ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ในเช้าฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หน้าต่างทุกบานของห้องหนังสือถูกเปิดออก ลมเย็นๆ พัดเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมสดชื่นที่ทำให้คนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
แผนที่จิ่วโจวที่รวบรวมอยู่ในกล่องไม้การบูรถูกนำออกมาวางบนชั้นหนังสือไม้หวงลี่ขนาดใหญ่ สวีลิ่งอี๋ที่สวมเสื้อแขนยาวผ้าไหมหังโจวสีน้ำเงินที่ยังดูใหม่อยู่ ยืนเอามือไขว้หลังอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ ก้มหน้าลงเล็กน้อย จ้องมองไปที่แผนที่โดยที่ตาไม่กะพริบ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็หยุดฝีเท้า
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวสวีลิ่งอี๋ก็เงยหน้าขึ้น “เจ้ามาแล้วหรือ!”
ถูกเรียกเข้าไปในวังอย่างกะทันหัน สืออีเหนียงจะต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอน เมื่อรู้ว่าเขากลับมาแล้ว ย่อมต้องมาหาเขาในทันที
เหตุใดถึงต้องดูแผนที่จิ่วโจว
สืออีเหนียงมีลางสังหรณ์ไม่ดี…
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” นางถามพลางเดินไปยืนอยู่ข้างสวีลิ่งอี๋
ภูเขาสลับซับซ้อนและสายน้ำหลากลายสายล้วนเห็นอย่างชัดเจน
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชี้ไปที่ตำแหน่งเมืองเซวียนถงบนแผนที่ “ชนเผ่าตาดมองโกลรวบรวมคนในเผ่าอื่นสามสิบเผ่าอ้อมผ่านด่านหุบเขาจยาอวี้ไปถึงนอกเมืองเซวียนถงแล้ว”
สืออีเหนียงใจเต้นระส่ำ สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
เมืองเซวียนถงถือเป็นเมืองหน้าด่านของเยี่ยนจิง หากเมืองหน้าด่านถูกทำลาย เยี่ยนจิงก็จะตกอยู่ในอันตราย!
“ฤดูหนาวปีที่แล้วหนาวจับใจ ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ก็มาสาย แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าสักต้นก็ไม่มี มีเพียงต้องบุกเข้าไปในด่านเพื่อแย่งทรัพยากรมา!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋สงบนิ่งเป็นอย่างมาก “ดูแล้วเกรงว่าคงจะต้องใช้ทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคแล้ว!”
“เช่นนั้นจิ่นเกอจะเป็นอะไรหรือไม่” สืออีเหนียงเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่า
“เขาไม่เป็นอะไรหรอก!” สวีลิ่งอี๋มองนาง “สื่อหยางอยู่ห่างไกลจากเซวียนถงเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกตาดมองโกลเหล่านั้นจะเดินผิดเส้นทาง แต่ก็ไม่มีทางไปถึงที่นั้นได้ ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้ว่าการกองทัพทั้งห้าต้องใส่ใจความเร็วในการใช้กำลังทหาร ไม่มีทางที่จะไม่ใช้กองกำลังทหารแนวหลังที่อยู่ใกล้เซวียนถงมากที่สุด แล้วขอกองกำลังทัพขวาที่ไกลออกไป เจ้าวางใจได้ เขาปลอดภัยกว่าพวกเราเสียอีก!” เมื่อพูดจบก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความปลอบใจอย่างอ่อนโยน
มณฑลซื่อชวนอยู่ภายใต้เขตอำนาจของกองทัพฝ่ายขวา มณฑลซานซีอยู่ภายใต้เขตอำนาจของกองทัพแนวหลัง
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นฮ่องเต้เรียกท่านโหวเข้าวังทำไมหรือเจ้าคะ”
“ราชสำนักไม่ได้ใช้กำลังทหารกับซีเป่ยมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงเรียกข้าเข้าไปสอบถาม” ขณะที่สวีลิ่งอี๋พูดประโยคนี้ น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉยแต่หางตาและสีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างแรงกล้า ทำให้ตัวเขาดูทรงพลังมากขึ้นและมีความเคร่งขรึมในทันที
นี่คงจะเป็นบุคลิกตอนที่เขาอยู่ในค่ายทหารกระมัง!
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็รู้สึกราวกับว่าได้เห็นอีกด้านหนึ่งที่สวีลิ๋งอี่ซ่อนไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ฮ่องเต้ถามท่านเพียงแค่เรื่องของซีเป่ยหรือ ไม่ได้ถามเรื่องอื่นอีก?” นางถามอย่างลังเล
สวีลิ่งอี๋เงียบไปนานก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้ยังถามอีกว่าข้าต้องการจะไปบรรเทาความโกลาหลที่ซีเป่ยหรือไม่…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ข้าปฏิเสธไปอย่างอ้อมค้อมแล้ว!” น้ำเสียงเบาสบายราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ก็ไม่ปาน
หากไม่ใช่เพราะพิจารณาเหตุผลด้านการเมือง เขาคงอยากจะไปซีเป่ยอีกครั้งกระมัง
เมื่อนึกถึงความมั่นใจที่เขาแสดงออกมาเมื่อครู่ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย มือวางลงบนกำปั้นของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างแผ่วเบา “จิ่นเกออยู่ที่ซื่อชวน หากท่านไปซีเป่ยอีก ที่นี่ก็จะเงียบเหงา…รออยู่ที่เรือนเถิดเจ้าค่ะ!” สายตาที่มองเขาอ่อนโยนราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิซาดซัดเข้าไปในใจของเขา ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ที่นางพูดคำเหล่านี้ออกมาก็เพื่อจะปลอบโยนเขากระมัง!
หากไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้จะดีแค่ไหน…
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเบาๆ
คู่รักในวัยหนุ่มสาว คู่ชีวิตในวัยชรา บางทีตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป
เขายิ้มพลางตบมือสืออีเหนียงเบาๆ “เช้าขนาดนี้ ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าใช่หรือไม่” จากนั้นก็หันกลับไปตะโกนเรียกเติงฮวา “ปิดหน้าต่างให้หมด แล้วให้บรรดาป้ารับใช้ยกอาหารเช้าเข้ามา!” เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
มีบรรยากาศเย็นยะเยือกเล็กน้อยระหว่างทั้งสองคน
สืออีเหนียงประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋เดินไปที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง หยิบกาน้ำชาอุ่นๆ บนโต๊ะเทใส่ถ้วยชา “มาสิ นั่งลงดื่มชาร้อนๆ สักหน่อย”
รอยยิ้มยังคงอ่อนโยน แต่กลับขาดความอบอุ่นเหมือนปกติ
สืออีเหนียงเดินไปนั่งลงอย่างเงียบๆ ยกถ้วยชาขึ้นมา พูดเรื่องในเรือนทั่วไป พยายามทำลายความเยือกเย็นระหว่างทั้งสองคน “ระหว่างทางกลับมาเมื่อวาน ข้าปรึกษากับอิงเหนียงเป็นเวลานาน อยากจะปลูกต้นกระจับที่ท่าเรือหลิวฟัง แต่ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นกระจับจะแพร่กระจายจนแน่นขนัดไปหมด ทำให้ไม่สามารถพายเรือได้…”
เรื่องเล็กแค่นี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับสืออีเหนียงได้อย่างไร
เมื่อเห็นร่องรอยความไม่สบายใจผ่านเข้ามาในแววตาของนาง สวีลิ่งอี๋ก็หัวเราะ
ตัวเองก็ใจแคบเกินไปแล้ว
สืออีเหนียงมีอารมณ์มั่นคง ทั้งยังมาจากสกุลใหญ่ สงวนท่าทีจนเคยชิน เมื่อนึกถึงความอ่อนโยนและความอ่อนหวานของนาง…ตัวเองช่างโลภมากเสียจริง!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็โอบไหล่สืออีเหนียง หอมที่แก้มนางอย่างเสน่หา “หากกระจับขึ้นหนาเกินไป ก็ให้ผู้ดูแลเชิญบรรดาหญิงเฒ่าที่ดูแลที่นามากำจัดออกก็ได้แล้ว ข้าจำได้ว่ากระจับจะมีในช่วงเดือนห้าเดือนหก เมื่อถึงเดือนห้าเดือนหก อากาศค่อนข้างร้อน ใครยังจะไปพายเรืออีก ไม่มีปัญหาสำหรับการปลูกกระจับ…”
รู้สึกถึงลมหายใจอันอบอุ่นของเขา เมื่อได้ฟังเสียงนุ่มนวลของเขา สืออีเหนียงก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้ ราวกับว่าก้อนหินก้อนใหญ่ในใจของนางถูกยกออกในทันที
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ยินนางถอนหายใจในอ้อมแขนของเขาเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้น
ดูเหมือนว่าสืออีเหนียงจะผูกพันกับตัวเองมากขึ้น
มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร…ความอบอุ่น ความอ่อนโยน ความโกรธหรือการตำหนิในชีวิตของเขาเหล่านั้น วนเวียนอยู่ในจิตใจราวกับสัญญาณไฟที่หมุนเปลี่ยนอยู่ในสมองของเขา แต่ไม่สามารถหาแหล่งที่มาได้…
เติงฮวาเข้ามา เห็นทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมก็รีบก้มหน้าลง พูดเสียงเบาว่า “ท่านโหว ให้วางอาหารเช้าไว้ตรงไหนดีขอรับ!” สืออีเหนียงพยามดิ้นเพื่อลุกขึ้น สวีลิ่งอี๋โอบนางไว้แน่น นางจึงต้องพิงไหล่เขาอีกครั้ง ใบหน้าแดงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พยายามดิ้นอีก
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย กำชับเติงฮวา “วางไว้ตรงนี้เถิด!”
เติงฮวารับคำแล้วถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋จูบหน้าผากนางก่อนที่จะปล่อยนาง
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง
ป้ารับใช้ที่ได้รับคำสั่งต่างก็ก้มหน้าเดินเข้ามา ย้ายโต๊ะบนเตียงเตาออกไป แล้วนำโต๊ะอาหารเช้ามาวางบนเตียงเตา
สองสามีภรรยานั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
ได้ยินเสียงกระทบกันของเครื่องลายครามในห้องเป็นครั้งคราว เสียงซดน้ำแกงเบาๆ และเสียงเคี้ยวอาหาร
ตอนนางยังเด็กท่านแม่มักจะยุ่งอยู่เสมอ นานๆ ทีถึงจะได้ทานข้าวด้วยกัน นางก็มักจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวให้ฟัง ราวกับว่าเมื่อทำเช่นนี้จะสามารถทดแทนวันที่นางไม่ได้อยู่กับแม่ได้ แต่ในใจก็ยังคงมีช่องว่าง ไม่ว่าเสียงจะดังแค่ไหนก็ไม่สามารถเติมเต็มได้ แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกผิดหวัง ต่อมาเมื่อมาอยู่ที่อวี๋หังก็ได้ให้ความสำคัญเรื่อง ‘ทานไม่คุยนอนไม่พูด’ ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าน่าเบื่อ…แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรนางถึงได้เคยชินกับการทานอาหารเงียบๆ เช่นนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกสงบและมั่นคง
สืออีเหนียงอดมองสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ตรงข้ามไม่ได้
เขากำลังคีบอาหาร สีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางมั่นคงและทรงพลัง…เช่นเดียวกันกับคืนนั้นที่เขาถูกฮ่องเต้องค์ก่อนเรียกเข้าวัง…เขาโอบนางเบาๆ แขนของเขามั่นคงและแข็งแรง กำชับให้นางพาเด็กๆ ไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง…นางยังคงจำลมหายใจตอนที่ถูกเขากอดได้…
นางอยู่ในความสับสนเล็กน้อย
เมื่อได้เห็นเขาอีกครั้ง ทำไมถึงไม่ถามเขาว่าเหตุใดจึงได้จัดการให้นางพาเด็กๆ ไป…นางเป็นฮูหยินของหย่งผิงโหว…หากจะให้ไป ฮูหยินสองคงจะพาไปได้ง่ายกว่า…อีกอย่างฮูหยินสองเคยมีประสบการณ์เรื่องความเสี่ยงของสกุลสวีแบบนี้ ทั้งยังมีความภักดี ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับนาง จะทำให้คนรู้สึกวางใจมากกว่า…สวีลิ่งอี๋เป็นคนที่กระทำการได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายของตระกูล…
ดูเหมือนว่านับแต่นั้นเป็นต้นมานางจึงได้ตระหนักถึงภาระอันหนักอึ้งที่สวีลิ่งอี๋แบกรับไว้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง และนับแต่นั้นเป็นต้นมาเวลาที่เขาไม่มีความสุข หัวใจของนางก็ราวกับถูกกระชากออกมา จากนั้นก็อยากจะพูดหรือทำอะไรบางอย่างที่จะทำให้เขาผ่อนคลายและมีความสุข…
“เป็นอะไรไปหรือ” เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าคนที่อยู่ตรงข้ามเขี่ยเม็ดข้าวในถ้วยโจ๊กอย่างเหมอลอย ยิ้มแล้วพูดว่า “อาหารเช้าไม่ถูกปากหรือ”
เขาทานง่าย ส่วนนางเป็นคนทานค่อนข้างยาก…ปกติอาหารโต๊ะใหญ่นางจะทานไปแค่สองในสามส่วน คิดไม่ถึงว่านางจะมา เห็นได้ชัดเจนว่าห้องครัวได้จัดเตรียมอาหารเช้าใหม่ เวลาค่อนข้างฉุกละหุก ส่วนใหญ่เลยจะเป็นก๋วยเตี๋ยว หมั่นโถว มีผัดผักแค่ไม่กี่อย่าง และโจ๊กข้าวฟ่าง
“เปล่าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าสบายดี!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหว ใต้เท้าหม่าแห่งทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคมาขอพบขอรับ!”
ใต้เท้าหม่าดูแลกองทัพส่วนกลางของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจใดๆ แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกำชับบ่าวรับใช้ว่า “เชิญเขาไปนั่งรอที่ห้องโถงบุปผา!”
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนชุด
“เจ้ารอข้าสักครู่ พวกเราจะได้ไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน” สวีลิ่งอี๋พูดพลางเดินออกจากห้องไป
บอกว่าครู่หนึ่ง แต่รอมาเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าสวีลิ่งอี๋จะกลับมา
“ไปกันเถิด!” เขาพูดเสียงเรียบว่า “เดี๋ยวท่านแม่จะรอ!”
ตอนนี้ไท่ฮูหยินต้องเจอสวีลิ่งอี๋ทุกวันเช้าเย็นถึงจะรู้สึกสบายใจ
สืออีเหนียงเดินตามเขาออกไป
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางนางก็ถามอย่างลังเลว่า “ใต้เท้าหม่ามาหาท่านมีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเข้ามาในลานของเรือนไท่ฮูหยินจึงได้พูดเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้เรียกคนในทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคเข้าวัง เขามาถามข้าว่าถ้าหากฮ่องเต้ขอให้เขาแนะนำแม่ทัพเพื่อนำทัพ เขาควรจะแนะนำใครดี”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋ออกจากค่ายทหารมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ผู้ดูแลกองทัพส่วนกลางของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคกลับมาถามสวีลิ่งอี๋ว่าเขาควรจะแนะนำใครเป็นแม่ทัพ…อย่าลืมว่าหากแพ้สงครามผู้ที่แนะนำก็ต้องรับผิดชอบด้วย กระทั่งอาจจะต้องไปถูกลงโทษร่วมกัน…บางทีการที่อยู่ร่วมกันโดยไม่มีระยะห่าง อาจจะทำให้บางสิ่งถูกละเลย
นางอยากถามเขามากว่าตอนที่ซีเป่ยสงบลงได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง เหตุใดเวลาผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังมีคนเคารพและเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนี้! แต่เมื่อคิดถึงน้ำเสียงที่ฟังดูหลีกเลี่ยงปัญหาของเขาเมื่อครู่ สืออีเหนียงจึงได้กลืนคำพูดของตัวเองลงไปอีกครั้ง
ไท่ฮูหยินจับมือสวีลิ่งอี๋พลางถามเขาด้วยความเป็นห่วงว่าเมื่อวานเขาไปทานข้าวที่ไหน ได้ดื่มสุราหรือไม่ โจวซื่อเจิงเรียกเขาไปทำอะไร…สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางตอบคำถาม อ่านหัวใจพระสูตรให้ไท่ฮูหยินหนึ่งบท ไท่ฮูหยินจึงได้ยิ้มพลางให้เขากลับไป
ฮูหยินสองมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูแทนไท่ฮูหยิน
“คุณชายสี่!” นางพูดอย่างมีนัยยะว่า “หากเจ้าตกลง ข้าอยากไปอาศัยที่เรือนซีซานกับท่านแม่สักช่วงระยะหนึ่ง เช่นนี้เมื่อคุณชายสี่มีแขกก็จะได้ไม่ต้องพามาคารวะท่านแม่ ท่านแม่ก็จะได้ไม่ต้องกระตือรือร้นมาต้อนรับคนเหล่านี้ เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”