โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 279

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.279 – เทคนิคแผดเผาโลหิต

สีหน้าของซงหยูเหิงหม่นลง

ตระกูลซงของพวกเขาอยู่ในสี่เมืองทะเลเหนือมาตั้งหลายปี จะไม่มีศัตรูอยู่เลยได้อย่างไร? ตรงกันข้าม พวกเขามีศัตรูอยู่ทั่วทุกสารทิศ

แต่ศัตรูเกือบทั้งหมด ได้ถูกตัดรากถอนโคนไปจนสิ้น มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่พวกเขาพลาดไปหรือยังหลงเหลือ

ด้วยเหตุนี้เอง ซงหยูเหิงจึงไม่ทราบว่าฉินเฟิงเป็นใคร แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นี่

รู้แค่ว่าฉินเฟิงที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา ต้องถูกกำจัดก็พอแล้ว!

เมื่อได้ยินคำสั่งของซงหยูเหิง คนจากตระกูลซงก็ค่อยๆล่าถอยออกไป

เหลือเพียงผู้ดูแลเลเวล E ที่ยังรั้งอยู่ กระทั่งซงหลินฮานก็รับรู้แล้วว่าฉินเฟิงไม่ใช่คนที่ง่ายจะต่อกร

คู่ดวงตาของฉินเฟิงตกลงบนกายอีกฝ่าย

“จะรีบไปแล้วหรอ? ไม่อยากล้างแค้นให้ลูกชายแล้วรึไง หรือกลัวตายขึ้นมา?” ฉินเฟิงเอ่ยน้ำเสียงประชดประชัน

ดวงตาของซงหลินฮานกลายเป็นแดงฉาน แต่แขนข้างหนึ่งของเขาถูกตัดออก พละกำลังถดถอยลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขารู้ตัวเองดี ว่าไม่อาจรับมือกับฉินเฟิงได้

ปัจจุบัน คนที่พอสู้ได้ มีเพียงซงหยูเหิงเท่านั้น!

“ข้าไม่คิดเลย ว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา สุดท้ายต้องถูกบีบบังคับให้ใช้มันอีกครั้ง!” ซงหยูเหิงจู่ๆก็เอ่ยขึ้น

ฉินเฟิงเบนสายตาจากหลินฮาน จดจ้องซงหยูเหิงอย่างตั้งใจ

ส่วนคนอื่นๆ แม้จะถอยร่นไปไกลกว่า 50 เมตร แต่ท่าทีก็ยังแสดงออกถึงความตื่นเต้น

สำหรับผู้ใช้พลัง วิธีการที่จะได้รับประสบการณ์มากขึ้น เกิดจากการถูกอบรมสอนสั่ง หรือไม่ก็รับชมการต่อสู้ของผู้ใช้พลังชั้นสูง

ซึ่งในข้อนี้ ที่เด่นชัดที่สุดจะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ

เมื่อผู้เชี่ยวชาญสำแดงฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นแค่การสาธิตหรือต่อสู้จริงๆ ก็ต้องตั้งใจดูให้ดี

ไม่เว้นแม้แต่ฉินเฟิง เขาเองก็ยังตั้งตารอคอยในเวลานี้

อันที่จริง หากซงหยูเหิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ หรือมือปืน ด้วยเลเวล D ของเขา ฉินเฟิงคงหันหลังกลับ และเตลิดหนีไปแล้ว

ทว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ ฉินเฟิงเลยไม่หวั่นเกรง ทั้งยังคาดหวังเอาไว้เล็กน้อย

เพราะศัตรูยิ่งร้ายกาจ นั่นหมายความว่าหลังจากสังหารลง กำลังภายในที่จะดูดซับมา ย่อมมหาศาลมาก

“แผดเผาโลหิต!”

ในปากของซงหยูเหิง เปล่งสี่คำนี้ออกมาอย่างหนักแน่น

และเมื่อคำเหล่านี้ปรากฏขึ้น ร่างกายของซงหยูเหิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ร่างที่แต่เดิมชราภาพ คล้ายคนแก่อายุราวๆ70 – 80 ปี แผ่นหลังที่เคยงองุ้ม ค่อยๆเหยียดตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ ผิวหนังเหี่ยวย่นดั่งหงอนไก่ก็เริ่มชุ่มฉ่ำราวกับจู่ๆคนก็มีน้ำหนักมากขึ้น

เส้นผมเองจากขาวล้วนก็กลายเป็นสีดำหมึก ดูดกหนา ริ้วรอยบนใบหน้าค่อยๆจางลง ผิวที่หย่อนยานเริ่มดูอวบอิ่มบางจุดที่ถูกเคี่ยวกรำจนเป็นสีเหลืองยังกลายเป็นสีขาว

ชั่วพริบตาเดียว ราวกับย้อนเวลา อายุของซงหยูเหิงดูเด็กลงไปนับ 60 ปี สภาพเขาตอนนี้กลายเป็นรุ่นเยาว์อายุ 20 ปี มองบางมุมยังดูเด็กกว่าซงหยวนซะด้วยซ้ำ มีเพียงคู่ดวงตาเท่านั้นที่บังเกิดระลอกคลื่นผันผวน ดูมากไปด้วยประสบการณ์

ระหว่างกระบวนการ เสื้อผ้าถูกฉีกขาด เผยให้เห็นถึงมัดกล้ามและเนื้อหนัง ร่างที่สูงโปร่งกำยำ ราวกับหยกสลัก

เทคนิคแผดเผาโลหิต เป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้แก่ร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ ช่วยให้สามารถกลับคืนสู่เยาว์วัย

กระทั่งฉินเฟิงยังรู้สึกได้ ว่าแม้ซงหยูเหิงจะยังคงเป็นเลเวล D แต่ปัจจุบันความแข็งแกร่งของเขาเหนือล้ำกว่าก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด

“เจ้าบังคับให้ข้าใช้แผดเผาโลหิต รู้หรือไม่ ว่าสิ่งใดที่เจ้าต้องจ่ายเพื่อให้สาสมแก่มัน?”

ฉินเฟิงไม่ตอบกลับไป

ซงหยูเหิงเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ในวันนี้ บุคคลที่อยู่เบื้องหลังเจ้า สถานชุมชนของเจ้า ทุกคนจะต้องตาย ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า!”

หากเป็นคนธรรมดา พอได้ยินคำเหล่านี้ ความกดดันคงจะเพิ่มเป็นเท่าทวี

เพียงประโยคเดียวแต่สามารถข่มได้อย่างลึกล้ำเช่นนี้ สมควรแล้วกับประสบการณ์ที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ซงหยูเหิงฉลาดแกมโกงจริงๆ

ต้องรู้นะว่า ยามประจันหน้า ห้วงอารมณ์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุด

“ฉันพอจะรู้มาบ้าง ว่าเทคนิคแผดเผาโลหิตของตระกูลซง ยิ่งกลับคืนสู่วัยเยาว์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการเลือดมากเท่านั้น แต่แกมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า?” แม้ซงหยูเหิงจะกลับคืนสู่เยาว์วัย แต่ฉินเฟิงก็ไม่ใช่เด็กที่จะให้เขาข่มได้ง่ายๆ เพราะหากนับกันตามช่วงวัยที่รุ่งเรืองที่สุดในชีวิต พละกำลังกายของฉินเฟิงเองก็อยู่ในอันดับต้นๆ ไม่เลวร้ายไปกว่าซงหยูเหิงอย่างแน่นอน

“ฮี่ฮี่ เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นกับตาเอง ให้เจ้าเฝ้ามองสถานชุมชนถูกทำลาย ส่วนตัวเจ้า ก็กลายเป็นผู้ร้าย สำลักความผิดจนตาย!”

การกระทำเช่นนี้ มักจะเป็นบทละครที่พวกองค์กรมืดรักที่จะเชยชม

ผดุงความยุติธรรม? ความสงบสุข? เพ้ย! นั่นมันเรื่องไร้สาระ พวกเขาชมชอบที่จะทำลายต่างหาก ชอบที่จะระบายความรู้สึกแง่ลบ และปล่อยให้วีรบุรุษที่แสนดี จมอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก เกิดความคิดสับสนจนเดินเข้าสู่กองไฟด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ของเขาคราวนี้คือฉินเฟิง ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปั่นประสาท

“สาดน้ำลายไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนที่กำลังจะตาย แน่นอนว่าไม่ใช่ฉัน”

คำกล่าวนี้ เปล่งออกมาจากความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเอง มิใช่สิ่งที่สามารถถูกสั่นคลอนด้วยลมปาก

“จะมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว!” ซงหยูเหิงคำรามเกรี้ยวกราด วินาทีต่อมา กระแสกำลังภายในพลันก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่ ลุกฮือขึ้นรอบกายเขา

กระแสวังวนนี้คล้ายกับกดอากาศให้ต่ำลง บีบให้ผู้คนรอบข้างยากจะหายใจ

กำลังภายในน่ะ มีจุดเริ่มต้นมาจากจักรวาลในร่างกาย และของซงหยูเหิง มันออกมาในรูปแบบระลอกคลื่นแลดูกระจ่างใส

ก็อย่างที่รู้ๆกัน ว่าผู้ใช้วรยุทธแต่ละระดับ รูปแบบกำลังภายในจะไม่เหมือนกัน

เลเวล D เองก็แตกต่างจากเลเวล E

เป็นกำลังภายในรูปแบบของเหลว ก่อตัวเป็นหยดน้ำ เปลี่ยนจากเมฆหมอก กลั่นเป็นของเหลว

ห่างออกไป 50 เมตร คนตระกูลซงรู้สึกยากจะหายใจ ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ราวถูกบังคับให้หมอบคลานกับพื้นภายใต้แรงกดดัน

ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิง แผ่กำลังภายในออกมาปกป้องตนเอง

กำลังภายในทั้งตัวเขาก่อร่างขึ้นเป็นกระแสวังวน แต่เมื่อเทียบกับของซงหยูเหิง มันกลับปรากฏในรูปแบบหมอกสีขาว

ซงหยูเหิงหัวเราะ

“เป็นความแข็งแกร่งที่ไม่เลว แต่อย่าทรนงจนเกินไป ถึงเจ้าจะปลดปล่อยกำลังภายในออกมา แต่สุดท้ายย่อมถูกกดดันและสลายไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ต่อให้ข้าไม่ลงมือโจมตีเจ้า ปล่อยทิ้งไว้อีกสักพัก กำลังภายในเจ้าก็หมดลงอยู่ดี จะยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนสู้หรือไม่?”

“เหอๆ งั้นมาดูกัน ว่ากำลังภายในใครมันจะหมดก่อน!”

ซงหยูเหิงได้รับบาดเจ็บมาตั้งนานแล้ว ปัจจจุบันเลยยังคงรักษาความแข็งแกร่งได้อยู่ที่เลเวล D ยังไม่สามารถไปถึงเลเวล D1 ได้

ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากเลเวล E สู่เลเวล D จะเทียบเท่ากับการเปลี่ยนแปลง 10 เมฆทะเลหมอกในตันเถียน กลายเป็นแอ่งน้ำกำลังภายอันกระจ่างใส ซึ่งปัจจุบันที่ซงหยูเหิงครอบครองคือ 1 แอ่งน้ำ

ในขณะที่ฉินเฟิงครอบครองถึง 35 ชั้นทะเลเมฆ แม้คุณภาพจะไม่ดีเท่า แต่หากงัดกันในแง่ปริมาณ ฉินเฟิงมีจำนวนกำลังภายในมากกว่าซงหยูเหิงกว่า 3 เท่า

–ทั้งสองไม่มีเจตนาจะมัวเสียเวลาอีกต่อไป พุ่งทะยานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

กำลังภายในถูกปลดปล่อยออกมาสู่ภายนอก ก่อตัวเป็นคลื่นพลังงานแตกกระเจิงออกไป

ตูม!

รอบกายทั้งสอง รถศึกล่องเวหาที่จอดทิ้งเอาไว้ ทั้งหมดถูกแรงอัดอากาศผลักถอยกรูดไปไกลกว่า 1 เมตร กระทั่งแผ่นเหล็กเสริมแกร่งบนตัวรถก็ยังบิดเบี้ยวจนผิดรูป

และนี่เป็นแค่ในส่วนของกำลังภายในที่ปะทะกันนะ ต่อไปเป็นการโจมตีด้วยพละกำลังระหว่างทั้งสอง

บรึ้ม!

การโจมตีของทั้งสองตามมาอีกระลอก

“ฝ่ามือละลายโลหิต!”

ฝ่ามือฟาดออกไป แต่กระทบลงโดนภาพเงาติดตาของฉินเฟิงที่ทิ้งเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่แผ่กำลังภายในออกไป ระเบิดใส่เส้นทางถนนโดยตรง

ผืนดินแตกกระเจิงเป็นเสี่ยงๆ ตำแหน่งที่ปะทะเข้าจังๆ ถูกยกขึ้นมา แปรสภาพเป็นปากปล่องภูเขาไฟขนาดสองเมตร

วูซซซซ!

ฉินเฟิงปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังซงหยูเหิง มีดที่อัดฉีดไปด้วยกำลังภายในงัดเข้าใส่สะบักอย่างรวดเร็ว

วู้มมมม

บังเกิดเสียงแหลมโหยหวน กำลังภายในของทั้งสองยื้อยุทธกันและกัน

“ตายซะ!” ซงหยูเหิงฟาดหลังมือกลับไปด้วยความเร็วที่พอๆกัน

พละกำลังของซงหยูเหิงในตอนนี้ เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ที่เขาสู้กับฉินเฟิง ทั้งหมดล้วนถูกศัตรูหยุดเอาไว้ได้ ลงมือโหดเหี้ยมเพียงใด ก็ไม่อาจทำร้ายฉินเฟิง

เห็นได้ชัดว่ายามร่างกายกลับคืนสู่วัยเยาว์ ซงหยูเหิงเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เขาระเบิดการโจมตีด้วยความสุขสม

ความเร็วเพิ่มพูนขึ้นเป็นสองเท่าอย่างกระทันหัน การโจมตีของฉินเฟิงถูกขัดจังหวะ เบี่ยงวิถีไป

ผัวะ!

วูซซ!

ไหล่ของฉินเฟิงถูกฝ่ามือประทับใส่ แสงบนชุดรบเขาริบหรี่ลงไปทันตา แตกหักได้รับความเสียหาย แต่บนผิวกาย กลับไม่เห็นแม้กระทั่งร่องรอยขีดข่วน

ฝั่งซงหยูเหิง ผมของเขาปลิวสยายไปตามสายลม ปรากฏริ้วเลือดเป็นทางยาวขึ้นบนแก้มเขา จากคมมีดของฉินเฟิง

ทั้งสองร่างวูบไหว โฉบสลับตำแหน่งกัน

มุมปากของซงหยูเหิงกระตุก เขายกมือขึ้น ปาดลงบนแก้ม ปรากฏรอยเลือดขึ้นบนมือเขา

วินาทีนั้นสีหน้ากลับกลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง

“แส่หาที่ตาย!”

ราวกับหมาบ้าที่ถูกยั่วโมโหจนถึงขีดสุด ซงหยูเหิงโฉบทะยานไปเข้าหาศัตรูอย่างคลุ้มคลั่ง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท