โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 288

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.288 – เข้าสู่สุสานเทพสงคราม

เบาะแสะเหล่านี้ จะปล่อยไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นสถานะของฉินเฟิงอาจถูกกเปิดเผย ชักนำภัยพิบัติสู่สถานชุมชนเฟิงหลี

“เสี่ยวไป๋ เร็วเข้า กำจัดดินพวกนี้ออกไป”

ไป๋หลีเพียงนึกคิดในจิตใจ หลุมขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นแทนที่แอ่งลาวา

ฉินเฟิงโฉบกายไปข้างมัน ระเบิดออกไปหลายหมัด ทุบทำลายหลุมใหญ่ จนมีสภาพดูไม่ได้

ในตอนนั้นเอง หางตาของเขาเริ่มมองเห็นศัตรูบางส่วนจากบริเวณผืนป่าแล้ว

ฉินเฟิงอัดฉีดกำลังภายในลงสองขา ทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

“ไอ้ตัวชั่วช้า จะหนีไปไหน!” เมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหวของฉินเฟิง สามร่างเงาก็ยิ่งไล่ล่าเดือดดาล

เป็นคนจากตระกูลซงจริงๆ ได้แก่ซงหยูไคกับอีกสองอาวุโส

สามอาวุโสว่องไวเป็นอย่างมาก แต่ความเร็วของฉินเฟิงเองก็ไม่เชื่องช้า เจ้าตัวระเบิดกำลังภายใน ทะยานหลบหนีด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว

ก้าวเดียวทะยานไปได้ไกลกว่า 20 เมตร พริบตาเดียวทิ้งห่างไปกว่า 100 เมตร!

สามอาวุโสตระกูลซงไล่ล่าไม่ลดละ ยิ่งนาน ระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งหดแคบลง

วิ่งตามอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลายาวนานกว่า 5 นาที ปัจจุบัน ห่างกันเพียง 50 เมตรเท่านั้น

ขณะนี้ ในระยะพลังสมาธิของฉินเฟิง สามารถตรวจพบการดำรงอยู่ของคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

คนเหล่านี้อ่อนแอที่สุดอยู่ในเลเวล E แข็งแกร่งสุดอยู่ในเลเวล D ซึ่งมีทั้งสิ้นห้าคน

ฉินเฟิงเร่งความเร็วอีกครั้ง

วูซซซ!

ไป๋หลีปรากฏตัวขึ้นในอ้อมแขนของฉินเฟิง เมื่อครู่เธออยู่ข้างๆตลอดเวลา เผื่อว่าฉินเฟิงถูกจับได้ขึ้นมา จะได้ระเบิดท่าสังหารเข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว

เพราะระหว่างหลบหนี ภูเขาลูกใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นสู่สายตาทุกคน เหนือขึ้นไปของภูเขาใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก คล้ายแดนสวรรค์ อีกทั้งยังมีเสาตั้งอยู่หน้าทางเข้า สลักไว้โดยอักขระแบบดั้งเดิมใจความว่า

—สุสานเทพสงคราม!

บนเสาสลัก มีอักขระขนาดเล็กนับไม่ถ้วน บันทึกประวัติของเทพสงคราม ทั้งยังมีเงื่อนไขบันทึกเอาไว้ และข้างๆมีบันไดหินที่ทอดยาวไปสู่ทางเข้าปรากฏอยู่ และยังเป็นจุดเดียวที่ไม่มีหมอกห้อมล้อม

ยิ่งไปกว่านั้น ทางเข้าที่ว่ายังถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน เห็นได้ชัดว่ามันคือช่องว่างมิติ

ฉากเบื้องหน้า ทำเอาคนจากตระกูลซงตะลึงงัน สำหรับผู้คนจำนวนมากที่ยืนอยู่หน้าสุสานเทพสงคราม พวกเขาต่างรู้จักเป็นอย่างดี

ล้วนเป็นตัวตนสำคัญจากตระกูลหยาง , ตี๋ และโหว

ทั้งหมดเป็นผู้ใช้พลังเลเวล D ล้วนกำลังนั่งขวาทับซ้าย ดูดซับพลังจิตวิญญาณของโลกอันอุดมสมบูรณ์ที่นี่ —มันช่วยส่งเสริมให้พวกเขาสามารถฝึกฝนได้ก้าวหน้าเร็วยิ่งขึ้น

จู่ๆซงหยูไคพลันนึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขากลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง

ไม่ใช่ว่าเดิมทีซงหยวนออกมา ก็เพื่อจะเข้าร่วมสุสานเทพสงครามหรอกหรือ? แต่เป็นบลัดฮันเตอร์ที่สังหารเขา ไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายจะหลบหนีมาที่นี่

“ไอ้หนู อย่าคิดนะว่าพวกเขาจะช่วยเจ้าได้ วันนี้หากข้าไม่อาจสังหารเจ้า ข้าไม่ขอเป็นคน!”

ซงหยูไคเร่งความเร็วยิ่งขึ้น

หนึ่งหลบหนี สามไล่ล่ามาจนถึงตีนเขาเบื้องล่างของสุสานเทพสงคราม

ผู้ใช้พลังเลเวล D และ E บริเวณตีนภูเขา ทั้งหมดลืมตาขึ้น มองมาทางฉินเฟิง ในพลังสมาธิของฉินเฟิง บังเอิญได้พบเจอกับคนรู้จัก

เป็นคนที่ก่อนหน้านี้ตนเองแนะนำให้เดินทางมาที่นี่ —ชูหยิงซาน

แม้ซูหยิงซานจะไม่สามารถเข้าสุสานเทพสงครามได้ แต่ในช่วงเวลาที่สุสานเทพสงครามเปิดอยู่ จิตวิญญาณแห่งขุนเขาก็จะเปิดตาม พลังงานฟ้าดินโดยรอบจะพุ่งสูงขึ้นกว่า 5 – 6 เท่า เหมาะแก่การใช้ฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง สมมติง่ายๆว่าหากฝึกฝนที่นี่หนึ่งเดือน จะเทียบเท่ากับการฝึกฝนภายนอกถึงครึ่งปี

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลารำลึกความหลัง ฉินเฟิงไม่มีเวลาได้ทักทายอีกฝ่าย

ฉินเฟิงสับฝีเท้าดุเดือด ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก หนึ่งมือสะบัด ปรากฏใบหยกขึ้นในมัน

–ตั๋วเข้าสู่สุสานเทพสงคราม!

ฉินเฟิงพุ่งเข้าหาทางเข้าที่อยู่ถัดไปจากเสาสุสานเทพสงครามทันที

รูนมิติตรงทางเข้ากระพริบไหว ห่อหุ้มฉินเฟิงและหายวับไปในพริบตา

ซงหยูไคที่ไล่ติดตามมาไม่ยอมหยุดฝีเท้า เขาคิดว่าหากฉินเฟิงไปได้ ตนก็สามารถไปได้ พุ่งเข้าหาทางเข้าทันที

วินาทีต่อมา แสงสีเงินตรงทางเข้าพลันกระพริบไหว ซงหยูไคลืมตาขึ้นอีกที ค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่นอกหน้าทางเข้า ห่างออกไป 20 เมตรอย่างน่าฉงน

เป็นแสงมิติที่เคลื่อนย้ายเขาออกมา

หวือ หวือ!

จากนั้นก็ปรากฏรังสีแสงอีกสองคราว เป็นอาวุโสที่ไล่ตามมาติดๆ

ณ ทางเข้าภูเขาปรากฏอักขระโบราณขึ้นอย่างกระทันหัน สำหรับคนจากตระกูลชั้นสูง การอ่านอักษรเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก!

【ไม่มีบัตรหยกเทพสงคราม】

【อายุเกิน 20 ปี】

【ห้ามเข้า!】

“เป็นไปได้อย่างไร! เช่นนั้นทำไมบลัดฮันเตอร์ถึงเข้าไปได้?” ซงหยูไคแทบเป็นบ้า

เป็นธรรมดาที่ทางเข้าจะปฏิเสธซงหยูไค

ผู้คนที่อยู่รอบข้าง มองฉากนี้ราวกับเป็นเรื่องตลก และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา

หนึ่งในคนที่กำลังนั่งสมาธิ ชายผู้พาดหอกที่มีพู่หางม้าอยู่ตรงปลายไว้บนบ่าผุดยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ออกมา คล้ายยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น

“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? เพราะน้องชายคนนั้นมีบัตรหยกเทพสงครามอย่างไรเล่า อีกทั้งยังอายุไม่ถึง 20 ปี เขาเลยสามารถเข้าไปได้”

“เจ้าหุบ … ” ซงหยูไคเดือดดาล กำลังจะสบถออกมา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่าย เขาก็จำต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไป

–เป็นหยางเหมา อาวุโสสองแห่งตระกูลหยาง , ผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล D5

อีกด้านหนึ่ง เป็นชายวัยกลางคนตัวเตี้ยกำลังนั่งสมาธิอยู่เช่นกัน บนตักเขาวางทับไว้ด้วยดาบหนัก เผยท่าทีเยาะเย้ย และกล่าว “ปรากฏว่านั่นคือบลัดฮันเตอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในตอนนี้ ฉันได้ยินมาว่าเขาเพิ่งสังหารซงหยูเหิงไป ไม่นึกเลย ว่าอาวุโสตระกูลซงจะถูกรังแกโดยเด็กที่กระทั่งขนหน้าอกยังไม่ขึ้น น่าอับอายเหลือเกิน!”

ใบหน้าของซงหยูไคกลายเป็นแดงก่ำ

“ตี๋เล่ย สนใจจักประลองกันสักหน่อยหรือไม่?” อาวุโสสามตระกูลซงตะโกนเสียงดัง

“ก็เอาซีวะ กำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี!”

บรรยากาศระหว่างทั้งสองกลายเป็นคุกรุ่น

“ตระกูลซ่ง อย่าลืมว่าที่นี่คืออาณาเขตของใคร พวกแกต้องการจะสู้จริงๆน่ะหรือ? อย่าทำให้เลือดชั่วต้องเปรอะเปื้อนที่แห่งนี้เลย รีบไสหัวไปซะก่อนที่จะกลายเป็นศพ!” หญิงในวัยสามสิบปีที่มีแส้คล้องอยู่รอบเอวกล่าวอย่างเผ็ดร้อน

—เป็นโหวหยางเจียวจากตระกูลโหว

นอกจากนี้ ยังมีเลเวล D อีกสองคนอยู่ข้างๆ ทั้งคู่เป็นรองผู้นำจากเมืองในสี่เมืองทะเลเหนือ

คนกลุ่มนี้ แม้ว่าจะมาจากต่างที่ แต่จุดยืนของพวกเขากับตระกูลซงนั้นต่างกัน

พวกเขาคือกลุ่มพันธมิตรมนุษยชาติ

ขณะที่ตระกูลซงเป็นกลุ่มองค์กรมืด

เดิมก็เป็นปรปักษ์กันอยู่แล้ว แต่เนื่องจากไม่ต้องการสงคราม เลยไม่คิดยุ่งเกี่ยวใดๆต่อกัน

อาวุโสตระกูลซงสีหน้าซีดเซียว โดยเฉพาะอาวุโสสามทำได้เพียงกลืนคำพูดในใจกลับลงไป ไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก

เพียงแต่ในหัวใจของพวกเขายังคงสับสน ว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงได้มาที่นี่!

ในความเป็นจริงแล้วสุสานเทพสงครามไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อพวกเขา แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ซงหยวนถูกฆ่าเมื่อสามวันก่อน เป็นสัญญาณเตือนแก่พวกเขา

ซงหยวนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลซง นับเป็นสมบัติของตระกูล แต่กลับจบลงโดยการถูกสังหาร

ตระกูลซงคือหนึ่งในกลุ่มที่โหดร้ายไร้ปราณี หากเกิดพวกมันสงสัยตระกูลของตนเล่า? มันจะไม่บุกมาทำลายความหวังใหม่ของตระกูลพวกตนหรอกหรือ?

ซึ่งพวกเขาก็เดาถูก เพราะซงหลินฮานเกิดความคิดอย่างนั้นขึ้นจริงๆ

ด้วยเหตุนี้เอง สามตระกูลใหญ่จึงส่งผู้เชี่ยวชาญเลเวล D ออกมาติดตามพวกเด็กๆ หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมากมาย แม้ตระกูลซงจะไม่ส่งคนมาฆ่ารุ่นเยาว์ของพวกเขา แต่ทั้งหมดก็ไม่กล้าจากไป และยังคอยจับตาดูเรื่องนี้อย่างลับๆ

ใครมันจะไปคิดกัน ว่าสุดท้ายผลลัพธ์กลับเป็นแบบนี้

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบลัดฮันเตอร์ยังอายุไม่ถึง 20 ปี”

“ตอนนี้ภายในสุสานเทพสงคราม มีแต่คนอายุต่ำกว่า 20 ปีทั้งนั้น พวกเราทำได้แค่รออยู่ที่นี่ แบบนี้มันไม่น่าห่วงหรือ?”

“การแข่งขันภายในสุสานเทพสงครามคงดุเดือดอย่างแน่นอน พวกเราได้แต่หวังว่าบลัดฮันเตอร์จะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ โชคดีที่เขาเอาแต่ตามล่าตระกูลซง ทั้งยังมีสถานะเป็นนักล่าเงินรางวัล ฉันไม่คิดว่าเขาเป็นคนขององค์กรมืด”

เวลานี้ ความคิดในจิตใจของผู้คนแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนมุ่งเป้าไปที่คนๆเดียว

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก้าวเข้าสู่ประตูทางเข้า วิสัยทัศน์ในแววตาของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท