉินเฟิง

เนื่องจากในชีวิตก่อนหน้า หลังจากข่าวสุสานเทพสงครามแพร่ออกไป ผู้ใช้วรยุทธโบราณก็เดินทางมาจากทุกสารทิศ กระทั่งตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูง ก็ยังส่งรุ่นเยาว์ของตนออกมา

ในบรรดาผู้ใช้วรยุทธโบราณ นับตั้งแต่สมัยโบราณก็มีทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม และในคราวนี้ จะมีหนึ่งในฝ่ายอธรรม ตระกูลผู้ฝึกฝนทักษะแปรผันเลือดผ่านมายังฮั่นจวนโกว

สำหรับตระกูลดังกล่าว พวกเขาจะถูกเรียกกันว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณวิถีมาร

การที่ฉินเฟิงเลือกเดินทางมาในครั้งนี้ แน่นอนไม่ได้คิดทำเรื่องดี ตรงกันข้าม เขามาที่นี่เพื่อสังหารคนและช่วงชิงสมบัติของผู้แพ้ไป

ถึงตอนนี้ ทุกท่านคงคาดเดาออกกันแล้ว ถูกต้อง! คนที่เขาต้องการสังหารคือรุ่นเยาว์ของตระกูลฝ่ายอธรรม –ซงหยวน!

ตระกูลซง เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในบรรดาผู้ใช้วรยุทธโบราณ

สกุลนี้มิใช่สกุลทั่วๆไป แต่ถูกตั้งขึ้นก่อนยุคโลกาวินาศ สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น

ซึ่งสำหรับตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณอย่างเช่นพวกเขา ในแง่กำลังรบ ทรงพลังพอที่จะเทียบเท่าได้กับกลุ่มหรือองค์กรเลยทีเดียว

สำหรับลูกหลานของตระกูลซง พวกเขาโปรดปรานในการสังหารเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นปัญหาใหญ่ นี่เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมฉินเฟิงจึงต้องปกปิดตัวตนของเขา เพราะหลังจากสังหารศพแรกแล้ว เกรงว่าไม่น่าจะจบแค่ศพเดียว!

เมื่อคิดต่อสู้แย่งชิงมรดกในสุสานเทพสงคราม ทุกคนที่เข้าร่วมย่อมเป็นศัตรู!

อาศัยประโยชน์จากความมืดมิด ไม่นาน ฉินเฟิงก็มาถึงชุมชนฮั่นจวนโกว

แม้ประตูชุมชนจะถูกปิดไปแล้วก็จริง แต่เมื่อฉินเฟิงมาถึง คนที่กำลังเฝ้าเวรยามกะดึกก็ใช้กล้องส่องทางไกลสำรวจฉินเฟิง เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงสวมใส่ชุดคลุม ดูลึกลับยากจะคาดหยั่ง ก็ไม่มีใครกล้าจะหยุดเขา

อีกทั้งภายใต้เสื้อคลุม ยังสาดให้เห็นถึงแสงสีเงินจางๆ นี่ทำให้เวรยามกลืนน้ำลายอึกใหญ่

แอ๊ด …

ประตูเล็กด้านข้างถูกเปิดออก

“นายท่าน โปรดเชิญทางนี้” คนเฝ้าประตูเปิดทางให้อย่างว่าง่าย

“อืม!” ฉินเฟิงจงใจกดเสียงตัวเองให้ดูต่ำ เปล่งในลำคอโดยไม่เอ่ยปากออกมา เดินเข้าไปในสถานชุมชนฮั่นจวนโกว

สถานชุมชนฮั่นจวนโกวไม่ใหญ่โตอะไร หากเทียบกับอินทรีมันก็เหมือนกับนกกระจอกตัวเล็ก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อันที่จริงมีส่วนคล้ายคลึงสถานชุมชนเฉิงเป่ย

ฉินเฟิงมองหาโรงแรมที่หรูที่สุดแล้วเข้าเช็คอิน

วันต่อมา ฉินเฟิงก็เดินออกจากโรงแรม

ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!

บนอุปกรณ์สื่อสาร ปรากฏเสียงแจ้งเตือนทันใด เป็นข่าวสารในภูมิภาค

“แจ้งเตือนเหล่าผู้ใช้พลัง ภายนอกฮั่นจวนโกว ปรากฏกองทัพสัตว์ร้ายห่างจากประตูชุมชนไปราวๆ 20 กิโลเมตร ต้องการการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน ทุกท่านได้โปรดให้ความช่วยเหลือพวกเรา ทางเรามีรางวัลตอบแทน กรุณาเร่งเดินทางไปยังจุดรวมพล และขึ้นรถบัสดัดแปลงสู่สนามรบ”

ปัจจุบันเริ่มก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว เป็นช่วงที่พวกสัตว์ร้ายตื่นจากจำศีล หากคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแค่ในชายฝั่งเมืองไห่แล้วล่ะก็ ท่านคิดผิด ไม่ว่าที่ใดก็มีเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้น เพียงแต่ไม่สาหัสเช่นเดียวกันก็เท่านั้นเอง

ฉินเฟิงไม่เสียเวลาคิด เร่งออกเดินทางทันที

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท