โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 582 – ความหลงผิดของ Z

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.582 – ความหลงผิดของ Z

“ดูเหมือนนายจะมีทัศนคติเป็นปรปักษ์กับองค์กรของฉันนะ” แซดมองฉินเฟิงด้วยคู่ดวงตาอันลึกล้ำ ที่คล้ายสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่งอย่าง

ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น และกล่าว “องค์กรของแกทำชั่วอะไรไว้บ้าง อยากให้ฉันบอกไหม? ทดลองอันตรายกับมนุษย์ที่สามารถปลุกพลัง , วางยาพิษทั้งเมือง , คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น ชั่วช้าถึงขนาดนี้ จะให้ไม่แสดงความเป็นปรปักษ์ได้ยังไง?”

“วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์พัฒนาอย่างก้าวกระโดด แค่กลางทางของมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” แซดกล่าว “เมื่อ 200 ปีก่อน มนุษย์ เพื่อให้วิทยาการของพวกตนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ลังเลที่จะทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายต้นไม้ ผลลัพธ์คือนำมาซึ่งความเจริญในที่สุด จากนั้นค่อยไปแก้ไขพวกมันในภายหลัง เห็นไหม? นี่มันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรอ?”

สีหน้าของฉินเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง แต่น้ำเสียงที่เปล่งตอบกลับไป มันเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพายุหิมะบนยอดเขาใหญ่แห่งนี้

“แก้ไข? แก้ไขยังไง? คนที่ถูกฆ่าตายไปแล้วสามารถชุบชีวิตกลับมาได้หรอ? หลังก้าวเข้าสู่ยุคโลกาวินาศ การพัฒนาที่มาพร้อมพิษร้ายปนเปื้อน นานวันพิษร้ายเหล่านั้นยิ่งสั่งสมทับถม ต่อให้การทดลองประสบผลสำเร็จ แต่จะสามารถแก้ไขมันได้หรอ? สำหรับฉัน ขอบอกเลยว่าถ้ารู้ว่ามันจะส่งผลร้ายถึงขนาดนี้ ฉันคงไม่ทำมันตั้งแต่แรก!”

“หึ ระหว่างทางมันก็ต้องมีการสูญเสียกันบ้าง ถ้าพวกเราหยุดนิ่ง แล้วแบบนั้นเมื่อไหร่มนุษย์จะสามารถต่อกรกับสัตว์ร้ายได้? เมื่อไหร่พวกเราถึงจะมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งปรากฏกายขึ้น?”

ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงสั่นสะท้าน

กล่าวถึงผู้พิทักษ์ ฉินเฟิงเคยได้ยินจากปากคนอื่นมาก่อนแล้ว

ย้อนกลับไปในช่วงงานประลองลูกรักของพระเจ้า เผ่ามังกรก็เคยกล่าวคำๆนี้ไว้เหมือนกัน

เกรงว่าบางที เรื่องนี้คนส่วนใหญ่น่าจะยังไม่ทราบ

คนที่รู้ข้อมูลนี้ ในความคิดของฉินเฟิง ถ้าไม่เคยสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างมิติมาก่อน ก็ต้องเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A ขึ้นไปเท่านั้น

งั้นก็หมายความว่า แซดเองก็เป็นตัวตนทรงพลังเลเวล A ใช่หรือไม่?

แต่หากเขาเป็นเลเวล A จริงๆ ทำไมต้องมาก่อตั้งสถานที่ทดลองในรัฐที่ล้าหลังอย่างซูหยวน , สามเฉิง และทะเลเหนือด้วยเล่า สถานที่เหล่านี้แทบไม่มีทรัพยากรเลย

แต่ก็ช่างเหอะ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้

“หมายความว่ายังไง? แกกำลังจะบอกว่าการทดลองของตัวเอง สามารถสร้างมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ใช่ไหม? ช่างไร้สาระ! คิดว่าการทดลองมันจะเป็นอะไรง่ายๆอย่างแค่ถ่ายโอนแก่นสัตว์ร้ายเลเวล S ระดับสัตว์เทวะเข้าสู่สมองมนุษย์ แค่นี้ก็จะสามารถสร้างมนุษย์ที่แข็งแกร่งระดับผู้พิทักษ์ได้แล้วหรอ?” ฉินเฟิงกล่าวประชดประชัน

ทว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการสืบข้อมูลเพิ่มเติม จึงเอ่ยกระตุ้นอีกฝ่ายไป

แซดส่ายหัวด้วยความขบขัน “สิ่งที่นายพูด นั่นก็แค่การทดลองที่ล้มเหลว”

เมื่อเอ่ยถึงความล้มเหลว แนวสายตาของฉินเฟิงก็เบนไปตกลงบนตัวชูฉีซาน

แซดไม่ได้ปิดบังเลยสักนิด พยักหน้าและยอมรับตามตรง “ถูกต้อง เป็นเขา เขาคือความล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นความล้มเหลวที่ไม่สามารถแก้ไขได้”

ชูฉีซานที่นอนหมอบอยู่กับพื้น แม้ร่อแร่เท้าย่างข้ามแม่น้ำยมโลกเกินกว่าครึ่งก้าวแล้ว แต่ก็ยังไม่ตาย เจ้าตัวเผยรอยยิ้มขมขื่น

เหตุใดเขาถึงถูกเรียกว่าชูฉีซาน*น่ะหรือ? นั่นเพราะหมายเลขทดลองของเขาคือ 13 นั่นเอง!

*(ฉีซาน =ชิซัน = 十三 =13 )

แต่เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ร่างใกล้ตายของชูฉีซาน ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่นัก

การแสดงออกของฉินเฟิงกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง จดจ้องแซดอีกครั้ง

“เอ่ยถึงล้มเหลว ก็ต้องมีทำสำเร็จใช่ไหม? ไหนล่ะมนุษย์ทดลองที่ประสบความสำเร็จ?” แม้ปากจะถามอย่างนั้น แต่อยู่ๆภาพของหานน่วนและบางคนที่รอดชีวิตจากปราการชาตงได้วาบผ่านเข้ามา

ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่แซดดูเหมือนจะชอบใจที่ได้ตอบคำถาม แถลงข้อสงสัยให้แก่ฉินเฟิง ดั่งนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ที่ต้องการแสดงให้ผู้คนเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมของตน

“เมื่อโลกมนุษย์ก้าวเข้าสู่ยุคโลกาวินาศ ตอนนั้นในหนังสือได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า ในช่วงแรกที่รอยแยกมิติปรากฏขึ้น มนุษย์ได้ทำการทดลองนานับครั้งไม่ถ้วน และในการทดลองเหล่านั้น รวมไปถึงการฉีดยีนกลายพันธุ์เข้าสู่ร่างกาย แต่อัตราการตายมันสูงเกินไป ดังนั้นมันเลยถูกแทนที่ด้วยยาปลุกพลังในระดับเจือจางแทน แต่ยาปลุกพลัง มีข้อเสียอย่างใหญ่หลวง”

ฉินเฟิงขมวดคิ้ว ยาปลุกพลังมันมีข้อเสียด้วยอย่างงั้นหรือ? เขาไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน

“นั่นคืออัตราการตื่น!” แซดเฉลย

ฉินเฟิงนิ่งค้าง ขบฟันกรอด ไม่ทันคิดว่าจะหมายถึงเรื่องนี้

“ยาปลุกพลัง สามารถเสริมสร้างวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นสองอาชีพหลัก นั่นคือผู้ใช้อบิลิตี้ และผู้ใช้วรยุทธโบราณ ส่วนมือปืนถือว่าอยู่ถัดลงไป และโอกาสที่จะสามารถปลุกพลังให้ตื่นขึ้นได้ มีแค่ประมาณ 1/10 เท่านั้น”

“แต่การทดลองฉีดยีนตามแบบฉบับดั้งเดิมของฉัน ไม่ว่าจะอบิลิตี้หรือวรยุทธโบราณ มันมีโอกาสปลุกพลังได้เป็น 100%! ในกรณีนี้ มนุษย์ก็จะสามารถเป็นเหมือนกับพวกคนในเมืองหลวงมังกรได้ สามารถขับไล่สัตว์ร้ายต่างมิติ ยึดครองดินแดนของตนเองกลับคืนมา!”

ฉินเฟิงเฝ้ามองแซดอธิบายอย่างเงียบๆ ในขณะที่คู่ดวงตาของอีกฝ่าย แม้ดูลึกล้ำอย่างหาที่ใดเปรียบ ทว่ากลับแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง ส่งผลให้ชายคนนี้ดูชั่วร้าย เป็นบ่อเกิดของปีศาจทั้งปวง

“ที่แกพูดมาทั้งหมด นั่นมันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน!” ฉินเฟิงพ่นลมหายใจ มันจะไปมียาแบบนั้นได้อย่างไร ยาที่สามารถเปลี่ยนทุกคนเป็นผู้ใช้พลังได้ มันจะมีจริงๆหรอ?

“เพ้อฝัน? นายเคยสังเกตเห็นไหมว่า เผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาบางเผ่า ไม่เคยอ่อนแอเหมือนกับเผ่ามนุษย์เลย นั่นเพราะเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาเหล่านั้น มีความแข็งแกร่งตั้งแต่ยังเด็ก และหลังจากเติบโตก็จะมีความแข็งแกร่งใน ‘เลเวล’ที่เท่าๆกัน แต่จะแตกกันแค่ในด้าน ‘ระดับ’ ที่ไล่ตั้งแต่สามัญไปจนถึงจักรพรรดิ!”

หัวใจของฉินเฟิงคล้ายถูกกระชากอย่างแรง ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับปัญหานี้ ฉินเฟิงจะไม่เคยเจอมันมาก่อนได้อย่างไร? ตัวอย่างเช่นเผ่ากริม ไม่ว่าตัวใดก็ล้วนเป็นเลเวล C ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของพวกมันก็คือ บ้างเป็นระดับทหาร บ้างราชันย์ นี่เองที่เป็นตัวแทนบ่งบอกถึงสถานะแตกต่างกันไป

“แต่เหตุผลนี้ก็ไม่อาจยกมาเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งนี้ บางทีเผ่ามนุษย์ในมิติอื่นๆ ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน อย่าลืมสิว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์น่ะครอบครองความสามารถในการพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด ถึงแม้การไต่เต้าไปถึงตัวตนระดับผู้พิทักษ์ จะมีแค่หนึ่งในพันล้านก็ตาม!” ฉินเฟิงกล่าว

แซดมองมายังฉินเฟิง คล้ายแสดงออกถึงความชื่นชมอยู่บ้าง “งั้นถ้าอิงตามตัวเลขที่ว่า แล้วพวกเรามีจำนวนประชากรไม่ถึง ‘พันล้าน’ จะไม่เท่ากับว่าโอกาสถือกำเนิดผู้พิทักษ์ คือ ‘ศูนย์’ หรอกหรอ?”

ช่วงเวลานี้ แม้แต่ฉินเฟิงก็ไม่อาจเปล่งวาจาตอบโต้

นี่คือคำถามที่เกี่ยวพันกับโอกาส ทุกคนไม่ว่าใครก็รู้ ว่ายิ่งผู้คนได้รับการปลุกพลังมากเท่าไหร่ โอกาสที่ตัวตนทรงอำนาจจะปรากฏตัวขึ้นก็มากเท่านั้น

แต่ผู้คนในสถานที่เล็กๆอย่างสถานชุมชนเฉิงเป่ย แม้จะมีการปลุกพลังทุกปี แต่กลับปรากฏผู้ใช้อบิลิตี้ขึ้นมาแค่ 30 – 50 คนเท่านั้น ในขณะที่ปรากฏผู้ใช้วรยุทธโบราณไม่กี่พันคน และภายในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จ ก้าวขึ้นสู่เลเวล D ได้เลยสักคนเดียว

ขณะที่สถานที่อย่างเมืองหลวงมังกร กลับปรากฏผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน มันเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ทรัพยากรไม่จำกัด คนที่นี่เรียกได้ว่าเกิดถูกที่และถูกเวลา! ดังนั้นจำนวนผู้ใช้พลังที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ในแต่ละปีของเมืองหลวงมังกร จึงมากกว่าสถานชุมชนเฉิงเป่ยนับร้อยเท่า

ส่วนในเรื่องตัวตนทรงพลัง อย่าให้กล่าวเทียบในทุกๆปีเลย เกรงว่าในทุกๆเดือน เมืองหลวงมังกรก็สามารถผลิตผู้ใช้พลังเลเวล D ได้แล้ว และในทุกๆปี สามารถผลิตผู้ใช้พลังเลเวล A ได้นับสิบคน

คล้ายจะสังเกตเห็นว่าฉินเฟิงกำลังตะลึงกับคำพูดตน แซดยิ้มร่า กล่าวด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง “นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันถึงต้องทำมัน ตัวยาชนิดนี้ หากกลายเป็นที่นิยม ไม่ใช่แค่ทุกคนจะกลายเป็นเหมือนกับฉัน ที่สามารถผสานเข้ากับตัวยาได้ แต่อาจโชคดี มีอายุยืนยาวถึง 180 ปี! หลังจากตัวยาได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้อัตราความสำเร็จในปัจจุบัน ในที่สุดก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก”

ฉินเฟิงเบิกตาโพลง จ้องค้างไปยังชายเบื้องหน้า

180 ปีงั้นหรอ? เมื่อกี้เขาพูดว่า 180 ปีใช่ไหม? นี่หมายความว่าการทดลองนี้เกิดขึ้นมานับร้อยปีแล้ว?

อาจเป็นไปได้ไหมว่า นั่นจะเป็นอายุของแซดด้วยเช่นกัน? ไม่หรอก ถ้าอีกฝ่ายมีส่วนร่วมในการทดลองตัวยานี้ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้เขาน่าจะอายุอย่างน้อยเกิน 200 เข้าไปแล้ว

นี่ไม่เท่ากับอยู่ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวตนทรงอำนาจเลเวล S อย่างหลงถิงเลยหรอกหรือ?

ไม่กล้าจินตนาการต่อจริงๆ!

แซดคล้ายตระหนักถึงท่าทีตกใจของฉินเฟิง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย สักพักกล่าว “นายชื่อฉินเฟิงใช่ไหม? เป็นลูกรักของพระเจ้าอันดับหนึ่งในปีนี้ ฉันรู้สึกว่าด้วยศักยภาพของนาย น่าจะผสานเข้ากับตัวยาได้อย่างสมบูรณ์–”

“–สนใจมาเป็นหนูทดลองหน่อยไหม?”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท