ในที่สุดเจ้าก็ออกมาข้าคิดว่าเจ้าตายในนั้นไปแล้วซะอีก…
เจิ้งหยวนชิงยืนกอดอกรออยู่ด้านนอกสุสาน
ซือหยูพูดอย่างสบายใจ
เจ้าเจอเบาะแสอะไรหรือไม่?
เจอแต่ก็อาจจะไม่เจอเหมือนกัน
เจิ้งหยวนชิงถอนหายใจ
ข้าเจอเบาะแสตั้งแต่รุ่นที่หกของตระกูลเทพเซียนคันฉ่อง ทั้งเทพเซียนคันฉ่องและเทพตำรามีสายสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันตั้งแต่ตอนนั้น…เพื่อที่จะทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งด้วยกัน
ซือหยูเหลือบมองเขาไม่เชื่อว่านางจะเจอเบาะแสจริง ๆ
ซือหยูคิดสักครู่ก่อนจะพูด ตอนที่เจ้าพูดว่าทำเรื่องใหญ่ด้วยกันเจ้าหมายถึง…เพื่อสร้างขุมทรัพย์เทพตำรารึ?
ใช่แล้ว!
เจิ้งหยวนชิงพยักหน้า
ซือหยูพูด
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเทพเซียนคันฉ่องปกป้องขุมทรัพย์เทพตำรามมาเกินไปจนดูแปลก นางต้องการมันไม่เหมือนกับเทพอื่น ไม่นึกเลยว่าตระกูลเทพเซียนคันฉ่องจะเป็นตระกูลที่ช่วยสร้างมันขึ้นมาด้วย
แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงล่ะ?
เจิ้งหยวนชิงตอบหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
ข้ารู้เรื่องนี้จากพิธีศพเทพที่ตระกูลเทพเซียนคันฉ่องโดยบังเอิญพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องการสร้างขุมทรัพย์เทพตำราในทีแรก แต่เป็น…
ซือหยูพูดต่อในจุดที่นางเว้นไว้สายตาเขาตื่นเต้น
แต่กลับถูกเทพที่อยู่เบื้องหลังบงการสินะ
หา?
เจิ้งหยวนชิงตกใจ
เจ้าก็รู้เบาะแสในสุสานเทพตำราเหมือนกันรึ?
ซือหยูส่ายหน้า
ข้าไม่เจออะไรที่มีประโยชน์นักหรอก
แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง?
เจิ้งหยวนชิงเอียงคอด้วยความสงสัย
ซือหยูตอบ
ข้าก็แค่เดาเอากว้างๆ มันง่ายนัก การที่เทพจะถูกรู้ความลับถือเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นอันตรายต่อพันธมิตรบูรพา แรงกดดันขนาดนี้มันมากเพียงใดกัน? หากไม่มีเทพที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง การสร้างขุมทรัพย์เทพตำราก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น เหตุใดมันถึงคงอยู่มาถึงวันนี้เล่า?
เจิ้งหยวนชิงตบฝุ่นที่อยู่บนป้ายหลุมศพเทพและจ้องซือหยูด้วยความโมโห
แล้วทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้?เจ้าปล่อยข้าคลุกฝุ่นเกินสองเดือนเข้าไปแล้ว
ถ้าข้าพูดแล้วเจ้าจะเชื่อหรือไม่เล่า?
ซือหยูถาม
เจ้ารู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรึยังล่ะ?
เจิ้งหยวนชิงใบหน้าจริงจังนางพยักหน้าเบา ๆ
ข้าเจอแล้ว
ซือหยูสังเกตถึงน้ำเสียงของนางที่เปลี่ยนไปเขาแปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังจะแข็งแกร่งมากทีเดียว
ตระกูลเทพรากษส…ที่เป็นอันดับสี่!
เจิ้งหยวนชิงตอบ
เทพรากษสรึ?แน่นอน ซือหยูได้ยินข่าวลือพวกเขาคือมือสังหารเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในร้อยเทพ
พลังของเทพรากษสนั้นดุร้ายพลังอันตรายถึงขีดสุด พวกเขาจึงได้เป็นตระกูลในอันดับสูง
ซือหยูเองยังได้รู้เรื่องในประวัติศาสตร์ของเทพคนนี้ที่ถูกบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ
เทพรากษสในรุ่นนี้เคยถูกเทพอสูรจับตัวไปสิบปีและถูกฑากิณีช่วยในเวลาต่อมา
ว่ากันว่าเมื่อเทพรากษสกลับมาแล้วเทพได้มีบุตรชายที่เป็นทั้งอสูรและมนุษย์
สิ่งที่นางได้พบเจอในโลกอสูรนั้นชัดเจน
หลังจากที่ส่วนผสมระหว่างมนุษย์และอสูรได้ถือกำเนิดขึ้นก็ไม่มีใครรู้ว่าบุตรครึ่งอสูรอยู่ที่ใดจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นเรื่องลี้ลับที่มิได้ระบุอยู่ในบันทึกใด
ซือหยูหรี่ตาเขารู้ว่าแม่ของราชาเขตกลางเป็นเทพ อย่างที่เขาพูดก่อนตาย!
เทพรากษสคือแม่ของราชาเขตกลาง!
ทารกที่เกิดในโลกอสูร…ตระกูลเทพที่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากเทพทั้งมวลมาตลอดยุคสมัย…
ง่ายหรือที่จะคิดว่าขุมทรัพย์เทพตำรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีภัย?
ตัวตนของขุมทรัพย์เทพตำราคือตัวเก็บความลับของเทพไม่ได้แพร่งพรายออกไปแต่ตัวมันเองก็เป็นจุดอ่อนของเหล่าเทพอีกด้วย!
ถ้าหากอสูรได้ล่วงรู้ความลับเหล่านั้นและรู้จุดอ่อนของเทพทุกคนพวกอสูรจะเหนือกว่าเทพเพียงใดกัน?
โลกอสูรสิ้นแล้วแต่หัวใจยังคงอยู่ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่วางเสี้ยนหนามกับพันธมิตรบูรพาจะเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ!
ซือหยูเหงื่อแตกพลั่กที่แผ่นหลัง
แต่นี่ก็ยิ่งทำให้ซือหยูมุ่งมั่นเขาต้องการล้างโลหิตชั่วช้าและอันตรายที่แอบแฝงอยู่ในพันธมิตรให้หมดสิ้น!
หยวนชิงหากเทพเจิ้งรู้จะเป็นเช่นใดรึ?
ซือหยูถาม
เจิ้งหยวนชิงหันมองซือหยูสถานการณ์มาถึงระดับนี้แล้ว มันร้ายแรงยิ่งกว่าที่นางคิดในทีแรก นี่ไม่ใช่เกี่ยวข้องแต่กับตระกูลเทพเซียนคันฉ่องกับตระกูลเทพตำรา แต่ยังเป็นคนเชิดหุ่นที่อยู่เบื้องหลัง…ตระกูลเทพรากษส!!
ข้าก็ไม่รู้ท่านแม่ตัดสินใจเองไม่ได้ นางต้องหารือกับเทพการค้ารวมถึงฑากิณีก่อน หากทั้งสามเทพตกลง มันก็เป็นไปได้ที่จะถอนรากถอนโคนตระกูลเทพรากษส!
ดูเหมือนว่าเจิ้งหยวนชิงจะคิดเหมือนกับซือหยูว่าราชาเขตกลางคือลูกหลานอสูรที่หายไปในอดีตโดยมีเบื้องหลังเป็นเทพรากษสที่บงการการช่วยเขาออกมาจากจิวโจว
ซือหยูคร่ำครวญอยู่นานและถอนหายใจ
คงง่ายหากเทพสามคนเห็นด้วยแต่ข้าเกรงว่าเราไม่มีโอกาสจะได้รายงานเรื่องทั้งหมดกับเทพทั้งสามหรอก
ว่าไงนะ?
เจิ้งหยวนชิงมองตามซือหยูที่กำลังครุ่นคิดนางชักสีหน้า
นางเป็นว่าที่เทพนางสัมผัสพลังเทพที่กำลังใกล้เข้ามาได้
ยิ่งไปกว่านั้นเทพที่ใกล้เข้ามาก็คือเทพเซียนคันฉ่อง!
พวกมันรู้แผนของเราแล้ว…
ซือหยูถอนหายใจเขาคาดเดามาก่อนแล้วว่าเทพเซียนคันฉ่องจะต้องมาหาเขา
เจิ้งหยวนชิงใจหายเล็กน้อย
ข้ามีความผิดติดตัวเหมือนกับเจ้าแล้วสินะ!
นางยกมือเรียกหินเกลียวออกมาจากมือ
ท่านแม่ให้สิ่งนี้กับข้ามาหากเทพเจอเจ้า จงใช้มันเพื่อหนีไปยังโลกใบอื่น เทพอื่นจะไม่รู้ว่าเราอยู่ในโลกสุสานเทพ หินนี่จะช่วยชีวิตพวกเรา
ซือหยูไม่แปลกใจที่เทพเจิ้งยอมให้เจิ้งหยวนชิงเข้ามาที่นี่เพราะนางมีวิธีมากมายที่จะช่วยชีวิตลูกสาวตัวเอง นี่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแม่ข้ามันมีพลังเทพของแม่ข้าอยู่ เราจะหนีไปจากที่นี่ได้ไม่ยาก แต่หลังจากหนีแล้ว เราสามคนต้องแยกกันหนีไปหาความสนับสนุนจากตระกูลเทพอื่น
เจิ้งหยวนชิงบอกแผนของนาง
ของขวัญจากเทพเจิ้งคือหินเกลียวที่ดูดซับพลังของฟ้าดินเอาไว้มันคือศิลาวิเศษ
มันเก็บพลังเอาไว้อย่างเหนือจินตนาการเพราะมันมีส่วนหนึ่งของพลังเทพเจิ้ง
ซือหยูพยักหน้า
ตามนั้น
เมื่อรู้ว่าทั้งสองกำลังจะหนีเทพจิงเองก็เดินออกมาจากสุสานอย่างไม่เต็มใจมารวมตัวกับซือหยู แน่นอนว่าเขาแสดงสีหน้าดีใจเมื่อเห็นเจิ้งหยวนชิง แต่เขาก็พูดอย่างจริงจัง
เราถูกล้อมไว้หมดแล้วมีคนที่แข็งแกร่งมากมายอยู่ข้างนอก
เจิ้งหยวนชิงพยักหน้า ไม่ต้องห่วงท่านแม่บอกว่าจะทำให้ท่านปลอดภัย เราต้องหนีและแยกย้ายกัน อย่าให้คนข้างนอกจับได้
เทพจิงตกลงตามแผนอยู่แล้ว
เมื่อใช้ศิลาทั้งสามถูกคลื่นพลังอาบร่างและถูกย้ายตัวเองไปยังดินแดนเทพที่โลกใบอื่นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่รอให้‘กระต่าย’ ออกมาจากถ้ำ เทพเซียนคันฉ่องมองท้องนภา นางชักสีหน้า
นี่มันลมหายใจเทพเจิ้ง…ทำไมนางถึงอยู่ในโลกสุสานเทพกัน?
แต่เทพเซียนคันฉ่องก็ไม่ได้คิดมากนักขณะนี้นางเห็นเป้าหมายของนางแล้ว…ซือหยู!
ฟึ่บ!
เทพเซียนคันฉ่องเดินทางทะลุโลกใบอื่นในความคิดเดียวนางไล่ตามซือหยูและคนที่ออกมากับเขา
นางโล่งใจเป็นอย่างมากเพราะนางเอาแต่ดูถูกซือหยูและไม่เคยจับตัวเขาได้เลย แต่มันไม่สำคัญอีกแล้วซือหยูกำลังจะตายแล้ว!
วาบ!
ทั้งสามถูกย้ายมาอยู่ที่โลกวารีที่อยู่ใกล้เคียงและแยกกันหนีไปคนละทิศละทางในทันทีทั้งสามไม่ได้พูดต่อกันสักคำเดียว
แม้เทพเซียนคันฉ่องจะสัมผัสเจิ้งหยวนชิงกับเทพจิงได้นางก็ไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องของทั้งสองคนนั้นและไล่ตามซือหยูในทันที
เทพเซียนคันฉ่องปรากฏตัวหน้าซือหยูพร้อมแสยะยิ้ม
เจอกันอีกแล้ว…เทพขนนก!
ซือหยูยิ้มโดยไม่แสดงสีหน้าไปมากกว่านี้
เทพเซียนคันฉ่องย่ามใจ
เจ้าจะไม่ถามเหตุที่ข้าไล่ตามเจ้าและข้าจะทำอะไรเมื่อจับเจ้าได้รึ?
ซือหยูตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
ถ้าเจ้าไล่ตามข้านั่นหมายความว่าเจ้าคิดจะจีบข้าหรือ? ไล่ตามข้าน่ะไม่เป็นไร แต่ข้าไม่พร้อมจะสัญญาหรือหมั้นหมายอะไรกับเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นเทพ ข้าก็ไม่ทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นบุรุษเพื่ออยู่กินกับเจ้าหรอก
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…
เทพเซียนคันฉ่องหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราด
เจ้ายังพูดแบบนี้ได้อีกเรอะถ้าหากเราไม่ได้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ข้าก็คงจะประทับใจเจ้าเหมือนกับเทพอื่น แต่เอาเถอะ ข้าว่ายังไงเจ้าก็ต้องตายล่ะนะ!
เพราะข้ามีความลับเรื่องเจ้าร่วมมือกับอสูรเจ้าจึงคิดจะเปิดโปงข้าด้วยเรื่องความผิดจิ๊บจ๊อยเพื่อที่จะฆ่าข้าโดยไม่ต้องให้ข้าแก้ตัวอะไรสินะ?
รอยยิ้มบนเทพเซียนคันฉ่องหายไป
เจ้ารู้เรื่องนี้เรอะ?
เป็นไปไม่ได้!มีใครไปที่โลกสุสานเทพแล้วรายงานกับซือหยูรึ? เป็นเจิ้งหยวนชิงหรือเทพจิงกัน?
คนโสโครกเช่นเจ้าข้าใช้แค่หัวแม่เท้าก็เดาได้แล้วว่าเจ้าคิดจะทำอะไร!
ซือหยูพูดเบาๆ
เทพเซียนคันฉ่องตกใจนางรู้ว่าซือหยูฉลาด แต่นางไม่คิดว่าเขาจะคิดได้ถึงเพียงนี้
เทพเซียนคันฉ่องมองสีหน้าเยือกเย็นของซือหยูด้วยความไม่สบายใจราวกับเรื่องจะไม่เป็นไปตามที่นางคิด
เอาเถอะไม่ว่าเจ้าจะใจเย็นแค่ไหน ต่อให้เจ้าอยากจะหาเทพคนอื่นมาช่วย เจ้ามันก็แค่คนโง่ที่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น! อย่าแม้แต่จะคิดเลย!
ซือหยูเผยแผนออกมาเล็กน้อย
ตามหาเทพมาพิสูจน์ข้าเรอะ?ขอโทษด้วย ข้าไม่เคยคิดอะไรยุ่งยากไร้ผลลัพธ์แบบนั้นมาตั้งแต่แรก!
ซือหยูไม่รู้ว่ามมีเทพกี่คนที่ร่วมมือกับเทพเซียนคันฉ่องตระกูลเทพตำรา และเทพรากษส ถ้าหากเขาเจอหนึ่งในนั้น นั่นจะไม่ต่างจากเสนอตัวให้คนชั่วหรือ?
นี่เจ้า…
เทพเซียนคันฉ่องกระวนกระวายนางมิอาจคาดเดาก้าวถัดไปของซือหยูได้
โชคดีที่ซือหยูตอบนางด้วยความมั่นใจ
ข้าต้องให้เทพทุกคนทุกคนในพันธมิตรมาเจอข้าต่างหาก!
อะไรนะ?เทพเซียนคันฉ่องตกใจอย่างหนัก เป็นไปได้หรือที่เทพทุกคนจะมาเจอซือหยูด้วยความตั้งใจของตัวเอง?
ความกระวนกระวายในใจนางรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เทพเซียนคันฉ๋องจ้องมองซือหยูด้วยความระแวงมากขึ้นแม้จะคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดมาแล้ว แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่นางลืมคิดไป
นั่นคือซือหยูมิใช่คนที่ใครจะมาควบคุมได้
งั้นก็ให้ข้าลบเจ้าให้หายไปซะเถอะ! เทพเซียนคันฉ่องตะโกนอย่างไม่ลังเลนางต้องการกระชากวิญญาณซือหยูออกมาในทันที จากนั้นเขาจะตาย
นางมองซือหยูเป็นดั่งมดปลวกบนพื้นไม่ว่าเขาจะต้านทานเพียงใด มันก็ไร้ผล
ซือหยูรู้ดีว่าความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับเทพเป็นเช่นใด!
ในตอนนั้นเองเสียงฮัมเพลงเบาบางดังมาจากมุกวิญญาณเก้าหยก ตามด้วยเด็กสาวงดงามที่ดูสูงส่ง สง่างามสดใสค่อย ๆ ลอยออกมาช้า ๆ พร้อมกันแสงสีมรกตอันเป็นธรรมชาติ