โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 547 – ผู้แข็งแกร่งมักได้กำไร ผู้อ่อนแอทำได้เพียงดิ้นรนเอาชีวิตรอด

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.547 – ผู้แข็งแกร่งมักได้กำไร ผู้อ่อนแอทำได้เพียงดิ้นรนเอาชีวิตรอด

ฉินเฟิงนั่งสมาธิบนฟูกนอนของเขา เมื่อมีอุปกรณ์รูนมิติ การนำเตียงนุ่มสบายออกมาใช้ก็ไม่ใช่ปัญหา

เมื่อคนกลุ่มนั้นเข้ามา ฉินเฟิงแน่นอนสามารถรับรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ไม่แสดงท่าทีคุกคามใดๆ เมื่อมาถึงห้องของฉินเฟิง พลังสมาธิที่ดูอ่อนโยนก็ถูกถ่ายทอดออกมา

“สวัสดี ฉันชื่อว่าไป่หยู มาจากเผ่าสวรรค์ ถ้าให้ลองเทียบกันดูแล้ว เผ่าพันธุ์ของฉันมีสายเลือดใกล้เคียงกับของนายมากที่สุด”

คนที่ก้าวออกมาข้างหน้า มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล C1 ใบหน้าของเธอแม้ดูเหมือนคนชาติตะวันออก แต่กลับมีผมยาวสีบลอนด์ รอบกายเปล่งแสงจางๆ ชวนให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น รอยยิ้มดูน่ารักและใจดี

โดยบนแผ่นหลังของเธอ มีพลังงานบางอย่างที่รูปร่างเหมือนปีกติดเอาไว้ มันคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยรูนแสง

หน้าผากของฉินเฟิงบังเกิดรอยยับย่น พลังสมาธิส่งกระแสคำพูดอันเย็นเยียบออกไป

“ส่วนฉันชื่อฉินเฟิง ฉันจำได้ว่าเผ่าสวรรค์สามารถเก็บปีกของพวกตนได้ เธอไม่รู้หรอ ว่าฉันเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืด? แต่กลับยังปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งแสงแล้วบุกเข้ามาแบบนี้ ใช่จงใจกระตุ้นให้ฉันรู้สึกไม่ดีรึเปล่า?”

ไป่หยูสะดุ้งเฮือก เร่งหดปีกพลังงานกลับคืนอย่างรวดเร็ว เหมือนเธอกลัวว่าฉินเฟิงจะขับไล่ออกไป

อย่างไรก็ตาม ไป่หยูยังคงมองไปทางฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ ต้องรู้นะว่า ในมิติของเธอ เผ่าสวรรค์ได้รับการเทิดทูนจากเผ่ามนุษย์ พวกเธอถูกเรียกว่าสวรรค์ ก็ลองจินตนาการเอาเถอะว่ามีสถานะสูงส่งแค่ไหน ทุกครั้งที่ปลดปล่อยพลังงานแสงออกมา มักสร้างความหลงใหล ชวนให้ผู้คนมึนเมา

บางทีคงเป็นเพราะอีกฝ่ายคือผู้ใช้อบิลิตี้มืดเลยไม่ได้ผล ดังนั้นไป่หยูเลยตามใจเขา ถึงสามารถเข้าใกล้ได้

“โทษที ปกติแล้วฉันมักเรียกปีกออกมาเป็นนิสัย เพราะมันคือสิ่งที่ใช้ในการต่อสู้เช่นกัน” ไป่หยูกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา เห็นๆอยู่ว่านี่เป็นเวลากลางคืน การเอาปีกที่เปล่งแสงได้ออกมา มันไม่เท่ากับเรียกวิญญาณต่างมิติมาเคาะประตูบ้านหรอกหรือ?

“เธอต้องการอะไรจากฉัน พูดมาตรงๆเถอะ”

ไป่หยูยิ้มหวาน “พวกเราต่างก็เป็นกิ่งก้านของเผ่ามนุษย์ เวลานี้เมื่อดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณได้เปิดขึ้นอีกครั้ง ลูกรักของพระเจ้าจากทั้งพันหมื่นมิติล้วนมายังที่นี่ เพื่อต่อสู้แย่งชิงเกราะศักดิ์สิทธิ์ อาศัยกำลังของผู้คนเพียงลำพัง ยังคงไม่เพียงพอ เพราะงั้นฉันเลยอยากจะถามนาย ว่าพวกเราพอจะร่วม– ”

อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้ไป่หยูพูดจบ ฉินเฟิงขัดจังหวะอีกฝ่ายโดยตรง พลังสมาธิปลดปล่อยน้ำเสียงเฉียบขาดออกมา

“ขอปฏิเสธ”

“–มือ …. แค่ก แค่ก” ไป่หยูสำลัก

“เธอยังพูดไม่จบ อย่าเพิ่งคิดปฏิเสธ! นายรู้ไหมว่า ยิ่งอยู่นาน ยิ่งก้าวไปข้างหน้า นายก็จะยิ่งพบเจอกับหลากหลายเผ่าพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ ปีศาจเสพวิญญาณเอย , เผ่าปีศาจ , เผ่ามังกร , เผ่าโลหิต พวกนั้นไม่ใช่กลุ่มที่ง่ายจะต่อกร!”

นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาอีกมากมาย ถ้าไม่ร่วมมือกัน จากนี้หากไม่ถูกอีกฝ่ายบังคับให้เข้าร่วม ก็คงถูกกำจัด

“มีเฉพาะผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะสามารถร่วมมือกับฉัน บางทีถ้าเราพบกันคราวหน้า ฉันอาจตกลง แต่ตอนนี้ ฉันอยากฉายเดี่ยว” ฉินเฟิงตอบอย่างไม่แยแส

“นายกำลังจะบอกว่าพวกเราอ่อนแอ?”

ในที่สุดสีหน้าของไป่หยูเริ่มมืดมนลง ความอ่อนโยนแต่เดิมจางหายไป สีหน้าแสดงออกถึงความหยิ่งทะนง ในมิติที่จากมา ตัวเธอเปรียบดั่งการดำรงอยู่อันเป็นศูนย์กลาง หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของฉินเฟิง เธอย่อมไม่มีวันลดตัวมาคุยกับฉินเฟิงแบบนี้เด็ดขาด

“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ?” ฉินเฟิงหัวเราะหยัน เขามองเห็นถึงความเสแสร้งหลอกลวงของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นปฏิเสธโดยตรง คร้านจะใส่ใจ

“ดี ดีมาก อย่าให้ฉันได้เห็นหน้านายอีกในดินแดนล่มสลาย! ถึงเวลานั้น นายจะไม่รอดไปถึงการช่วงชิงเกราะศักดิ์สิทธิ์!”

ไป่หยูตวาดโกรธเคือง สิ้นเสียงหันหลังเดินจากไป

ฉินเฟิงคร้านจะใส่ใจศัตรูของเขา เจ้าตัววางอุปกรณ์สื่อสารลงบนหน้าต่าง ให้มันคอยบันทึกภาพภายนอก แล้วล้มตัวลงนอน

โชคยังดี ที่ไป่หยูและบรรดาพรรคพวกเผ่าสวรรค์ แม้จะไม่ได้ร่วมมือกับฉินเฟิง แต่ก็ยังไม่คิดสั้น โจมตีฉินเฟิงในทันที

ขณะเดียวกัน ภายในเมืองหลวงมังกร ลูกรักของพระเจ้าที่ลงจากหอคอย ต่างได้รับรางวัลมากมาย นอกจากนี้ยังได้รับสถานะในเมืองหลวงมังกร ดินแดนที่เปรียบดั่งขุมทรัพย์สำหรับฝึกฝน

จิ่นเฟยกับโจวฮ่าว ทั้งคู่ต่างทำผลงานได้ดี ดังนั้นสามารถอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝน ส่วนบรรดาผู้ใช้พลังเลเวล A ต่างเฝ้ารอคอยไม่กี่คนที่เดินทางผ่านมิติจากชั้นบนสุดของหอคอยประตูมังกร

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาดำเนินไปได้เพียง 18 ชั่วโมง ก็มีคนกลับมา และไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่เป็นสอง

สองคนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเป็นอ้ายโตวกับปังรั่ว

ความแข็งแกร่งของทั้งสองถือว่าต่ำสุด ดังนั้นทำได้เพียงออกสำรวจรอบนอก และเมื่อตกกลางคืน ก็ต้องทานรับวิกฤตยิ่งกว่า อยู่ได้ไม่เกินหนึ่งวัน สุดท้ายตัดสินใจหนีออกมา

ปังรั่วมีตระกูลคอยหนุนหลัง ดังนั้นเมื่อปรากฏตัว มีคนมารับทันที และบางสิ่งที่อยู่ในมือเขา ก็ถูกพวกนั้นเอาไป

ส่วนของในมืออ้ายโตว เก๋อหลางมีสิทธิ์เลือกเป็นคนแรก

ไม่อย่างนั้น พวกเลเวล A จะพยายามชุบเลี้ยงสั่งสอนลูกรักของพระเจ้าไปทำไม? นี่แหละคือเหตุผลล่ะ

“อ้ายโตว ไหนเอามาให้พวกเราดูหน่อย ว่าคราวนี้เธอได้รับอะไรมาบ้าง พวกเราจะช่วยประเมินราคาให้ ถ้ามันเป็นวิชาลับของเผ่าวิญญาณ เธอสามารถตั้งขายในเครือข่ายนักสู้ได้เลย พวกเราจะไม่กดราคาเธอแน่นอน!”

อ้ายโตวไม่ทราบมูลค่าของสิ่งที่เขาได้รับ แต่ยังคงนำมันออกมา และราคาประเมินที่ได้ ก็เล่นเอาดวงตาเขาพร่ามัวไปเล็กน้อย รู้สึกราวกับต้องมนต์สะกด

ไม่คาดฝันเลยว่ามันจะมีมูลค่ามากกว่าล้านล้าน!

เก๋อหลางซื้อสิ่งเหล่านี้จากมือเขา ขณะเดียวกันก็ให้สัญญาว่าจะคอยฝึกฝนอ้ายโตว นอกจากนี้ยังบอกว่าจะปกป้องอายโตวหลังจากที่เด็กน้อยกลายเป็นเจ้าของทรัพย์สินมหาศาล จะได้ไม่ต้องถูกข่มเหงรังแก

เป็นธรรมดาที่พอได้ฟัง อ้ายโตวจะมีความสุข!

คนอื่นๆมองไปทางเก๋อหลางด้วยแววตาอิจฉา หลังจากที่อ้ายโตวจากไป เหล่าเลเวล A ก็ก้าวเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา

“ขอแสดงความยินดีกับนายพลเก๋อที่ได้ครอบครองของชั้นดี!”

เก๋อหลางเองก็ดูจะภูมิใจมาก เขาหัวเราะฮะฮ่าเสียงดัง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นเข้ม “สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นของพันธมิตรมนุษย์ฝั่งตะวันตก ไม่ใช่ของฉันเพียงคนเดียว”

“เป็นเช่นนั้น ในอนาคตถ้าศึกษามันแล้ว ได้ของดีๆออกมา ก็อย่าลืมแบ่งปันกัน!”

“ถ้าเกิดสามารถนำไปต่อยอดเป็นอุปกรณ์ดีๆได้เมื่อไหร่ อย่าลืมให้ส่วนลดพวกเราบ้างล่ะ!”

“ใช่ ใช่ สมบัติที่ได้มาในปีนี้ มันอาจมีประโยชน์มากก็ได้!”

ฝูงชนเอ่ยไปในทำนองเดียวกัน สิ่งที่ได้รับมาจากวิญญาณเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเครื่องจักร นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบของรูน นั่นถือเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงการดำรงอยู่ของมนุษย์ได้เลย

แต่สิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องได้รับการศึกษาค้นคว้า ขณะที่อ้ายโตว ไม่มีทางทำมันได้ เพราะที่กล่าวมาต้องใช้เงินและการลงทุนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม หากขายมันในตอนนี้ เขาก็จะได้รับเงินเป็นจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกัน มันถือเป็นการปิดหนทาง ให้เขาไม่อาจนำมันไปต่อยอดทำเงินได้อีกตลอดไป!

ในวันที่สาม หลงกันและคนอื่นๆก็กลับมา พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวสมบัติได้ก้อนใหญ่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดร่วมมือกันสามคน เดินเตร่อยู่รอบนอก ต่อสู้สังหารเป็นเวลากว่าสามวันสองคืน หากไม่ใช่เพราะถูกปิดล้อมโดยเผ่าพันธุ์อื่น พวกเขาอาจได้รับสมบัติมากกว่านี้

ทั้งสามมีตระกูลมารอรับ แน่นอนเป็นทางตระกูลของพวกเขาที่ได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้

ปัจจุบัน เหลือเพียงฉินเฟิงที่ยังไม่กลับมา

“ก่อนจากไป ฉินเฟิงสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล C3 ซึ่งสำหรับ C3 ในบรรดาลูกรักของพระเจ้าเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัว ฉันเกรงว่าพอกลับมา เขาอาจมาพร้อมสมบัติปริมาณมากจนเกินจินตนาการ!”

“ถูกต้อง ถึงเวลานั้น ถ้าซางฮันซื้อไม่ไหว ฉันก็จะรับซื้อมันทั้งหมดจากฉินเฟิงเอง!”

“ใช่ แต่อยากจะรู้จริงๆ ว่าเขาจะทนอยู่ได้นานแค่ไหน”

เหล่าเลเวล A สนทนาและคาดเดาไปต่างๆนาๆ แต่ในวันที่สี่ ห้า และหก ฉินเฟิงก็ยังไม่กลับมา

พอถึงตอนนี้ กระทั่งซางฮันก็ต้องขมวดคิ้ว

“ฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมว่าเขาเลือกบุกเข้าไปในสถานที่อันตราย หวังว่าเขาจะไม่ถูกพวกเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาฆ่าไปแล้วหรอกนะ!”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท