โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 391

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

1/5

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.391 – เล่ยหยิง

ในเวลานั้นเอง เห็นได้ชัดว่าใครบางคนไม่ต้องการให้ช่วงเวลาอิ่มเอมของพวกเขาดำเนินต่อไป

“โย่ว ผู้การรัฐเกา” ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเอ่ยทัก

ดวงตาของฉินเฟิงหรี่แคบลง

ผู้มาเยือน หน้าตาดูไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ จมูกคด ดวงตาแต่ละข้างห่างจากกันมากกว่าปกติ ใบหน้าบานใหญ่ แต่มีขนาดตัวสูง และที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นตราผู้ใช้พลังบนอกเขา ที่สลักเอาไว้ว่า C5!

ไม่เพียงเท่านั้น บนเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ ยังปักไว้ด้วยสัญลักษณ์สายฟ้า

เมื่อได้เห็นโลโก้นี้ เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะรู้สึกไม่มีความสุข

ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ คนๆนี้ ย่อมเป็นคนจากกลุ่มเล่ยถัง

และในกลุ่มเล่ยถัง ผู้ใช้พลังเลเวล C มีเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นสถานะของผู้มาเยือน เลยพอจะระบุได้อย่างไม่ยากเย็น

ประธานกลุ่มเล่ยถัง –เล่ยหยิง!

อันที่จริง การได้มาเจออีกฝ่ายที่นี่ ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายนัก

เพราะเดิมทีภารกิจของพวกเลเวล C มักจะถูกส่งมายังหลงฉวนอยู่แล้ว

“ฉันก็นึกว่าใคร ที่แแท้เป็นประธานเล่ย!”

มองก็รู้ ว่าเกาหยูคังเองก็ไม่ชอบเล่ยหยิงเช่นกัน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่เผยถึงไมตรีจิต และยังไม่แม้จะลุกขึ้นยืนทักทายตามมารยาท

แม้ขั้นเลเวลของอีกฝ่ายจะมากกว่า แต่ใช่ว่าทุกคนที่เลเวลขั้นน้อยจะต้องนอบน้อมต่อคนเลเวลขั้นมาก

เกาหยูคังน่ะเป็นอัจฉริยะ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าตราที่ได้รับการประเมินจากตึกผู้ใช้พลัง ดังนั้นไม่หวั่นเกรงเล่ยหยิง

ด้วยเหตุนี้ แม้จะได้พบเจอและทักทายกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่กลมกลืน

เล่ยหยิงย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่สน ขอแค่ได้เห็นสีหน้าน่าเกลียดของเกาหยูคังเขาก็สะใจแล้ว

คราวนี้ แนวสายตาของเล่ยถัง เบนมาตกลงบนร่างของฉินเฟิง

“ได้รับสมัครหน้าใหม่เข้ากองกำลังอีกแล้วใช่ไหม? ผู้การเกานี่เป็นที่นิยมซะจริงๆ มีผู้คนยอมสมัครทำงานยากลำบากให้อยู่เสมอๆ ไม่เหมือนกับฉัน นอกจากมาสมัครเพื่อจ้องจะเอาเงินแล้วก็ไม่มีพวกคนดีๆเลย แต่ก็นั่นล่ะนะ ก็ฉันมันรวย มีเงินเหลือเฟือนี่นา!”

สีหน้าของเกาหยูคังเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

แน่นอน เห็นสันดานแบบนี้ แต่เล่ยหยิงน่ะแข็งแกร่ง อีกทั้งกลุ่มองค์กรของเขายังเปิดกว้าง เรียกได้ว่าเป็นกึ่งองค์กรมืด ส่งผลให้รับงานและสมาชิกได้หลากหลาย แม้แต่ในหลงฉวนยังถือว่าเป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ ดังนั้นทางพันธมิตรมนุษยชาติเลยยอมทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง ไม่สนใจเขา

และที่อีกฝ่ายบอกว่าตนรวยนั่นก็เรื่องจริงเช่นกัน เพราะรายได้ของเขา มาจากงานสกปรกค่อนข้างมาก และเงินที่ได้มาเหล่านี้ ยิ่งสั่งสมก็ยิ่งเป็นทุนให้กลุ่มเล่ยถังขยับขยายใหญ่โต ช่วยให้เล่ยหยิงมั่งคั่งร่ำรวย

อาจกล่าวได้ว่าในประเด็นเรื่องหาเงิน หลายคนไม่สามารถเทียบกับเล่ยหยิงได้

“เล่ยหยิง คุณไม่รู้ตัวเลยหรือ ว่าหน้าคุณมันลดทอนความอยากอาหารของผู้คนขนาดไหน? ได้โปรดปล่อยให้ฉันได้กินข้าวอย่างมีความสุขเถอะ”

“นายไม่มีความสุข แต่ฉันมีว่ะ”

สีหน้าของเกาหยูคังน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

ตรงกันข้ามกับเล่ยหยิง ยิ่งสนทนายิ่งยิ้มแก้มปริ แต่ต่อมาสีหน้าเขาต้องแปรเปลี่ยนไป

แน่นอน ที่เปลี่ยนไปมิใช่เพราะเขาคิดประนีประนอมกันที่นี่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะเล่ยหยิงได้ค้นพบบางสิ่งที่สามารถสลัดเรื่องน่าเบื่อหนายทิ้งไป

แนวสายตาของเขา หลังจากมองฉินเฟิงแล้ว เล่ยหยิงก็กวาดต่อไปยังอีกคนที่ยังนั่งอยู่

สายตาของเล่ยหยิงตกลงบนไป๋หลีที่กำลังสนใจแต่การกิน

ช่วงเวลานี้ เล่ยหยิงผู้เคยข้ามผ่านประสบการณ์มามากมาย ถึงกับผงะ รู้สึกคล้ายพบพานกับช่วงเวลาอันงดงามไปชั่วขณะ

เล่ยหยิงหยิบคีย์การ์ดห้องสีทองออกมาทันที วางมันลงบนโต๊ะ

“ค่ำนี้ที่โรงแรมอิมพีเรียล ห้องหมายเลข 88”

เล่ยหยิงกล่าว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะครอบครองไป๋หลี

ไป๋หลีเงยหน้าขึ้นอย่างไร้เดียงสา สับสนกับคนตรงหน้า

เธอเลียริมฝีปาก มองไปทางฉินเฟิง เหมือนกำลังเอ่ยถามว่า เจ้าหมอนี่มันกำลังพูดอะไร?

เล่ยหยิงยิ่งเห็นท่าทางของไป๋หลี ก็ยิ่งรู้สึกคันในหัวใจ บังเกิดกระทั่งความคิดที่จะอุ้มตัวเธอออกไปซะเดี๋ยวนี้

ในจังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงผู้คร้านจะสนทนากับเล่ยหยิง สีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน

“ขอโทษที เกรงว่าคืนนี้แฟนฉันจะไม่ว่าง เพราะพวกเราต้องอยู่ด้วยกัน!”

ฉินเฟิงกล่าวเสียงหยัน พลังสมาธิถูกปลดปล่อย ตรึงลงบนคีย์การ์ดสีทอง ส่งมันปลิวกลับไป พุ่งเข้าแสกหน้าเล่ยหยิง

รอยยิ้มเปี่ยมสุขของเล่ยหยิงเลือนหาย ตลอดทั้งใบหน้ากลายเป็นมืดมน มองฉินเฟิงด้วยความมุ่งร้ายทันที

เจ้าตัวปลดปล่อยพลังสมาธิออกมาบ้าง คีย์การ์ดสีทองพลันหยุดกึกกลางอากาศ

“ไม่ไว้หน้าฉันเลยหรือ? รู้ใช่ไหมว่าผลที่จะตามมาคืออะไร?”

เล่ยหยิงถลึงมองฉินเฟิงอย่างโหดเหี้ยม

“แล้วแกเล่า? คิดไม่ดีกับแฟนฉัน รู้รึเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”

สีหน้าของฉินเฟิงยังคงเรียบเฉย ทว่าในแววตาทอประกายสังหาร

พลังสมาธิของทั้งสอง ยิ่งมายิ่งพรั่งพรูต่อเนื่อง

คีย์การ์ดสีทองระหว่างทั้งสอง เกิดการผลักดันซึ่งกันและกัน

ความโกรธเกรี้ยวของเล่ยหยิง ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่คิดเลย ว่าเลเวล D จะสามารถสู้กับพลังสมาธิของเขาได้

ถูกต้อง ทุกท่านเดาไม่คิด การที่สามารถยันพลังสมาธิกับฉินเฟิงได้นั่นหมายความว่า–

–เล่ยหยิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ เขาคือผู้ครอบครองอบิลิตี้สายฟ้าอันทรงพลัง

‘ไอ้เจ้าเด็กบ้านี่ มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!’

วินาทีนั้นเอง รอบกายเล่ยหยิงพลันปะทุไปด้วยแสงสีเงินผสมม่วง

ฉินเฟิงแสยะยิ้มหยัน หากเทียบเปรียบกันในแง่พลังสมาธิ ระดับจักรพรรดิเลเวล D ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าเลเวล C เลย

รอบกายฉินเฟิง ชั้นอากาศเริ่มบิดเบี้ยว บังเกิดสะเก็ดไฟปะทุขึ้นเช่นกัน

ทั้งสองถูกรุมล้อมไปด้วยรูน สนามพลังสมาธิแผ่กระจายออกไป ชวนให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด

ผู้ใช้พลังที่กำลังนั่งรับประทานอาหาร ทั้งหมดต่างมองมายังทิศทางนี้ ส่วนคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเริ่มหลบหนีกันแล้ว หากอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าร่างคงระเบิดตาย!

กลิ่นอายนี้อันตรายเกินไป!

“เหอะ!”

ระหว่างนั้นเอง เสียงฮึ่มๆที่ฟังดูเย็นชา ไม่พอใจก็ดังขึ้น –เป็นเสียงของไป๋หลี!

เธอยกมือ ชี้นิ้วเรียวจากระยะไกล ท่าทีราวกับกำลังจะแตะลงบนคีย์การ์ดสีทอง

ในพริบตา คีย์การ์ดที่รักษาสมดุลจากทั้งสองฝ่ายเรื่อยมาก็เกิดความผันผวนอย่างรวดเร็ว

หวือออ!

ราวกับภาพสโลวโมชั่น คีย์การ์ดสีทองพลิกหงาย พุ่งเข้าใส่เล่ยหยิงทันที

พลังสมาธิของเล่ยหยิงถูกทำลายโดยตรง การ์ดกรีดอากาศตรงเข้าใบหน้าเขา

เล่ยหยิงผงะตกใจ เขายกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว หยุดคีย์การ์ดก่อนเข้ามาใกล้จนเกินไป

ฉัวะ!

ฝั่งขอบของคีย์การ์ดสีทองแทงลึกเข้าไปในฝ่ามือของเล่ยหยิง

“อ๊ากกกก” เล่ยหยิงส่งเสียงครวญคำหนึ่ง โชคดีก็คือ แม้คีย์การ์ดจะมีความแข็งทนทาน แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทะลุกระดูกคน

ดังนั้นหากใช้พลังสมาธิฝืนควบคุมมันมากไปกว่านี้ คีย์การ์ดอาจแหลกเป็นชิ้นๆได้

แต่ผลลัพธ์ตรงหน้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนตกตะลึง

ฉินเฟิงถอนพลังสมาธิตน พลังสมาธิของเล่ยหยิงถูกทำลาย กระจัดกระจายโดยไป๋หลี

เล่ยหยิงก้มลงมองมือเขา และพบว่ามันกำลังมีเลือดไหลซิบ

เล่ยหยิงไม่กล้ามองไป๋หลีอย่างที่แล้วๆมา

ไป๋หลีตบโต๊ะ ทั้งมีดทั้งส้อมพลันลอยขึ้นกลางอากาศ ชี้ปลายแหลมตรงไปทางเล่ยหยิง

“ไปให้พ้นซะ หรือจะให้ฉันฆ่าแก!”

ระหว่างกล่าว ไป๋หลีแผ่กลิ่นอายสังหารจางๆออกมา ข่มขู่ว่าหากเล่ยหยิงไม่ยินยอมจากไป เธอจะลงมือจริงๆ

เหตุการณ์พลิกผันในตอนนี้ ชักนำเล่ยหยิงเข้าสู่ความโกรธ

อันดับแรก เขาไม่คิดว่าไป๋หลีจะเอ่ยคำนี้

ข้อสอง เขาไม่คาดฝันเลยว่าไป๋หลีจะสามารถคุกคามตนเองได้

นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป

เวลานี้ ผู้จัดการร้านเร่งเดินตรงเข้ามา บนหน้าผากเขาท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น

แม้ผู้จัดการจะเป็นแค่เลเวล E แต่ร้านอาหารนี้มีผู้ใช้พลังเลเวล C เป็นเจ้าของ ดังนั้นเขามีความกล้าพอจะเสนอหน้า

“ประธานเล่ย อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปเลย ทางร้านเราเพิ่งได้รับวัตถุดิบแสนอร่อยน่ารับประทานมาพอดี โปรดเชิญทางนี้ ทางนี้ขอรับ!”

ผู้จัดการฉลาดไม่เลว เขาไม่เอ่ยถึงอาการบาดเจ็บของเล่ยหยิง มิฉะนั้นเกรงว่าอาจเป็นการราดน้ำมันลงในกองไฟ ทำให้เล่ยหยิงโกรธยิ่งกว่าเดิม

“ประเสิรฐ ประเสิรฐมาก หนี้แค้นของพวกแกทั้งสองคน ฉันจะจำไว้”

เล่ยหยิงจ้องไป๋หลีกับฉินเฟิง แววตาสะท้อนความเกลียดชัง

ดวงตาไป๋หลีสงบไร้ระลอกคลื่นโดยสิ้นเชิง

ฉินเฟิงกล่าวเยาะหยัน “พวกเราจะเฝ้ารอคำชี้แนะของประธานเล่ยอย่างใจจดใจจ่อ”

เล่ยหยิงรู้สึกว่ายิ่งอยู่ก็ยิ่งโมโหสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

เฝ้ารอจนกระทั่งเล่ยหยิงจากไป เกาหยูคังที่นั่งตรงข้ามฉินเฟิง ก็คล้ายได้สติตื่นจากห้วงฝัน

เขาหัวเราะร่าเสียงดัง อารมณ์ขุ่นมัวหายเป็นปลิดทิ้ง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท