โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.324 – พันธมิตรอิสระ
ฉินเฟิงไม่ได้ไปไหนไกล หลังจากที่บินออกจากตึกประมูลกลุ่มหวั่นซ่ง เขาก็แค่ร่อนลงบนอาคารหลังอื่น เพื่อใช้ชะลอความเร็วลง ก่อนจะหยั่งเท้าบนท้องถนน
ผู้คนไม่ใกล้ไม่ไกล ต่างหันมองมาทางเขา
แต่ทันทีที่เห็นฉินเฟิง ม่านตาของเหล่าผู้ใช้พลังโดยรอบก็พลันหดลีบลง
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ ถึงแรงกดดันของพลังสมาธิ ที่มีเฉพาะผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล D เท่านั้นถึงจะครอบครอง กำลังแผ่ออกมาจากร่างของฉินเฟิง
ผู้คนบนท้องถนน , คนข้างในรถล่องเวหา แทบไม่กล้าสูดหายใจ ลดศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้ามองมายังฉินเฟิงอีกต่อไป
นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าความยำเกรง
แม้คนเหล่านี้จะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยอดตึกประมูลเวลานี้มีเพลิงลุกไหม้ น่าจะเกิดการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้พลังเลเวล D และฉินเฟิงจากมาอย่างไร้รอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้คว้าชัย รวมไปถึงคำพูดก่อนหน้าที่เขาเปล่งผ่านกำลังภายใน ผู้คนมากมายล้วนได้ยินมัน!
ฉินเฟิงไม่สนใจสายตารอบข้าง จูงมือไป๋หลีเดินเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผู้จัดการรีบวิ่งออกมาต้อนรับเขา
“ยะ ย– ยินดีต้อนรับคุณลูกค้า … ไม่ทราบว่าต้องการเช็คอินหรือรับประทานก่อนดีขอรับ” ผู้จัดการกล่าวด้วยความนอบน้อม
“เช็คอิน ขอห้องพักดีๆหน่อยล่ะ”
“ขอรับ ขอรับ เชิญทางนี้”
ผู้จัดการพาฉินเฟิงเดินเข้าไปในโรงแรม
เมื่อเขาลับสายตาไป บรรยากาศหนักอึ้งภายนอกจึงค่อยคลายลง และเริ่มเกิดเสียงสนทนา
“เจ้าหมอนั่นเป็นใครกัน? เพิ่งมาใหม่รึเปล่า?”
“มีผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล D มาเพิ่มอีกคนแล้ว แถมยังดูแข็งแกร่งสุดๆไปเลย”
“เกิดอะไรขึ้นบนตึกกลุ่มหวันซ่ง? วันนี้ไม่ใช่ว่ามีงานประมูลหรอกหรอ?”
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของตัวอาคาร ความซับซ้อนปรากฏขึ้นในแววตาของเฉินเซี่ยงและคนอื่นๆ
“เอาล่ะ ดูเหมือนจะจบเรื่องแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนเถอะ”
“เฉินเซี่ยง ไอ้เพื่อนยากนายมันโชคดีจริงๆ ดูเหมือนว่าน้องชายหน้าใหม่ที่นายสนใจชวนเข้ากลุ่มจะแข็งแกร่งมาก!”
“ถูกเผง เขามีทั้งวรยุทธโบราณและอบิลิตี้ ยิ่งถ้าได้ดูดซับแก่นอบิลิตี้จักรพรรดิสัตว์ร้ายของจ้าวเทียนซือเข้าไปล่ะก็ .. พรสวรรค์ของเขาคงทะยานขึ้นไปอีกขั้น!”
“ก่อนหน้านี้ เหมือนจะมีคนเอ่ยชื่อของเขาออกมาเหมือนกัน เจ้าหนูนั่น น่าจะเรียกว่าฉินเฟิง … ”
“อะไรนะ! เขาคือฉินเฟิงงั้นหรอ!!”
เมื่อได้ยินชื่อจากปากเฉินเซี่ยง ผู้คนรอบกายเฉินเซี่ยงพลันตะลึงงัน
เพราะนั่นคือชื่อของผู้ที่เพิ่งได้รับแก่นอบิลิตี้ของจักรพรรดินกยูงเพลิงฟ้าไป
ตอนนี้ เฉินเซี่ยงไม่รู้ว่าสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ลืมมันเถอะ ฉันไม่คิดฝันเลยว่าจะได้พบกับดาวรุ่งพุ่งแรงคนนั้น หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทางตระกูลโหวกับกลุ่มเล่ยถังจะไม่มาเอาเรื่องฉันก็พอ”
เฉินเซี่ยงกล่าวพลางส่ายมือ
“อ้าว ทำไมนายถึงตัดสินใจไม่ชวนเขามาร่วมกลุ่มกับพวกเราแล้วล่ะ?” ชายคนหนึ่งเอ่ยถาม
“นั่นสิ ถ้าได้เขามา คงช่วยคลายปัญหาลงได้เยอะเลย”
“ช่วยคลายปัญหาบ้าอะไร นำปัญหาเข้ามาน่ะสิไม่ว่า การลงมือในครั้งนี้ของเขา สร้างความอับอายให้แก่เลเวล D มากมาย ไหนจะทำลายแผนการของเล่ยถัง , ทำให้ตระกูลโหวขุ่นเคือง ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
“นั่นแหละคือเรื่องที่ฉันกังวล แต่รอก่อนเถอะ ขอดูท่าทีของฉินเฟิงอีกสักนิด ค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้แยกย้ายได้” เฉินเซี่ยงสั่งให้ทุกคนแยกย้าย
ที่จริงแล้วเฉินเซี่ยงและคนอื่นๆในที่นี้ มิใช่กลุ่มองค์กรซะทีเดียว และเฉินเซี่ยงก็ไม่ใช่แกนนำผู้คนในที่นี้แต่อย่างใด
คนเหล่านี้ คือผู้ใช้พลังที่กระจัดกระจายมาจากสถานที่อื่นเพียงลำพัง เรียกง่ายๆว่าส่วนใหญ่เป็นแค่คนธรรมดา
ความแข็งแกร่งโดยทั่วไปแล้วอ่อนแอกว่ากลุ่มและตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูง ซึ่งการอยู่ลำพัง มันง่ายต่อการถูกรังแก ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้มีการจัดตั้ง ‘พันธมิตรอิสระ’ ขึ้น แม้จะไม่ถึงขั้นต่อกรกับทั้งสองอย่างที่กล่าวมาได้ แต่อย่างน้อยก็สามารุช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกันในสนามรบได้
การปรากฏตัวของฉินเฟิง ทุกคนต่างพบว่าเขาแข็งแกร่งมาก และยังดูเหมือนไม่ใช่คนจากกลุ่มหรือตระกูลชั้นสูง ดังนั้นเหมาะสมที่จะให้เข้าร่วมกับพันธมิตรอิสระ นี่คือสิ่งที่เฉินเซี่ยงและคนอื่นๆคิด
แต่ใครจะรู้ว่าฉินเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่
บางทีการที่เขาแสดงพลังทรงประสิทธิภาพของตนเองออกมา อาจเพื่อให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มหรือตระกูลชั้นสูง และใช้ประโยชน์นี้ ไปเข้าร่วมกับอีกฝ่ายก็ได้ไม่ใช่หรือ?
ณ ขณะนี้ ฉินเฟิงในโรงแรม ไม่รู้เลยว่าคนเหล่านั้นกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีระบบเฝ้าระวังในห้อง เขาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
“เธอคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น .. ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ขอให้บอกฉันทันที” ฉินเฟิงสั่งไป๋หลี
“อืม ได้สิ”
ไป๋หลีพยักหน้า และหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาเล่น
ฉินเฟิงหยิบบัตรเทพสงครามออกมา
สำหรับการดูดซับพลังงานจากแก่นอบิลิตี้ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากมัน อย่างไรย่อมก่อให้เกิดปัญหาไม่จำเป็นตามมาแน่นอน
อย่างในตอนที่ฉินเฟิงดูดซับแก่นอบิลิตี้ของจักรพรรดินกยูงเพลิงฟ้า แรงกดดันในตอนนั้นของมันแผ่ออกมามากถึงขนาดไหน พอจะจำได้หรือไม่? แม้สุดท้ายจะประสบผลสำเร็จก็ตาม แต่หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากไป๋หลี คงอันตรายเกินไป
ปัจจุบัน มีผู้คนมากมายกำลังจับจ้องมายังฉินเฟิง แล้วแบบนี้จะให้เขาประมาทได้อย่างไร?
วู้มมมม!
กำลังภายในอัดฉีดลงบนบัตรเทพสงคราม รอบกายฉินเฟิงถูกห้อมล้อมด้วยแสงสีเงิน และหายวับไปในพริบตา ถูกส่งตรงเข้าสู่สุสานเทพสงคราม
ณ ภายในสุสานเทพสงครามด่านแรก หลิวซู , วังเฉิน และคนอื่นๆกำลังใช้เลือดมังกรเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง และในวิหารเทพสงครามเบื้องหลัง โจวฮ่าวกำลังทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก ซูซิงฝูไม่อยู่ ในเวลานี้เขาน่าจะกำลังทำบัญชีรายรับของตลาดมืด
เรียกได้ว่าทุกคนกำลังตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างหนัก!
ฉินเฟิงเดินไปยังห้องฝึกฝนขนาดใหญ่ ก้าวเข้าไปโดยไม่รบกวนคนอื่นๆ
จากนั้น เขาก็หยิบแก่นอบิลิตี้จักรพรรดิสัตว์ร้ายออกมา
“เจ้าสิ่งนี้ ก่อนที่ฉันจะเกิดใหม่ แค่คิดถึงมันยังไม่กล้าเลย!”
ในชีวิตก่อน จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงไม่เลวร้าย แต่ไม่เลวร้ายที่ว่า คือในระดับเดียวกันเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นแก่นอบิลิตี้จักรพรรดิสัตว์ร้ายชิ้นนี้ หากเป็นในชีวิตก่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยที่จะได้มา
ช่วงเวลาที่ฉินเฟิงอยู่ในเลเวล C เขาถึงค่อยสามารถต่อกรกับราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล D เพียงลำพังได้ แต่สำหรับจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล D มันจำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ใช้พลังเลเวล C นับไม่ถ้วน จึงจะโค่นมันลงได้ จะมีข้อยกเว้นแค่ในกรณีของนกยูงเพลิงฟ้าที่แก่ใกล้ตาย หรือไม่ก็พวกจักรพรรดิที่ได้รับบาดเจ็บหนักอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น ตัวฉินเฟิงในชีวิตก่อน ถึงจะต่อกรกับมันเพียงลำพังได้
อย่างไรก็ตาม แก่นอบิลิตี้จรักพรรดิเลเวล D สำหรับผู้ที่เข้าถึงเลเวล C แล้ว มันไม่สามารถช่วยเสริมสร้างพรสวรรค์ได้เลย!
ถ้าใช้มันคงเป็นการเสียของอย่างร้ายกาจ!
ในขณะที่หากคุณอยู่ในเลเวล D คุณจำเป็นต้องครอบครองทรัพยากรทางการเงินมหาศาล ต้องมีเงินถึง 100,000 ล้านเหรียญเพื่อซื้อมัน ซึ่งสำหรับเลเวล D ธรรมดาๆแล้ว นั่นคือจำนวนที่ไม่อาจจินตนาการได้
และเมื่อไปถึงเลเวล C หากอยากจะเก่งกว่าเดิม คุณก็ต้องใช้แก่นอบิลิตี้จักรพรรดิเลเวล C ซึ่งมันทรงพลังกว่าคุณ ราคาก็สูงเทียมฟ้า หากไม่มีคนให้การสนับสนุน ไม่มีทางครอบครองได้แน่นอน ฉินเฟิงในชีวิตก่อน ก็ไม่เคยครอบครองแก่นอบิลิตี้ระดับจักรพรรดิเลเวลเดียวกันเลย ( ประมาณว่าตอนฉินเฟิง C เขาไม่เคยได้ครอบครองแก่นจักรพรรดิC , ตอน B ก็ไม่ได้แก่นจักรพรรดิ B อะไรแบบนี้ พอจะเข้าใจไหมครับ)
ยิ่งเป็นจักรพรรดิสัตว์ร้ายในเลเวล B ที่ครอบครองอำนาจพลิกผืนทะเล คว่ำแผ่นดินได้ คงไม่ต้องกล่าวถึง
สำหรับจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล A กระทั่งตัวตนทรงพลังเลเวล S ยังไม่กล้าที่จะยั่วยุมัน
“แต่หลังจากกลับมาเกิดใหม่ สิ่งที่ไม่เคยทำได้ในช่วงแรก ฉันสามารถทำมันได้ทุกอย่าง กระทั่งแก่นอบิลิตี้สัตว์ร้าย ก็ยังได้มาครอบครองอย่างไม่ยากเย็น!” ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง เปิดกล่องคริสตัล
ภายในกล่องคริสตัล แก่นอบิลิตี้ขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล นอนอยู่อย่างเงียบๆ
ฉินเฟิงวางมือลงบนมัน ระเบิดอบิลิตี้ออกมา
“พลังพิเศษ – ดูดกลืน!”
พลังงานจากแก่นอบิลิตี้ถูกสูบออกไปด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลของมันก็ค่อยๆหดลงทีละน้อย ทีละน้อย
พลังงานมหาศาลเข้ามาตามสองมือของฉินเฟิง ไหลผ่านเข้าสู่แขนขาเสริมพลังให้แก่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นกระทั่งเลือดในกาย
ทุกอย่างดูเหมือนจะต่างออกไปจากเดิม!
ผิวหนัง , กล้ามเนื้อ , กระดูก และอวัยวะภายใน ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง
ร่างกายของฉินเฟิงสามารถปลดปล่อยอำนาจที่เหนือยิ่งกว่าเดิม
สุดท้าย แก่นอบิลิตี้ก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากำปั้น และสีดำภายในก็เผยโฉมออกมา
—กลับกลายเป็นว่ามันคือมวลน้ำกิเลนตัวน้อย!
มวลน้ำกิเลนตัวน้อยแปรเปลี่ยนเป็นหมอกหนา ถูกดูดซับเข้าหาฉินเฟิงทันที
หมอกหนาสีดำลอยเข้าไปในพื้นที่จิตสำนึกของฉินเฟิง ก่อนจะคลายตัวออกอีกครั้ง ไหลเข้าสู่เส้นลมปราณ พลังงานชนิดใหม่นี้ไม่เหมือนกับกำลังภายใน แม้ไม่หลอมรวมแต่ก็ไม่ขัดแย้งกันและกัน
ในที่สุด กิเลนตัวน้อยก็มาถึงตันเถียนของฉินเฟิง มันยืนอยู่บนแอ่งน้ำ เริ่มวิ่งและกระโดดไปรอบๆ
ทุกการเคลื่อนไหวของมัน ราวกับเป็นท่วงท่าอันลึกล้ำ
ฉินเฟิงสามารถตระหนักได้อย่างรวดเร็ว ว่าท่วงท่าที่กิเลนใช้ มันคล้ายคลึงกับเทคนิคลับเหิงหลง!
เดิมเทคนิคลับเหิงหลงมีไว้เพื่อฝึกฝนกายเนื้อของมนุษย์ ดูเหมือนว่ากิเลนน้อยตัวนี้ ก็สามารถฝึกฝนมันได้เช่นกัน!