โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 533 – 癞蛤蟆想吃天鹅肉

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.533 – 癞蛤蟆想吃天鹅肉

ก่อนเกิดใหม่ ฉินเฟิงเคยมายังเมืองหลวงมังกรอยู่หลายครั้ง

ที่นี่คือศูนย์กลางของหัวเซี่ยทั้งหมด เป็นป้อมปราการทางยุทธศาสตร์

ผู้ใช้พลังเลเวล A ปรากฏขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกคนต่างแข็งแกร่งและทรงพลัง ดังนั้น ต่อให้คุณแข็งแกร่งในที่ของตน แล้วมาเยือนที่นี่ ก็แทบไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษใดๆ

ฉินเฟิงเคยเป็นราชาทหารรับจ้าง รับภารกิจมามากมายนับไม่ถ้วน เมื่อครั้งเข้ามายังเมืองหลวงมังกรเป็นครั้งแรก ก็ยังรู้สึกหัวใจเต้นแรง ทำได้เพียงเฝ้ามองทิวทัศน์เท่านั้น

ในที่สุด รถศึกก็มาถึงจุดที่ใกล้ที่สุดของกำแพงเมืองหลวงมังกร ประตูสูงกว่า 50 เมตรถูกเปิดออก และประตูนี้ ราวกับเป็นหนึ่งในเกล็ดของเมืองหลวงมังกร อลังการและแสนงดงาม

“ก่อนเข้าเมืองหลวงมังกร จะมีการตรวจสอบด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในตอนนั้น ขอให้พวกเธอนำไอดีการ์ดประจำตัวออกมา แล้วสแกน แค่นี้ก็เรียบร้อย” ซางฮันอธิบายทุกคนผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ที่ก่อนหน้านี้ตัวแทนทุกคนเข้าช่องสัญญาณเดียวกัน

รถศึกล่องเวหาลดระดับลงสู่พื้น รถของซางฮันขับเข้าไปก่อนเป็นคันแรก ลดหน้าต่างลง และยื่นการ์ดสีเงินออกไป

การ์ดของซางฮัน เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากฉินเฟิงและคนอื่นๆ ที่ทั้งหมดเป็นสีขาว

แต่ละคนทำตามซางฮัน กระบวนการตรวจสอบผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

ประตูเมืองหลวงมังกร ทอดยาวกว่า 50 เมตร เดิมผู้คนกำลังจะเตรียมแสงไฟ เพราะข้างในน่าจะเป็นสถานที่ปิดทึบ แต่พอเข้ามา นี่ถือว่าเปิดหูเปิดตาพวกเขามากทีเดียว

เมื่อเงยหน้าขึ้น ยังสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้จริงๆ แม้จากภายนอกเมือง มองดูก็เห็นอยู่ชัดๆว่าข้างในเป็นพื้นที่ปิดทึบ แต่มันกลับมีแสงแดดส่องลงมา

แน่นอน ฉินเฟิงรู้ดีว่าพวกนี้เป็นของปลอม

“นี่คือเทคโนโลยีภาพเสมือนของเมืองหลวงมังกร ที่ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว เมืองหลวงมังกรไม่เพียงแต่มีแสงแดดคอยสาดส่อง แต่มันยังมีเม็ดฝน ที่ถูกสร้างขึ้นจากแก่นอบิลิตี้ และเส้นชีพจรธรณีที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ เสริมด้วยเทคนิครูนพิเศษที่คอยรักษาสภาพเอาไว้ และจำนวนแก่นพลังงานที่ถูกเติมเข้าไปมหาศาล ส่งผลให้คนที่เกิดในเมืองหลวงมังกร จะมีโอกาสปลุกพลังให้ตื่นขึ้นได้ 100 เปอร์เซ็นต์!”

“ว่าไงนะ!?”

ทุกคนบนรถที่ได้ยิน ต่างตกตะลึง

โอกาสปลุกพลัง 100 เปอร์เซ็นต์!!

เมื่อลองย้อนนึกไปถึงสถานชุมชนเฉิงเป่ย ในชั้นเรียนมีเพื่อนๆอยู่มากมาย แต่จำนวนคนที่สามารถปลุกพลังได้ มีแค่ 15 % เท่านั้นเอง

ฉินเฟิงยังกล่าวอธิบายต่อว่า “จากทั้งหมด 100% จะมี 30% ที่สามารถปลุกอบิลิตี้ได้ ดังนั้นในเมืองหลวงมังกร ผู้คนส่วนใหญ่เลยเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ”

โจวฮ่าวกับจิ่นเฟย เริ่มรู้สึกถึงความกดดัน

ไป๋หลีมองไปรอบๆ เอ่ยปากขึ้นทันใด “สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมากๆเลย”

จิ่นเฟยยิ้มขม “ไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อม แต่คนที่อาศัยอยู่ก็เช่นกัน ในมุมมองของฉัน มองยังไงผู้คนที่นี่ก็ไม่น่าจะถูกกดขี่ ตั้งแต่ที่พวกเราขับรถลึกเข้ามาจนถึงตอนนี้ ผู้คนที่สัญจรไปมา ไม่ว่าจะเด็กหรือคนชรา ทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างมีความสุข สีหน้าของคนเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง!”

จิ่นเฟยคือคนที่มาจากเมืองหวัง ผู้คนที่นั่น ยามสัญจรบนท้องถนน สีหน้าท่าทีเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แต่ที่นี่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ราวกับหลุดออกมาอีกโลกหนึ่ง

“ใช่ เมืองหลวงแห่งนี้ สำหรับหลายๆคนมันคือสรวงสวรรค์ ที่หายนะไม่อาจย่างกราย”

ระหว่างอธิบาย จู่ๆสายฝนก็ร่วงโรยจากฟ้า เป็นเม็ดฝนเล็กๆ ยามสะท้อนกับแสงแดด ก่อให้เกิดรุ้งกินน้ำ กลายเป็นฉากอันงดงาม

ทิวทัศน์เช่นนี้ ชวนให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย ภายในรถศึก ไม่มีใครปริปากอะไรอีก ทั้งหมดเฝ้ามองสภาพแวดล้อมจากหน้าต่าง

รถศึกขับต่อไปได้ราวๆ 10 นาที ก็หยุดลงเบื้องหน้าโรงแรมหรู ผู้คนก้าวลงจากรถ ตรงเข้าไปในโรงแรมพร้อมกัน

และโรงแรมแห่งนี้ คือสถานที่ที่พวกเขาจะใช้พักอยู่ต่อจากนี้

ระหว่างเช็คอิน ประตูลิฟต์ที่อยู่ตรงข้ามพลันเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งก้าวออกมา เมื่อกวาดตามองเห็นฉินเฟิงและคนอื่นๆ ผู้ที่นำหน้าคนกลุ่มนั้นก็หยุดฝีเท้าลงทันที

“อ้าว นั่นซางฮันไม่ใช่หรอ?”

ฉินเฟิงและคนอื่นๆหันไปมองตามเสียงโดยไม่รู้ตัว และพบกับชายที่ร่างกายผ่ายผอม กำลังส่งสายตาเหยียดหยันซางฮันอยู่

คิ้วของฉินเฟิงขมวดมุ่นทันใด

ชายคนนี้เขาไม่รู้จัก อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นเลเวล A

นี่พอจะอธิบายได้อย่างหนึ่ง นั่นคือคนๆนี้ เกรงว่าในตอนที่ฉินเฟิงยกระดับขึ้นสู่เลเวล A อีกฝ่ายคงตายไปแล้ว

“ที่แท้ก็นายพลเก๋อ!” ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจ สะท้อนในแววตาของซางฮัน แต่ปากก็ยังกล่าวทักทายฝ่ายตรงข้าม

คนๆนี้ ถูกเรียกว่าเก๋อหลาง เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณจากภูมิภาคตะวันตก

ตัวเขาแน่นอนย่อมแข็งแกร่ง บางทีอาจเป็นในระดับเดียวกันกับชุ่ยเหลียน

“ทำไมครั้งนี้เธอถึงมานำทีมด้วยตัวเองล่ะ? อ้อ! จริงสิ ฉันจำได้แล้ว นั่นเพราะได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ชุ่ยเหลียนเพิ่งตายไป ซางฮัน งั้นตอนนี้เธอก็กลายเป็นม่ายแล้วสิ? ฮ่าฮ่าฮ่า! สนใจแต่งงานกับฉันไหม? แล้วเดี๋ยวฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระภูมิภาคทางตอนเหนือให้เอง!” เก๋อหลางแม้เอ่ยติดตลก แต่เนื้อหาขอคำเหล่านี้ ส่อเจตนาร้ายชัดเจน

ไม่ว่าซางฮันกับชุ่ยเหลียนจะมีความรู้สึกต่อกันอย่างไร แต่นั่นคือสามีของเธอ และอีกฝ่ายตายแล้ว ทว่าเก๋อหลางไม่เพียงปลอบประโลมหรือแสดงความเสียใจ ตรงกันข้ามกลับเปล่งวาจาเสียดสี ทำให้ผู้คนต้องอับอาย

ใบหน้าของซางฮัน หม่นหมองลง

ตัวแทนอัจฉริยะภูมิภาคเหนือคนอื่นๆก็รู้สึกโกรธแค้นเช่นกัน แต่ก็จำต้องข่มโทสะในใจลง เพราะอย่างไรเสีย บนหน้าอกของเก๋อหลาง ก็ติดตราเลเวล A เอาไว้

“ท่านนายพลเก๋อ อันที่จริงแล้ว ผมว่ามีอยู่ประโยคหนึ่ง ที่เหมาะกับคุณมาก” จู่ๆฉินเฟิงก็เอ่ยออกมา

“โอ้? ประโยคอะไร?” เก๋อหลางหันไปมองฉินเฟิงที่เปล่งเสียงดัง เอ่ยถามโดยอัตโนมัติ

“คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า!(癞蛤蟆想吃天鹅肉) ”

รุ่นเยาว์อัจฉริยะเบื้องหลังฉินเฟิง หลุดหัวเราะออกมาทันใด โดยเฉพาะไป๋หลี เธอถึงกับยกสองมือขึ้นกุมปาก ไม่ให้เผยรอยยิ้มออกมา

สีหน้าหม่นหมองของซางฮันค่อยคลายลง มองมาทางฉินเฟิง เผยท่าทีว่าขอบใจ

ตัวเธอแม้แข็งแกร่ง แต่ก็ยังเป็นผู้หญิง การถูกทำให้อับอายเช่นนี้ และไม่อาจหักล้าง ตอบโต้กลับไปได้ มันจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนอ่อนแอ

อย่างไรก็ตาม ฝั่งเก๋อหลาง เจ้าตัวราวกับระเบิดลง ถลึงมองฉินเฟิงด้วยความโกรธ ปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมา

“ไอ้เด็กขนยังไม่ขึ้น กล้าพูดจาแบบนี้กับฉัน คงใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วใช่ไหม?” เก๋อหลางเอ่ยเสียงจม โถมแรงกดดันลงบนร่างของฉินเฟิง

ปัง!

ซางฮันระเบิดกลิ่นอายทรงพลังออกมาในทำนองเดียวกัน ปัดป้องแรงกดดันจากเก๋อหลาง

“แล้วที่นายพลเก๋อเหน็บแนมฉัน ไม่ใช่ว่าคุณก็เบื่อชีวิตแล้วเหมือนกันหรอกหรือ? ถ้าหาเรื่องกันมากกว่านี้ ฉันอาจจะโกรธเพราะคำสบประมาทของคุณ และตัดสินใจฆ่าคุณก็ได้นะ!”

ในแววตาของซางฮัน สะท้อนเจตนาสังหาร

สองผู้ใช้พลังเลเวล A ปะทะกันอย่างกะทันหัน ส่งผลให้บรรยากาศแข็งตัว สรรพเสียงโดยรอบเงียบงันราวปีกจั๊กจั่น กระทั่งในห้องโถง พนักงานที่กำลังเช็คอินให้ซางฮัน ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

แต่ในตอนนั้นเอง อีกคนหนึ่งได้เข้ามา

“เฮ้ เฮ้ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย? จ้าวพรมแดนฮันก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? แต่ตอนนี้งานประลองยังไม่ทันเริ่มเลยนา ดันทะเลาะกันใหญ่โตซะแล้ว แบบนี้ไม่ดีเลย” พลังงานอันอ่อนโยนถูกถ่ายเท แยกกลิ่นอายของซางฮันและเก๋อหลางจากกัน

คนที่สามที่โผล่มา เป็นชายวัยกลางคน ห้วงอารมณ์สงบนิ่งราวถูกขัดเกลามาอย่างดี สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม

เพียงมอง ฉินเฟิงก็สามารถจดจำสถานะของอีกฝ่ายได้ในทันที

ก่อนเกิดใหม่ ชายคนนี้คือหนึ่งในมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทางตอนใต้ มีชื่อว่าหนานกงชิ เลเวล A8

แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงมองไปบนอกอีกฝ่าย พบว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล A3 เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าแม้จะอายุพอสมควรแล้ว แต่ในอีก 9 ปีข้างหน้า ความแข็งแกร่งของหนานกงชิ ก็ยังพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำ ซึ่งมีเพียงธาตุน้ำเท่านั้น ที่สามารถผ่อนคลายกลิ่นอายของซางฮันและเก๋อหลาง แยกจากกันได้ในรูปแบบนี้ได้

เก๋อหลางกับซางฮันถอนแรงกดดันกลับคืน แต่เก๋อหลางก็ยังถลึงมองฉินเฟิงอยู่ เปล่งวาจาก้าวร้าว “ฮี่ฮี่ ซางฮัน ฉันไม่ทะเลาะกับเธอก็ได้ แต่เจ้าสัตว์ตัวน้อยนี่ เธอต้องส่งมันมา –”

“–ฉันจะสั่งสอนมันให้เอง!”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท