โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 545 – พบเจอกับปีศาจเสพวิญญาณอีกครั้ง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.545 – พบเจอกับปีศาจเสพวิญญาณอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่มีเวลามากพอให้สังเกตมัน เนื่องจากเขาโจมตีพวกมนุษย์กบพิษไป ทำให้เวลานี้ วิญญาณต่างมิตินับไม่ถ้วนได้ค้นพบถึงการดำรงอยู่ของฉินเฟิงแล้ว ทั้งหมดกรูกันเข้ามาในตัวอาคาร

หน้าผากของฉินเฟิงยับย่น เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกลำบากใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

“อยากออกไปไหม?” ไป๋หลีถาม ด้วยอบิลิตี้มิติที่มีในครอบครอง ทำให้เธอไม่หวั่นเกรงวิญญาณต่างมิติเหล่านี้เลย

“ตกลง ไปกันเถอะ”

ฉินเฟิงสามารถต่อกรกับวิญญาณต่างมิติเหล่านี้ได้ก็จริง แต่หลังจากสังหารพวกมัน สิ่งที่ได้รับกลับมาคงมีเพียงพลังงาน ไม่มีอย่างอื่นอีก

ดังนั้น ตัวเลือกแรกของเขา คือการหนีออกไปจากที่นี่

ไป๋หลีคล้องแขนฉินเฟิง แสงสีเงินสว่างวาบปกคลุมทั้งสอง ก่อนหายวับไปจากจุดนั้นในพริบตา

และไม่กี่พริบตาต่อมา ไป๋หลีกับเขาก็มาปรากฏกายขึ้น ณ ใจกลางของอีกอาคารหนึ่ง

ฉินเฟิงปัดกวาดฝุ่นด้วยกำลังภายในอีกครั้ง และตัดสินใจพักผ่อนที่นี่

อุปกรณ์สื่อสารถูกตั้งค่าให้คอยถ่ายภาพตลอดเวลา ขณะเดียวฉินเฟิงปลดปล่อยอบิลิตี้มืดของตัวเอง เพื่อกลบซ่อนกลิ่นอายตน เอาไว้ถึงรุ่งเช้าเมื่อไหร่ เขาค่อยมาตรวจสอบมันอีกครั้ง

ฉินเฟิงนำถุงนอนออกจากอุปกรณ์รูนมิติ จมลงสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ หากลองคำนวณดูแล้ว ตั้งแต่เข้าไปยังหอคอยประตูมังกรจนถึงตอนนี้ ฉินเฟิงยังไม่ได้หลับเลย!

เมื่อเทียบกับฉินเฟิง อัจฉริยะคนอื่นๆตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชกว่ามาก พวกเขาไม่กล้าข่มตาหลับ เอาแต่หลบหนีและกลบร่องรอยขอบตัวเอง

“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว!”

“แต่พวกเราสะสมของได้แค่นิดเดียวเอง แบบนี้ถ้ากลับไปเลยมันจะไม่ดี!”

“ถ้าฉินเฟิงอยู่กับพวกเรา คงจะดีมาก!”

“เหอๆ เขาไม่อยากอยู่กับพวกเราหรอก สำหรับเขา พวกเราคงเป็นแค่ตัวภาระ!”

เหล่าลูกรักของพระเจ้าทำอะไรไม่ถูก นอกไปจากยอมรับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา ยังอ่อนแอเกินไป

เผ่าพันธุ์อื่นๆที่มาเยือนที่นี่ ทั้งหมดล้วนเป็นลูกรักของพระเจ้าในเลเวล C ดังนั้นเหล่ามนุษย์เลือดบริสุทธิ์จากเมืองหลวงมังกร จึงตกเป็นเป้าหมายของเผ่าพันธุ์อื่นๆได้ง่ายๆ

แต่สิ่งที่โชคดีก็คือ สถานที่ๆพวกเขาปรากฏตัว คือรอบนอกของสนามรบสุดท้ายของเผ่าวิญญาณ ดังนั้นถึงแม้จะไม่ค่อยมีของดี แต่ก็ช่วยลดอันตรายลงได้มาก

อ้างอิงตามการคำนวณนี้ ถือว่าโชคดีแล้ว

ช่วงเวลากลางคืนไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวค่อยๆสาดมาจากเส้นขอบฟ้า สองตาของฉินเฟิงเบิกออกทันใด เขาผุดลุกอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนดั่งผู้เพิ่งตื่นจากหลับไหล

เขาเดินตรงไปยังหน้าต่าง เฝ้ามองวิญญาณต่างมิติค่อยๆทยอยหายไป

ฉินเฟิงหยิบอุปกรณ์สื่อสาร เปิดดูวิดีโอล่าสุด และพบว่ามันสอดคล้องกับวิดีโอแรก ตำแหน่งการเดินของวิญญาณต่างมิติเหล่านั้น สถานที่ออกมาและกลับไปของพวกมัน แทบจะเหมือนกัน

ฉินเฟิงมาที่นี่เพียงวันเดียว ก็ได้รับข้อมูลสำคัญของเมืองหลวงที่ล่มสลายของเผ่าวิญญาณแล้ว

เวลานี้แม้ยังไม่รุ่งสาง แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางกลุ่มเผ่าพันธุ์เริ่มเคลื่อนไหวบ้างแล้วเหมือนกัน

ไป๋หลียังไม่ตื่น แต่เธอรู้สึกได้ว่าฉินเฟิงลุกขึ้น เลยตัดสินใจกลายร่างกลับเป็นจิ้งจอกน้อย เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้าย

ฉินเฟิงอุ้มไป๋หลีมาไว้ในอ้อมอก รูดซิบ และกระโดดออกทางหน้าต่าง

เขาพบเจอกับอีกเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา กำลังทยอยเดินออกจากอาคารพังทลาย

ทันทีที่เห็นฉินเฟิง ทั้งหมดชะงักไปชั่วขณะ ความตื่นตะลึงสะท้อนในแววตา

แน่นอนว่าการกระโดดลงจากที่สูงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ช่วงกลางดึก พวกมันไม่อาจตระหนักถึงการดำรงอยู่ของฉินเฟิงได้เลย ในกรณีนี้สรุปได้เพียงว่า ความแข็งแกร่งของฉินเฟิง สูงกว่าพวกมัน

เรื่องนี้ทำให้สีหน้าของเหล่าอัจฉริยะมืดมน

หากฉินเฟิงมีเจตนาร้ายต่อพวกมัน แล้วใช้เทคนิคหลบซ่อนตัวนี้เข้าลอบจู่โจม พวกตนอาจถูกสังหารไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะท่าทีระมัดระวังของคนเหล่านี้ ฉินเฟิงเลยไม่คิดจะลงมือ

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันและกัน ก่อนแยกย้ายกันไป ไม่มีใครเริ่มลงมือ

ฉินเฟิงวิ่งออกไปข้างนอก ก็พบกับอาคารหนึ่งในเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

อาคารหลังนี้ พังทลายล้มลงเป็นแนวนอน ดูไม่หลงเหลือสิ่งมีค่าใดโดยสิ้นเชิง ไม่มีกระทั่งทางเข้า แต่ฉินเฟิงเห็นกับตาตัวเองเมื่อวานนี้ ว่ากลิ่นอายของวิญญาณต่างมิติตนหนึ่ง ออกมาจากอยู่ที่นี่

มีดกษัตริย์ครามถูกชักขึ้นมา ตัดเฉือนทันใด

กึ้งงง!

แม้นี่ไม่ใช่อาคารที่คอนกรีตเสริมเหล็กเหมือนของโลกมนุษย์ แต่ก็ยังถูกฉินเฟิงตัดออกได้ไม่ต่างกัน

ฉินเฟิงเดินเข้าไปสำรวจข้างใน เครื่องเรือนที่เคยตั้งอยู่ ปัจจุบันเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปหมดแล้ว เศษซากที่กองพะเนินอยู่ใต้เท้าของเขา ในหลายร้อยปีก่อนมันอาจเป็นเฟอร์นิเจอร์อะไรก็ได้

อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้มากที่สุดของเศษซากนี้ คาดว่าน่าจะเป็นโครงกระดูก

เดินไปได้ไม่นาน วิญญาณต่างมิติที่ดูแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้น!

วิญญาณตนนี้มีขนาดเทียบเท่ากับมนุษย์ มีกระทั่งประสาทสัมผัสทั้งห้า สองแขนและสองขา เพียงมองก็รู้ว่าคล่องแคล่วว่องไว

หวือออ!

เพียงปรากฏกาย ร่างเงาพลันลอยโฉบเข้ามา รวดเร็วจนผู้คนยากตอบสนอง

“คลื่นเปลวเพลิง!”

ฉินเฟิงมาหามันโดยเฉพาะ ฉะนั้นเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว สามารถวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วว่าอีกฝ่ายกำลังจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด อบิลิตี้ที่ไม่ต่างไปจากวงแหวนเปลวเพลิงปะทุออกมา

และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างเงาถูกโจมตี แสงสีขาวของมันสั่นสะท้าน ก่อนมีเสียงร่ำร้องดังออกมาจากวิญญาณ

“ฉันไม่ยอม … ”

นี่คือคำพูดที่ถูกถ่ายทอดผ่านพลังสมาธิ เผ่าวิญญาณ แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพลังสมาธิจะยังไม่หายไป

แต่ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ไม่ถือว่ามีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

พื้นที่ในตัวอาคารค่อนข้างคับแคบ แม้ความเร็วของฉินเฟิงจะไม่เชื่องช้า แต่วิญญาณต่างมิติกลับว่องไวยิ่งกว่า

เวลานี้ จู่ๆวิญญาณต่างมิติพลันใช้ออกด้วยอบิลิตี้ลมอย่างกะทันหัน ความเร็วของมันเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

ยามทั้งสองต่อสู้กัน เห็นแค่เพียงประกายพรั่งพราว หากผู้คนเฝ้ามองคงรู้สึกวิงเวียน

แต่สุดท้าย ภายใต้การโถมโจมตีของฉินเฟิง แสงบนตัววิญญาณต่างมิติก็เริ่มริบหรี่ลง

ฉัวะ! คมมีดสะบั้นถึงตัวเป้าหมายได้สำเร็จ วิญญาณต่างมิติถูกทำลายในที่สุด

และในตอนนั้นเอง บางสิ่งที่ร่างวิญญาณต่างมิติห่อหุ้ม กักเก็บมันไว้ภายในก็ร่วงตกลง ฉินเฟิงค้นพบว่ามันเป็นเศษชิ้นส่วนโลหะพิเศษบางอย่าง

โลหะชิ้นนี้มีขนาดเพียงฝ่ามือเท่านั้น แต่พลังงานของวิญญาณต่างมิติซึ่งเป็นระบบป้องกันมันกลับแข็งแกร่งมาก มันคอยปกป้องอะไรกันแน่?

แต่เมื่อฉินเฟิงสัมผัสกับตัวโลหะ เขาก็พลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของรูนลมอย่างกะทันหัน

“เดี๋ยวนะ เป็นไปได้ไหมว่า … ” ฉินเฟิงขบคิด พลังสมาธิกวาดเข้าไปทันที ชิ้นโลหะส่งเสียงหึ่งหึ่ง ก่อนยกตัวลอยขึ้น พลังสมาธิของฉินเฟิง ราวกับเข้าไปอยู่ในพายุ

เหตุการณ์ประมาณนี้ ฉินเฟิงไม่ได้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก เพราะในตอนหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน

ที่แท้เจ้าสิ่งนี้ก็คือวิธีฝึกฝน!

แน่นอน ว่ามันคือวิธีฝึกฝนพลังสมาธิกับรูนธาตุลม

“ของดี!”

ฉินเฟิงให้คำนิยามมัน เขาเก็บชิ้นส่วนโลหะลงในพื้นที่มิติทันที และเริ่มเดินสำรวจอาคารอื่นต่อ

เวลานี้ แสงสว่างสอดส่องเข้ามาในทุกมุมเมือง เผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น เริ่มค้นหาบางสิ่งบางอย่างใต้ซากปรักหักพัง

ฉินเฟิงเดินหน้ามองหาสถานที่อื่นตามวิดีโอ แต่คาดไม่ถึงเลย ว่าดันมีกลุ่มนึงไปถึงก่อนเขา!

ตามในวิดีโอ ที่นี่เป็นจุดที่วิญญาณอันน่าเกรงขามกลับเข้ามา มันสูงกว่าห้าเมตร ลำตัวยาวกว่าสองเมตร ครอบครองกลิ่นอายพลังงานน่าสยองขวัญ ทว่าอาคารหลังนี้ กลับถูกยึดไปแล้วโดยสามปีศาจเสพวิญญาณอย่างกะทันหัน

อย่างไรก็ตาม สามปีศาจเสพวิญญาณพวกนี้ เป็นแค่ระดับราชันย์เลเวล C1 เท่านั้น และดูเหมือนว่าฝั่งวิญญาณต่างมิติจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า สามปีศาจเสพวิญญาณต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง

“เสียเวลาเปล่า ถอยกันก่อนเถอะ!”

“บ้าจริง! ต้องมีของดีอยู่ในวิญญาณต่างมิติตนนั้นแน่ๆ ตัวมันอย่างน้อยสามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงสามแบบ ดังนั้นต้องมีวิชาลับของเผ่าวิญญาณอยู่แน่ๆ!”

“ต่อให้มันมี แต่นายก็จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปถึงจะสามารถเรียนรู้มัน วิธีฝึกฝนของเผ่าวิญญาณกับเผ่าเราคล้ายคลึงกัน ดังนั้นพลังของพวกเราที่จะใช้จัดการกับวิญญาณต่างมิติตนนี้เลยไม่ได้ผล หรือไม่ก็ … ”

“ช่างเหอะ รีบถอยกันก่อนดีกว่า!”

ปีศาจเสพวิญญาณตนแรกตะโกน ทั้งสามล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนวิญญาณต่างมิติตัวใหญ่ ถอยกลับเข้าไปในอาคารที่พังทลาย

ประกายเย็นเยียบสะท้อนในแววตาของฉินเฟิง ปากแสยะยิ้มเย็นชา และเริ่มก้าวออกไป

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท