โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 509 – ซางฮันแวะเวียน

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.509 – ซางฮันแวะเวียน

ยังไงก็ตาม แม้ผู้ชมต่างลงความเห็นว่าฉินเฟิงคงไม่มีทางรอด แต่แล้วสิ่งอื่นที่น่าตกใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!

ฉินเฟิงย่อมไม่มีทางปล่อยให้อบิลิตี้ของอีกฝ่ายเข้าถึงตัว เพราะหากปล่อยให้มันเข้าถึงตัวได้ เกรงว่าเขาคงถูกคนอื่นๆหัวเราะจนฟันร่วง!

เพราะสุดท้าย ตนคือผู้ใช้พลังเลเวล C !

ไม่เพียงแค่นั้น แต่ฉินเฟิงยังเป็นการดำรงอยู่ที่สามารถสังหารจักรพรรดิเลเวล C หรือสัตว์ร้ายในเลเวล B ได้ แล้วแบบนี้ ต่อให้ฮั่นจุนมีฐานะเป็นถึงอัจฉริยะเลเวล D แล้วยังไง? อีกฝ่ายจะสามารถทำร้ายเขาได้อย่างไร?

การกระทำของฮั่นจุน ไม่ต่างอะไรกับการใช้ดินสอจิ้มเป็นจุดลงบนแผ่นกระดาษ ต้องใช้เวลาถึงเท่าไหร่กัน จุดดินสอถึงจะเติมเต็มทั้งหน้ากระดาษได้?

หึ่ง หึ่ง! โล่แสงอันราบเรียบ เนียนใสราวกับผิวน้ำ ปรากฏขึ้นรอบกายของฉินเฟิง พายุใบมีดม้วนเข้ามา กระแทกเข้ากับโล่แสง และผลลัพธ์อันน่าเหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้น–

–มันมิอาจทำลายโล่แสงได้เลย

ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นมีดสายลมที่แตกสลาย แปรเปลี่ยนกลับเป็นอักษรรูนดังเดิม กระจายไปในอากาศ

“โอ้ววว!!” บนอัฒจันทร์ ผู้ชมนับไม่ถ้วนร้องอุทานด้วยความตกใจ นี่เป็นฉากที่พวกเขาไม่ทันคาดคิดมาก่อน กลายเป็นว่าฉินเฟิงสามารถปลดปล่อยปราณกำลังภายในออกมาได้อย่างกะทันหัน

“นั่นโล่ปราณกำลังภายใน! ที่แท้เขาก็เป็นเลเวล D เหมือนกัน!”

“ที่แท้เรื่องนี้ก็ถูกเก็บซ่อนเอาไว้เป็นความลับ แต่ตอนนี้มันถูกเปิดเผยแล้ว”

“เอาล่ะสิ ทีนี้ใครจะชนะกัน”

“บ้า! ก็ต้องเป็นฮั่นจุนอยู่แล้ว เพราะต่อให้เป็นเลเวล D เหมือนกัน แต่ผู้ใช้อบิลิตี้ เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณ”

บทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังคงดำเนินต่อไป

อย่างไรก็ตาม บทสนทนากลับไม่เป็นเหมือนบนสังเวียนเลย

ตั้งแต่ที่ปราณกำลังภายในของฉินเฟิงปรากฏขึ้น ฮั่นจุนก็จนปัญญา ไร้วิธีจะโจมตีเข้าถึงตัวเขา

เสียงอันเรียบเฉยของฉินเฟิงส่งผ่านกำลังภายในออกไป

“นายน้อยฮั่น ฉันจะให้เวลานายโจมตี 10 นาที ถ้าสามารถทำใหปราณกำลังภายในของฉันพังลงได้ ถือว่านายชนะ แต่ในทำนองเดียวกัน ถ้าเลย 10 นาทีไป ฉันจะลงมือทันที!”

“อย่ามาพูดจาอวดดีกับฉัน!”

ฮั่นจุนมิได้รู้สึกว่าฉินเฟิงกำลังมอบสิทธิพิเศษให้แก่เขา ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม เพราะในความคิดของฮั่นจุน การที่ฉินเฟิงทำเช่นนี้ ถือเป็นการดูถูกเขาอย่างสิ้นเชิง

“10 นาทีบ้าอะไร ฉันจะโค่นแกใน 1 นาที!” ฮั่นจุนคำรามเกรี้ยวกราด พลังงานพายุขนาดใหญ่รอบตัวเขาหายไป อบิลิตี้ทอร์นาโดเริ่มเหือดหาย

อบิลิตี้มังกรทอร์ดาโน เป็นเทคนิคโจมตีในวงกว้าง มันมีประโยชน์ในการต่อสู้มากก็จริง แต่ตอนนี้ ศัตรูของเขามีแค่ฉินเฟิงเพียงคนเดียว ดังนั้นการใช้งานมันถือว่าค่อนข้างสิ้นเปลือง

ส่วนเหตุผลที่ฮั่นจุนเลือกปลดปล่อยอบิลิตี้มังกรทอร์นาโดออกมาเป็นอย่างแรก ก็ เพื่อสำแดงอำนาจกดขี่ฉินเฟิง

ทั้งยังเป็นการโอ้อวดตน เพราะอยากจะเห็นสีหน้าของฝูงชนยามรับชมมัน ว่าจะประหลาดใจถึงขนาดไหน

แต่สุดท้าย สิ่งเดียวที่ผิดไปจากแผนของเขา คือฉินเฟิงกลับสามารถต้านทานมันได้

“งั้นลองเจอนี่!” ฮั่นจุนควบรวมพลังสมาธิ วินาทีต่อมา มังกรลมที่มีแสงสีขาวโปร่งใส พลันปรากฏขึ้นในมือของฮั่นจุน

“รับไป!”

มังกรลมส่งเสียงหอนหวีดหวิว เฉือนอากาศเข้าหาฉินเฟิง

เทคนิคนี้ว่องไวเป็นอย่างมาก ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานมหาศาล ฉากนี้ชวนให้ผู้ใช้พลังต่ำกว่าเลเวล D ต่างร้องอุทาน ในหัวใจคิดไปต่างๆนาๆ

‘แล้วถ้าเป็นเทคนิคนี้เล่า? การโจมตีในครั้งนี้ ปราณกำลังภายในจะยังสามารถทานรับไว้ได้อยู่ไหม?’

ฉินเฟิงมิขยับกายหลบเลี่ยง กระทั่งแววตายังเผยถึงความไม่แยแส ไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆบนใบหน้า

วินาทีต่อมา เทคนิคมังกรลมพลันปะทะกับเขาอย่างโหดเหี้ยม

ทว่าฉินเฟิงกลับไม่ปลิวกระเด็นดั่งจินตนาการเอาไว้ ฝีเท้าของเขายังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม ตรงกันข้ามกับมังกรลม ที่ได้สลายหายไปอีกครั้ง

“ไม่มีทาง … จะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!” ฮั่นจุนร้องโวยวาย เขามั่นใจว่าอบิลิตี้ของตนแข็งแกร่งมาก แต่ 2 เทคนิคที่ผ่านมา เมื่อเผชิญกับปราณกำลังภายในของฉินเฟิง กลับไม่อาจขยับเขยื้อนศัตรูได้เลย

“ไม่ มันคงกำลังฝืนอดทนอยู่แน่ๆ มันทำเป็นนิ่ง เพราะต้องการใช้จิตวิทยาข่มฉัน จะตกใจกลัวไปตามแผนของมันไม่ได้ ต้องเดินหน้าต่อ!” แม้บุคลิกของฮั่นจุนจะเป็นคนหยิ่งผยอง แต่เขาได้รับการศึกษาจากทางตระกูลมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ผ่านการสอนสั่งจากอาจารย์นับหลายร้อยคน ดังนั้นความคิดอ่านยามต่อสู้ รวมไปถึงเทคนิคในการต่อสู้ เขาได้เรียนรู้มันมาหมดแล้ว

สองอบิลิตี้พ่ายแพ้แก่ปราณกำลังภายใน แม้ความโกรธจะคุกรุ่นอยู่ในจิตใจ แต่ก็ยังคงสยบมันลงได้

“มาลองกันอีกซักตั้ง!”

“ไม่จริง! ขออีกครั้ง!”

“เอานี่ไปกิน!”

ฮั่นจุนสาดอบิลิตี้อันรุนแรง น่าหวาดกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนพรั่งพราวในแววตาของผู้ชม

อย่างไรก็ตาม เทคนิคนับสิบที่ถาโถมเข้ามา กลับมิอาจทำให้ฉินเฟิงขยับได้แม้แต่น้อย ปราณกำลังภายในแข็งแกร่งทานทนอย่างหาที่ใดเปรียบ

บนหน้าผากของฮั่นจุน เริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อผุดออกมา

ฝูงชนจากในตอนแรกส่งเสียงฮือฮา บัดนี้เริ่มหุบปากลง จนเงียบสนิททั้งอัฒจันทร์

ฮั่นจุนคือลูกชายของตัวตนทรงอำนาจฮั่นโหมว ทว่าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่ามิอาจสั่นคลอนปราณกำลังภายในของคู่ต่อสู้อย่างฉินเฟิงได้

หรือกล่าวอีกความหมายนึงก็คือ ฉินเฟิงบนสังเวียนในตอนนี้ คือการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าฮั่นจุน

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รับผิดชอบงานประลอง เริ่มหลั่งเหงื่อเย็นออกมา

“นี่ .. นี่ .. แบบนี้จะทำอย่างไร จะทำอย่างไรดี!”

ตอนแรกเจ้าหน้าที่อาจรู้สึกผิด แต่ตอนนี้ ความรู้สึกเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ในใจคือ ‘ความหวาดกลัว’

หวาดกลัวในความไร้หนทาง! เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นั่นหมายความว่าฮั่นจุนไม่มีโอกาสเอาชนะฉินเฟิงได้เลย

ในเวลาเดียวกัน บังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในฝูงชน

อย่างไรก็ตาม เสียงฮือฮานี้ มิได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของฉินเฟิงและฮั่นจุน แต่มันเป็นตำแหน่งสูงสุดบนอัฒจันทร์

โซนดังกล่าวตั้งอยู่บนจุดสูงสุด และแยกออกมา ซึ่งทุกคนที่นั่งอยู่บนนั้น หากมิใช่ผู้ใช้พลังระดับสูงของเมืองเป่ยหัว ก็เป็นผู้ที่มากไปด้วยอำนาจ และมีตำแหน่ง —

–ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนชั้นนำของพันธมิตรมนุษย์ทางตอนเหนือ

หากกวงเว่ยยังไม่ตาย เจ้าตัวคงเป็นหนึ่งในคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ มีเพียง 3 – 5 คนนั่งอยู่ที่นั่น และแถวถัดลงไปคือบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา

และในตอนนี้ ตรงตำแหน่งใจกลาง ซึ่งเป็นที่นั่งทรงเกียรติที่สุด มีคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น

“นั่นจ้าวพรมแดนซาง!”

“เป็นจ้าวพรมแดน! ทำความเคารพท่านจ้าวพรมแดน!”

“ท่านจ้าวพรมแดนปรากฏตัวแล้ว!”

ช่วงเวลานี้ เหล่าผู้ใช้พลังระดับสูงต่างรู้สึกตื่นเต้น

ในสายตาของพวกเขา สามารถมองเห็นร่างของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน และเหนือหน้าอกของเธอ สวมติดไว้ซึ่งตราผู้ใช้พลังเลเวล A !

ทั้งหมดต่างเริ่มตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าใช้พลังสมาธิหรือพลังการรับรู้ตรวจสอบซางฮัน พวกเขาเพียงจ้องมองเธอด้วยแววตาอันร้อนแรง

ซางฮันสังเกตเห็นถึงความตื่นเต้นของฝูงชน เธอยกมือขึ้นให้พวกเขาสงบลง

ถัดจากซางฮัน คือผู้ใช้พลังเลเวล B ที่ชื่อว่าเทียนอี้ ผู้ได้รับตำแหน่งนายพลมาสดๆร้อนๆ รับช่วงต่อจากกวงเว่ย

“พวกต้นกล้าเป็นอย่างไรบ้าง? ฉันได้ยินมาว่ามีลูกชายของฮั่นโหมวก็มาอีกแล้วในปีนี้” น้ำเสียงของซางฮันคล้ายรำลึกถึงเหตุ่การณ์ในอดีตอย่างช้าๆ

ปีนี้ฮั่นจุนอายุ 19 ปีแล้ว คราวก่อนเขาอายุ 18 ปี มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล E7 ซึ่งมันมากก็จริง แต่หากจะให้ส่งไปยังเมืองหลวงมังกร ยังไม่เหมาะสม

แต่ในปีนี้ไม่เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายได้ก้าวขึ้นสู่เลเวล D เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

เทียนอี้เผยสีหน้าแปลกๆ สักพักกล่าวว่า “เขากำลังต่อสู้อยู่ในขณะนี้ ตรงสังเวียนที่สาม”

“โอ้ ไหนขอดูซิ ผ่านมาหนึ่งปี ฉันสงสัยจังว่าเขาก้าวหน้าไปขนาดไหนแล้ว”

ซางฮันก้มลงมองสังเวียนที่สาม และเห็นว่าฮั่นจุนกำลังปลดปล่อยอบิลิตี้ออกมา ด้วยท่าทีดุร้ายน่าหวาดกลัว

“เขาสามารถไปถึงเลเวล D ได้แล้วจริงๆ ช่างเป็นลูกรักของพระเจ้าโดยแท้! ร้ายกาจไม่เบา!” ซางฮันพยักหน้า

แต่ทันใดนั้นเธอ สองคิ้วของเธอก็เริ่มขมวดเข้าหากันด้วยความสับสน

เพราะสภาพของฮันจุนแม้ดูคุกคามดุร้าย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ กลับพบว่าอีกฝ่ายเหงื่อแตกพลั่ก กระทั่งดวงตายังเริ่มอ่อนล้า คล้ายใกล้หมดสติ สภาพนี้ หากตัดเรื่องความอ่อนแอและอารมณ์ความรู้สึกออกแล้ว ที่เหลือคงเป็นในกรณีของการใช้พลังสมาธิมากเกินไป กระทั่งร่างกายเองก็เริ่มสั่นเล็กน้อย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ซางฮันสงสัย

“ใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา?” สามารถทำให้ฮั่นจุนเป็นแบบนี้ได้ คู่ต่อสู้คงแข็งแกร่งมากเลยสินะ ..

สายตาของซางฮัน เบนตกลงบนอีกร่างหนึ่งบนสังเวียน

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท