โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.301 – บลัดฮันเตอร์หายไป
ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้!
ฝูงชนที่เสนอหน้ามา ล้วนถูกสยบโดยฉินเฟิง ทั้งหมดหมอบกับพื้น ไม่มีใครเลยที่สามารถลุกขึ้นมาได้
เวลานี้ พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดไป!
เดิมคิดว่าคนหมู่มากจะสามารถบีบบังคับให้ฉินเฟิงยอมแพ้ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่าง … ทุกสิ่งที่พวกเขาคิดและทำมันช่างโง่เง่าสิ้นดี
เพียงใช้ออกด้วยกระบวนท่าวรยุทธเทคนิคเหิงหลงขั้นที่สามของฉินเฟิง ก็พอแล้วที่จะกวาดล้างทั้งสมรภูมิ!
กระบวนท่าวรยุทธนี้ ในชีวิตก่อนเขาเองก็เคยได้ศึกษามันมาบ้าง เมื่อประสบการณ์แต่เก่าก่อนผสานกับกำลังภายในในปัจจุบัน สองชาติภพจึงก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่
คนเหล่านี้ เดิมคิดว่าแม้ฉินเฟิงจะได้รับกระบวนท่าวรยุทธเลเวล A มาครอบครอง แต่ย่อมไม่มีเวลามากพอจะฝึกฝน ดังนั้นไม่น่าแข็งแกร่งกว่าเดิมมากมายนัก แต่ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้แล้วว่า ตนคิดผิดมหันต์
“เหอะ!”
ฉินเฟิงส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความดูถูก
ในตอนนั้นเอง บนพื้นดินที่ห่างไกลออกไป โหวหยางเจียวซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บจากมังกรทอร์นาโดก็ผุดลุกขึ้นเป็นคนแรก ทว่ายามนี้ ทั่วทั้งใบหน้าของเธอ มันบวมแดงเป็นลูกตำลึง
โหวหยางเจียวแสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงในสายตาของเธอ แม้จะเห็นว่ายังสาว แต่เธอก็อยู่มายาวนานกว่า 40 ปี ครั้งล่าสุดที่ถูกทุบตีจนมีสภาพแบบนี้ มันนานมาก นานจนจำไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นความโศกสลดและโกรธเกรี้ยวก็พรั่งพรูจนยากจะสงบลงได้
ฉินเฟิงกวาดตามอง ก้าวเข้าหาเธอ
หัวใจของโหวหยางเจียวกระตุกวูบ ชักฝีเท้าถอยหลังอย่างรวดเร็ว
ต่อมา โหวหยางเจียวถึงค่อยตระหนักถึงการกระทำของตัวเอง นี่ยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอที่บวมแดงอยู่แล้ว แดงยิ่งกว่าเดิม
แรงกดดันที่เคยทรนงเริ่มอ่อนโทรมลง … เธอหวาดกลัวฉินเฟิง
โหวหยางเจียวไม่ต้องการยอมรับความจริงข้อนี้
ฉินเฟิงเอ่ยปากอีกครั้ง “ถ้ามีเวลามาผายลมที่นี่ ทำไมคุณไม่กลับตระกูลไป แล้วฝึกฝนอย่างหนักเสียเล่า? ลองให้ฉันรู้ว่าคุณไล่ตามมาอีกครั้งดูสิ คราวนี้อย่าหวังว่าชีวิตสุนัขของคุณจะรอดไปได้”
ศักดิ์ศรีถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ฉินเฟิงไม่สนถึงชื่อเสียงของพวกเธอเลย
แต่ก็แล้วยังไง? เพราะเวลานี้ตัวตนของฉินเฟิงถูกซ่อนอยู่ในสถานะของบลัดฮันเตอร์
ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ ใครเล่าจะสืบมาถึงเขา
ฉินเฟิงเดินหายไปจากแนวสายตาของผู้คน แม้ทั้งการกระทำและคำพูดของเขาจะทำให้ฝูงชนขุ่นเคือง แต่ฉินเฟิงไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
โหวหยางเจียวแน่นอนไม่กล้าไล่ตามเขาไป
ฉินเฟิงจากไปอย่างหยิ่งผยอง ทุกสายตาของตัวตนเลเวล D เฝ้ามองแผ่นหลังของเขาจนลาลับ
“สักวันหนึ่ง ไอ้หนูนี่คงกลายเป็นเลเวล C ถึงเวลานั้นตระกูลซงคงจบสิ้นแล้ว” ตี๋เล่ยคิดจะเอ่ยออกมามากกว่านี้ แต่ก็ต้องหุบปากลง แค่เปล่งเสียงออกมาก็รู้สึกเจ็บปวดอวัยวะภายในจนเกินจะรับไหว กระอักเลือดคำโตออกมา
พรวดดด!
ทุกคนในที่แห่งนี้ ล้วนได้รับบาดเจ็บภายใน
ในขณะที่คนจากตระกูลหลี่ ต่างอยู่ในสภาพหมอบกรานกับพื้น เป็นหรือตายก็มิอาจล่วงรู้!
…
หนึ่งวันให้หลัง ฉินเฟิงเดินทางออกจากเมืองนุ่ยเหมิง ขี่รถสายฟ้าสีเงินมุ่งหน้าไปยังทิศทางเมืองเฉิงหยาง
เขาจงใจทิ้งร่องรอยเล็กน้อยเอาไว้ แต่ไม่มีใครกล้าไล่ตามมาอีกต่อไป
หากไม่มีการสนับสนุนจากเลเวล C มีหรือที่พวกเขาจะกล้าไล่ตามฉินเฟิง?
ฉินเฟิงขับรถมุ่งหน้าสู่เมืองเฉิงหยาง แน่นอน ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาคิดจะเปิดเผยตัวตน
แต่เขาคิดจะจัดการกับสินสงครามที่ได้มาอย่างต่อเนื่องต่างหาก —ฉินเฟิงเจตนาจะซ่อนจุดกระจายสินค้า
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่ได้มาจากนี้ ไม่ถูกนำไปประมูลก็นำไปซื้อขายออกสู่ภายนอก
ตราบใดที่ฉินเฟิงในฐานะบลัดฮันเตอร์ออกจากสี่เมืองทะเลเหนือ และเข้าสู่เขตสามเฉิง ถึงเวลานั้นหากคิดจะกระจายสินสงครามในตลาดมืดของสถานชุมชนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน หากพวกมันถูกนำออกมาขายในตลาดมืด นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจจะใช้เวลาขับรถถึงครึ่งเดือน
กลางดึกในคืนเดียวกัน อาศัยประโยชน์จากเมฆที่บดบังแสงจันทร์ ท่ามกลางทุ่งล่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไป๋หลีเทเลพอร์ตเขาจากสี่เมืองทะเลเหนือ หายวับไปอย่างสิ้นเชิง
ตั้งแต่นั้นมา ร่องรอยของบลัดฮันเตอร์ก็หายไป และเกรงว่าในอนาคต มันจะกลายเป็นตำนาน!
…
ณ สถานชุมชนเฟิงหลี บนภูเขาแม่ ภายในคฤหาสน์สุดหรู พลันบังเกิดแสงสีเงินสว่างวาบ ช่องว่างมิติปรากฏขึ้น
ร่างเงาของบุคคลผุดออกมาจากหลุมดำ ตามต่อด้วยร่างของจิ้งจอกสามหาง
—เป็นฉินเฟิงและไป๋หลี
กระแสวังวนสีเงินค่อยๆปิดลง ฉินเฟิงถอดหน้ากากและเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นถึงร่างกายที่บึกบึนแข็งแรงของเขา
การต่อสู้ในครั้งนี้ ร่างกายได้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับ ประจวบกับผลลัพธ์ของเมล็ดบัวพิสุทธิ์ ความแข็งแกร่งที่แต่เดิมหลบซ่อนอยู่ตลอดทั้งกาย เลยสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกน่าทึ่งและประทับใจเป็นอย่างมาก
กลิ่นอายของฉินเฟิง ราวกับสัตว์ร้ายจากบรรพกาล
“ฟู่ว! ความรู้สึกดีพอได้กลับมาบ้าน มันเป็นแบบนี้เองสินะ”
ดิ้นรนต่อสู้มานานหลายวัน ในที่สุดได้กลับบ้านในสถานชุมชน ความตึงเครียดก็คลายลง รู้สึกโล่งใจกว่าเดิมมาก
ฉินเฟิงถอดกางเกงออก ตรงเข้าไปอาบน้ำ ยามใช้ฝ่ามือขัดๆถูๆไปตามร่างกายตน ช่างให้ความรู้สึกที่เรียบลื่น
“อาา! ดีใจจังที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง ไม่ได้คุยกับคนอื่นๆมาหลายวันแล้ว กระโปรงก็ยังใส่ไม่ได้อีก”
ไป๋หลีถอนหายใจ ระหว่างอยู่ในร่างสัตว์ เธอไม่สามารถเล่นหรือสื่อสารกับคนอื่นผ่านอุปกรณ์สื่อสารได้ เนื่องจากตนติดพฤติกรรมของมนุษย์มามากเกินไป เมื่อไม่มีอินเตอร์เน็ตก็ทำเอาเธอเบื่อแทบตาย!
โชคยังดี ที่ประสบการณ์อันขื่นขมนี้ ใช้เวลาไม่นานก็จบลง!
ฉินเฟิงหยิบอุปกรณ์สื่อสารของเขาออกมา โทรหาโจวฮ่าว
สายสื่อสารเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ภาพของโจวฮ่าวที่กำลังนั่งอยู่บนรถศึกล่องเวหาโผล่ขึ้นมา อีกฝ่ายมองสภาพแวดล้อมเบื้องหลังฉินเฟิงก็ถอนหายใจ “นั่นนายกลับถึงบ้านแล้วหรอ? นายกลับโดยใช้ตัวเชื่อมมิติใช่ไหม? ไอ้ศิษย์พี่จใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว!”
หากต้องการกลับมายังสถานชุมชนเฟิงหลีอย่างเร่งด่วน นี่คือวิธีที่เร็วที่สุด!
เป็นธรรมดาที่โจวฮ่าวจะไม่สงสัยว่านี่เป็นอบิลิตี้ของไป๋หลี
“อืม แล้วสถานการณ์ฝั่งนายเป็นยังไงบ้าง? มีอันตรายรึเปล่า? ถ้าคิดว่ารับมือไม่ไหวจริงๆก็ใช้ตัวเชื่อมมิติกลับมาก็ได้นา” ฉินเฟิงเอ่ยถาม
“ทางฉันยังสบายดี ตอนนี้ไม่มีใครไล่ตามมา แต่ฉันว่าจะใช้เวลาฝึกฝนในทุ่งล่าอีกสักนิดๆหน่อยๆ มาดูกันว่าจะสามารถตัดผ่านเลเวล E ได้รึเปล่า”
มีเฉพาะแค่ในทุ่งล่าเท่านั้น ที่จะมอบประสบการณ์มากพอให้สามารถพัฒนาการขึ้นอย่างรวดเร็วได้
ฉินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม จู่ๆโจวฮ่าวจากปลายสายก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกระทันหัน “แต่ตอนนี้มีคนติดต่อหาฉันมาเยอะมาก นอกจากนี้บางส่วนยังเป็นถึงเลเวล E พวกเขาต้องการจะขอซื้อเทคนิคลับเหิงหลงขั้น 2 จากมือฉัน”
เทคนิคลับเหิงหลงขั้น 2 อยู่ในส่วนของเลเวล E ทั้งยังเป็นเทคนิคลับคู่ขนาน เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดใจผู้คน
“ไม่มีใครคุกคามนายใช่ไหม?” ฉินเฟิงเริ่มวิตก
“ไม่หรอก มีเสี่ยวหวงอยู่ด้วย ถ้าพวกเขาคุกคามฉัน อย่าหวังจะได้กลับไป!”
สัตว์ร้ายระดับราชันย์ มิใช่สิ่งที่ง่ายจะต่อกร มันสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก!
“อืม ฉันแนะนำให้บอกทุกคนไปเลยว่าจะขาย ‘พรสวรรค์มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉา การเก็บสมบัติล้ำค่าไว้แต่เพียงผู้เดียวถือเป็นอาชญากรรม’ ฉะนั้นจะเป็นการดีที่สุดถ้านายขายให้หลายๆคนพร้อมกันในคราวเดียว เพราะต่อมา แม้พวกเขาจะปล่อยเทคนิคนี้ออกไปในอนาคต มันก็ไม่เสียหายอะไร ยังไงนายก็ได้เงินมาแล้ว เจ้าสิ่งนี้ไม่สามารถใช้หากินได้ตลอดชีวิต ”
“ตกลง ฉันจะขายมัน” โจวฮ่าวหัวเราะ “ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวร่ำรวยซะแล้วสิ งั้นเทคนิคฝึกยุทธเลเวล E ขอขายมันในราคาสัก 100 ล้านก็แล้วกัน!”
หากมีคนขอซื้อเขาสัก7 – 8 คน นี่ถือว่าทำกำไรได้มหาศาลชนิดขัดต่อเจตจำนงสวรรค์แล้ว!
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นเกาหลิงฮานแห่งสถานชุมชนเฉิงเป่ยเองก็เป็นเลเวล F เหมือนกัน แต่แค่ได้รับภารกิจรางวัล 7 หลัก เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจโคตรๆแล้ว
แต่ตอนนี้โจวฮ่าวถือได้ว่าบดขยี้เขาอย่างสมบูรณ์ เป็นธรรมดาที่เจ้าตัวจะรู้สึกมีความสุข!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับฉินเฟิง มันก็ยังห่างชั้นกันเกินไปอยู่ดี
เพราะสำหรับการเก็บเกี่ยวของฉินเฟิงในครั้งนี้ จำนวนเงินมันอยู่ที่หลักแสนล้าน!
นี่ยังไม่นับรวมศิลาควบคุมเขตแดน และแหล่งรายได้อีกหนึ่งรายการของฉินเฟิงที่เพิ่มเข้ามา นั่นคือการเพาะเมล็ดบัวพิสุทธิ์ ซึ่งจะออกผลใน 1 ปี จำนวนเงินจากมันน่าจะหลักหลายพันถึงหมื่นล้าน
หลังจากสนทนากับโจวฮ่าว ฉินเฟิงก็วางสาย และติดต่อหาซูซิงฝู
ซูซิงฝูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้รับโทรศัพท์จากฉินเฟิง “ผู้ว่าการ ไม่ใช่ว่าคุณกำลังเดินทางไปฝึกฝนอยู่หรอกหรอ?”
“ใช่แล้ว” ฉินเฟิงพยักหน้าตอบรับ และกล่าวต่อ “และตอนนี้ผมได้มาถึงเลเวล D เป็นที่เรียบร้อย!”
ซูซิงฝูตะลึงงัน จากนั้นดวงตาของเขาสั่นไหวราวกับระฆังทอง แผดร้องเสียงหลง
“ว่าไงนะ!!!”
ไม่อยากจะเชื่อเลย!
คือฉินเฟิงเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? พิจารณาตามทุกอย่าง เขาอายุแค่ 17 ปีไม่ใช่หรอ
ไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าสามารถไปถึงเลเวล D ได้แล้ว!
นั่นมันระดับเดียวกันกับเทศมนตรีเฉิงหยาง , ฟูเฉิง และเมืองไห่เลยนะ!!
“ผู้ว่าการ คุณ … คุณคงไม่ได้โกหกฉันหรอกนะใช่ไหม? แน่ใจหรือว่าไปถึงเลเวล D แล้ว … คุณรอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะตามไปพิสูจน์เดี๋ยวนี้ล่ะ” ซูซิงฝูต้องการยืนยันด้วยตนเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่ถือเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนจิตใจ!