โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 537 – แค่เลเวล C2 เท่านั้นเอง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.537 – แค่เลเวล C2 เท่านั้นเอง

ฉินเฟิงค่อยๆสังหารสัตว์ร้ายเหล่านี้อย่างไม่เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ในโลกภายนอก บรรดาเลเวล A ได้มารวมตัวกัน ภายในอาคารที่ตั้งอยู่รอบๆจัตุรัส คอยเฝ้าดูเหล่าอัจฉริยะที่มาร่วมงานประลองในครั้งนี้

บางคนมีภาพวิดีโอถ่ายทอดสดเล่นอยู่เบื้องหน้าพวกเขา

แต่วิดีโอที่ว่ายังไม่สามารถเผยแพร่สู่คนนอกได้ในตอนนี้ มันจะต้องถูกตัดต่อเสียก่อน ถึงจะถ่ายทอดไปทั่วทั้งหัวเซี่ย เพื่อเป็นการโฆษณางานประลองลูกรักของพระเจ้า

โดยเฉพาะในช่วงท้าย อย่างข้อมูลของรางวัล

จุดนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง ที่ดึงดูดผู้มากพรสวรรค์นับไม่ถ้วนมายังเมืองหลวงมังกร

แต่ละชั้นที่สามารถก้าวผ่าน จะได้รับรางวัล ตัวอย่างเช่นหากสามารถปีนหอคอยชั้นแรกได้ จะได้รับ 1 ล้านเหรียญพลังงาน

สำหรับโลกภายนอก มันคือเงินมากกว่า 1หมื่นล้าน!

ขณะเดียวกัน สำหรับเลเวล D จำนวนเงินดังกล่าว ถือว่ามหาศาลนัก ไม่ต้องกล่าวถึงว่านี่เป็นแค่รางวัลจากหอคอยชั้นแรกเท่านั้น

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ลูกรักของพระเจ้าทุกคนที่เข้าร่วมการประลอง ต่างสามารถฟันฝ่ามันไปได้

จากนั้น ยิ่งสูงขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งได้รับทรัพยากรมากขึ้น

“ในปีนี้ คนที่สามารถปีนไปถึงชั้นบนสุดได้คงไม่พ้นจ้วงเซิน , จิหรัน และหลงกัน ส่วนลูกรักของพระเจ้าคนอื่นๆฉันไม่รู้ ว่าแต่ในสี่ภูมิภาคของพวกคุณ มีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นบ้างไหม?”

เลเวล A จากเมืองหลวงมังกรสอบถามคนอื่นๆ

แม้สี่ภูมิภาคจะไม่อาจเทียบเมืองหลวงมังกรได้ แต่ก็มีข้อดีในตัว พวกเขามีประชากรเป็นจำนวนมาก และบางครั้ง พรสวรรค์จากพวกรากหญ้าก็ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง

หนานกงชิส่ายหัวและกล่าว “ทางฝั่งฉันในปีนี้ ไม่พบต้นกล้าที่ดีเลย”

ชายร่างใหญ่ผิวดำผู้รับผิดชอบดูแลเหล่าตัวแทนจากฝั่งตะวันออก กล่าวเสียงหม่น “สภาพแวดล้อมในภูมิภาคตะวันออกค่อนข้างแร้นแค้น พวกคุณก็รู้ ทางเราไม่ปรากฏอัจฉริยะมาหลายปีแล้ว ท่านจ้าวพรมแดนก็งานยุ่งจนล้นมือ ไม่มีเวลาปลีกตัวไปฝึกฝนเหล่าผู้มีพรสวรรค์เลย”

“ทำแบบนั้นไม่ถูกต้อง รุ่นเยาว์ควรได้รับการขัดเกลาให้ดีที่สุด เมื่อพวกเขาสามารถปีนขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของหอยคอยประตูมังกร และกลับออกมาได้ พวกเขาจะกลายเป็นกำลังสำคัญที่คอยผลักดันพันธมิตรมนุษยชาติให้ก้าวไปอีกขั้น”

ชายร่างใหญ่ผิวดำหัวเราะขมขื่น “คุณคงลืมไปแล้ว ว่าหลานของท่านจ้าวพรมแดนก็เคยปีนไปถึงชั้นบนสุดเช่นกัน แต่มิได้กลับมาอีกเลย”

การที่สามารถปีนหอคอยขึ้นไปถึงชั้นบนสุดได้ แน่นอนว่านี่ไม่ต่างจากวลีปลาคาร์พทะยานกลายเป็นมังกร แต่ขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงของมันมากเกินไป

ในบรรดาตัวแทนอัจฉริยะของแต่ละภูมิภาค จากสิบคนกลับมาได้สักหนึ่ง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!

หนานกงชิรีบเปลี่ยนหัวข้อ หันมาเอ่ยถามซางฮัน “ฉันได้ยินมาว่าปีนี้ลูกชายของฮั่นโหมวก็มาร่วมงาน เขามีความแข็งแกร่งเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็ไม่เลวร้ายอะไร ตอนนี้อยู่แค่เลเวล D1 เท่านั้น” แต่เธอไม่ได้คาดหวังกับฮั่นจุน เพราะอีกฝ่ายหลังจากถูกทุบตีโดยฉินเฟิง ก็ไม่หลงเหลือความภาคภูมิอีกต่อไป เกรงว่าหากปีนขึ้นไปถึงชั้นที่มีระดับความอันตรายเพิ่มขึ้น บางทีอาจท้อจนล้มเลิกความตั้งใจไปเลยก็ได้

แต่ยังไงก็ช่างซางฮันไม่สน! เพราะในบรรดาเหล่าลูกรักของพระเจ้าทางภาคเหนือในปีนี้ ฮั่นจุนมิใช่หัวหอก!

“อ้อ แล้วทีมของเก๋อหลางเล่า?” บางคนหันไปถามเก๋อหลางบ้าง

มุมปากของเก๋อหลางกระตุก หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะโอ้อวดไปแล้ว แต่อัจฉริยะของเขาดันถูกอัจฉริยะของซางฮันโค่นลงในหมัดเดียว เขาเลยไม่สามารถอวดได้

“มีสหายตัวน้อยเลเวล D3 อยู่คนหนึ่ง แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเขาจะสามารถผ่านมันไปได้ไหม”

แววตาของฝูงชนเปล่งประกายสดใสทันที

“สามารถไปถึงเลเวล D3 ได้ก็ยอดมากแล้ว บางทีเขาอาจปีนไปถึงชั้นบนสุดก็ได้”

“ใช่ คุณอย่าเอาอัจฉริยะของตัวเองไปเทียบกับอัจฉริยะของเมืองหลวงมังกรเลย เพราะสุดท้าย จ้วงเซินและคนอื่นๆ ทุกคนล้วนมีภูมิหลังยิ่งใหญ่”

“ในขณะที่ฝั่งนายไม่ใช่ ไม่ได้มีทรัพยากรมากมายถึงขนาดนั้น แค่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่กลับมาได้ถึงเลเวล D3 ถือว่าน่าประทับใจมากแล้ว”

ผู้คนต่างยกย่องชื่นชม คิดเห็นในทำนองเดียวกันว่าอ้ายโตวช่างน่าทึ่ง

และเขาก็ไม่เลวจริงๆนั่นแหละ ถ้าไม่ได้บังเอิญไปสู้กับฉินเฟิง เก๋อหลางคงภาคภูมิใจ อิ่มเอมกับคำเยินยอไปแล้ว แต่ตอนนี้ ยิ่งถูกชมเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมากเท่านั้น

โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังซางฮันที่กำลังเผยรอยยิ้มจางๆ แววตาคล้ายกำลังมีคำพูดบางอย่างในจิตใจ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี

“แต่คราวนี้ อัจฉริยะในทีมของซางฮัน ไม่ได้มีแค่ลูกชายของฮั่นโหมวเท่านั้น ยังมีสหายตัวน้อยอีกคนหนึ่ง ที่ทรงพลังมากเช่นกัน” หนานกงชิกล่าว

ฝูงชนที่กำลังสนใจเก๋อหลาง ย้อนกลับมามองซางฮันอีกครั้ง

ซางฮันยิ้มบาง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่ เป็นต้นกล้าที่ไม่เลว เพิ่งปลุกพลังได้เมื่อปีที่แล้วเอง”

จิตวิญญาณของฝูงชนถูกกระตุ้นจนพลุ่งพล่านทันใด

“ปลุกพลังขึ้นเมื่อปีที่แล้ว? หมายความว่าเพิ่งผ่านมาแค่ 18 เดือนเองน่ะสิ สามารถเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้าได้ พรสวรรค์ของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”

“นั่นสิ ถึงปีนี้จะเพิ่งสามารถตัดผ่านขึ้นเป็นเลเวล D แต่เขาก็ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 ปีในการฝึกฝน!”

“ไม่ผิด ว่าแต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ระดับไหนกัน? การที่คุณในตำแหน่งจ้าวพรมแดนเดินทางมาดูแลด้วยตัวเอง คงเป็นเพราะเขาใช่ไหม”

ซางฮันหัวเราะคิกคักและกล่าว “ความแข็งแกร่งก็พอใช้ได้นะ อยู่ในระดับ C2 เท่านั้นเอง!”

“อา! ฟังดูไม่เลวเลย อยู่ในระดับ C2 …. เพ้ยยย! เดี๋ยวนะ ระดับ C2 !!” ชายคนนั้นอ้าปากตาค้าง

“ซางฮัน คุณไม่ได้พูดผิดใช่ไหม? จะบอกว่าเลเวล D2 รึเปล่า?”

“ไม่ เลเวล C2 นั่นแหละถูกแล้ว” ซางฮันยืนยันหนักแน่น ไม่อาจบรรยายได้เลยว่าเวลานี้ ในหัวใจของเธอมีความสุขขนาดไหน

ขนาดตัวเธอเอง ในตอนแรกยังตกใจกับความแข็งแกร่งของฉินเฟิงเลย ยังเคยเผลอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดด้วยซ้ำ

แต่เมื่อลองย้อนคิดดูดีๆ สัตว์ประหลาดเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นในภูมิภาคของตน สามารถเหยียบย่ำ ข้ามหัวเหล่าลูกรักของพระเจ้าทั้งหมด แถมตอนนี้ เขายังดำรงตำแหน่งเป็นรองเทศมนตรีกิตติมศักดิ์ของเมืองเป่ยหัว เป็นคนฝั่งตน มันช่างมีความสุขซะจริง

ณ เวลานี้ คนอื่นๆต่างพากันตกใจ ขณะที่เก๋อหลาง รู้สึกราวกับตนเองกำลังกินอึปู ใบหน้าเขียวคล้ำ

เลเวล C2 งั้นหรือ?

โอ้สวรรค์ ความสามารถของเขา มันติดปีกทะยานสู่ฟากฟ้า นำหน้าคนอื่นๆไปไกลโขแล้ว!

ฉินเฟิงไม่รู้เรื่องราวภายนอก ยังคงทยอยฆ่าสัตว์ร้ายทีละตัว ทีละตัว เมื่อผ่านแต่ละชั้นก็คอยมองอันดับของไม่กี่คนตรงหน้า ที่พยายามดิ้นรนปีนป่ายสุดกำลัง

ฉินเฟิงยังคงรักษาอันดับสี่ได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ชื่อของอ้ายโตวที่เขารู้จัก เวลานี้ได้ขึ้นมาถึงอันดับสิบแล้ว

แม้ก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงจะโค่นอ้ายโตวหมอบในหมัดเดียว แต่เขาก็พ่ายแพ้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ตรงกันข้าม กลับบังเกิดจิตวิญญาณแห่งความท้าท้ายขึ้นมาแทนที่

ดังนั้น เมื่อเห็นว่าอันดับของฉินเฟิงอยู่ที่สี่ เขาก็ขบฟัน พยายามไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง

“ดูเหมือนว่า ฉินเฟิงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมายอะไรอย่างที่ฉันคิด ไม่อย่างนั้นเขาคงแซงลูกรักของพระเจ้าจากเมืองหลวงมังกรไปนานแล้ว”

“หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ คาดว่าฉินเฟิงน่าจะมีความสามารถแค่เลเวล D5 ฮึ่ม! รอก่อนเถอะ ฉันยังมีไพ่ตายของตัวเองอยู่เหมือนกัน คราวนี้ล่ะ ฉันจะโค่นนายให้จงได้!”

“เร็วสิตัวฉัน ต้องเร่งความเร็วให้มากกว่านี้!”

สามารถกล่าวได้ว่า อ้ายโตวแม้โง่แต่ก็กล้าหาญ ในทางตรงกันข้าม ฮั่นจุนที่เฝ้ามองฉินเฟิงรั้งอันดับสี่ ในหัวใจเกิดความขุ่นมัวท้อถอย

“ไอ้สารเลว เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C แต่กลับคิดปกปิดความแข็งแกร่งของตนเองเอาไว้”

“มัวรั้งอันดับสี่ไว้ทำซากอะไร? ทำไมแกไม่ไปบดขยี้คนอื่นจนย่อยยับเหมือนตอนที่ทำกับฉัน!!”

“เหอะช่างเถอะ ฉันมาที่นี่ ก็เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรและประสบการณ์เท่านั้น ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องพยายามให้เต็มที เพราะถึงพยายามไป ฉันก็แพ้ฉินเฟิงอยู่ดี! รัศมีถูกบดบังจนหมดไม่มีเหลือ!”

เมื่อตัดสินใจได้เช่นนี้ ฮั่นจุนก็ออมแรงไว้ ความเร็วในการปีนหอคอยก็ยิ่งช้าลง คร้านจะทุ่มเต็มกำลัง

แน่นอนว่าฮั่นจุนเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำแบบนั้น ขณะที่คนเกือบทั้งหมด ต่างพยายามอย่างหนัก แม้พวกเขาจะไม่รู้ก็ตามที ว่าเบื้องบนมีอะไรรอคอยอยู่

เหล่าลูกรักของพระเจ้าทำได้เพียงทุ่มเทปีนป่าย เพื่อหวังจะพิสูจน์ตนเอง

ชั้นแรกผ่านไป , ชั้นสอง

ชั้นสาม , ชั้นสี่ค่อยๆผ่านไป

ราวกับเพียงชั่วพริบตา ผู้คนในอันดับต้นๆ ได้มาถึงชั้นเจ็ดแล้ว ส่วนที่เหลือ กำลังปีนอยู่ในชั้นห้าและหก

ฉินเฟิงแน่นอนว่ามาถึงชั้นเจ็ดเช่นกัน ที่นี่มีสัตว์ร้ายจำนวนมาก ระดับพลังก็มาถึงจุดที่น่าสะพรึง ทั้งหมดอยู่ในระดับราชันย์อย่างกะทันหัน

แต่สำหรับฉินเฟิง มันก็ยังไม่มีค่าพอให้สนใจอยู่ดี

“ดูเหมือนว่าในชั้นหนึ่งหรือสอง จะเป็นสัตว์ร้ายระดับสามัญทั้งหมด หลังจากนั้นทุกสองชั้นความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็น ระดับทหาร , ระดับนายพล , ระดับราชันย์ ตามลำดับ … ”

และหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มิใช่หมายความว่า ยามขึ้นไปถึงชั้นบนสุด สัตว์ร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ มันจะไม่เป็นระดับจักรพรรดิหรอกหรือ!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท