ทารกร่างโปร่งใสทางด้านซ้ายมือตัวเล็กและอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างยังดูคลุมเครือ และพูดช้ามากทีเดียว
ทารกทางขวามือดูแข็งแรงกว่า เขาตอบว่า “ไม่ ข้าไม่กลัวหรอก คราวนี้ข้ามีแพะรับบาป และมันไม่ได้สร้างปัญหาให้กับท่านแม่ด้วย”
“ท่านแม่บอกเราไว้แล้วมิใช่หรือว่าอย่าทำตัวซุกซนอีก ท่านทำหูฟังไม้ไผ่พวกนั้นแตกอีกแล้ว เรื่องนี้จะไม่ทำให้ท่านแม่ไม่พอใจหรือ นางจะคิดว่าพวกเราไม่ฟังนางเอาได้นะ” เสียงของทารกตัวน้อยแผ่วเบาและเนิบนาบ
ทารกที่โตกว่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ เขาขยับตัวพร้อมกับคำรามออกมาว่า “บัดซบ! เป็นฝีมือท่านพ่อ! เขาจัดฉากข้า!”
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านแม่รักพวกเรามาก นางคงไม่โกรธพวกเราแน่ ท่านพี่ ต่อไปนี้ท่านอย่าได้ถูกท่านพ่อหลอกอีกเล่า” ทารกตัวเล็กกว่าเสริมขึ้นว่า “แต่ท่านพ่อก็พูดถูก พวกเราต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ พวกเรามาทำตัวดีๆ อย่าทำให้ท่านแม่ต้องหนักใจกันดีกว่า”
“อืม” ทารกที่โตกว่าส่งเสียงตอบพร้อมกับกอดคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ทำไมเจ้าตัวเล็กลงอีกแล้วล่ะ พรุ่งนี้กินเยอะๆ พี่จะเอาอาหารส่วนของพี่ให้เจ้าด้วย”
ทารกที่ตัวเล็กกว่ายังพัฒนาไม่เต็มที่ แค่พูดเพียงสองประโยคมันก็ถึงขีดจำกัดของตัวเองเสียแล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของผู้เป็นพี่ มันก็ไม่ได้ตอบ แต่กลับหลับลึกทันที
ทารกที่ตัวโตกว่าพยายามพัฒนาร่างกายตัวเองอย่างเต็มที่ มันเป็นเหมือนกับต้นอ่อนที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากพัฒนาเต็มที่แล้ว
กลุ่มหมอกสีดำและพลังวิญญาณที่ไหลมาอย่างไม่ขาดสายนั้นเป็นราวกับสายน้ำที่โอบล้อมอยู่รอบตัวเขา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทารกที่ตัวโตกว่าก็ขยับเปลือกตา ดวงตาคู่สวยของเขาลืมขึ้นอย่างช้าๆ พวกมันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอันหนาแน่นราวกับเลือด
ข้าอยากออกไปเร็วๆ!
ที่นี่มีสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว…
…
วันต่อมา สำนักหมอหลวงตกอยู่ในความโกลาหล
หูฟังไม้ไผ่ทุกอันที่เตรียมไว้สำหรับฟังเสียงชีพจรของพระชายาสามถูกทำลายจนไม่เหลือ
ด้ายสีทองที่พวกเขาใช้จับชีพจรก็ขาดกระจุยกระจายไปทั่วทุกที่
บางคนก็บอกว่าเป็นฝีมือของหนู ในขณะที่บางคนกล่าวว่าไม้ไผ่หักเพราะพวกมันแก่เกินไป
บรรดาหมอหลวงของสำนักหมอหลวงไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่หูฟังไม้ไผ้อันใหม่จะถูกส่งมาที่นี่ พวกเขาทำได้เพียงแค่ใช้วิธีง่ายๆ ในการจับชีพจรของเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น
โชคดีที่ชีพจรของเฮ่อเหลียนเวยเวยคงที่มาก ด้วยเหตุนี้หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงจึงรู้สึกโล่งใจอย่างมาก
แต่อาหารบำรุงกำลังก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับนาง และเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นคนที่กินเก่งทีเดียว โดยปกติแล้วนางก็สามารถกินอาหารที่สตรีมีครรภ์จำนวนสี่หรือห้าคนกินจนหมดเกลี้ยงได้ด้วยตัวคนเดียว
หมอหลวงคิดเพียงว่าคงใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก
ตรงกันข้าม สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูอับจนหนทางอย่างมากหลังจากนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวง
เพิ่งผ่านไปเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น…
แต่การเล่นแผลงๆ ของเด็กคนนี้กลับมีแต่จะยิ่งเลวร้ายลง!
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ทารกน้อยลงมือได้อย่างชาญฉลาดทีเดียว นอกจากเขาจะสามารถทำลายหูฟังไม้ไผ่ทั้งหมดในวังหลวงได้แล้ว เขายังสามารถกำจัดความสงสัยที่หมอหลวงหลิวเคยมีก่อนหน้านี้ไปได้อีกด้วย
เวลานี้ทุกคนในวังหลวงต่างก็ง่วนอยู่กับการไล่จับหนูเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันสร้างความวุ่นวายในสำนักหมอหลวงได้อีก
ใครเล่าจะรู้ว่าตัวการของปัญหาทั้งหมดนี้จะอยู่ในท้องของนาง
“อย่าทำเช่นนี้อีก ได้ยินที่ข้าพูดไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยต่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางจะบอกให้พวกเขารู้ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิดตอนที่อบรมพวกเขา นางไม่ได้เข้มงวด แต่นี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำต่างหาก
นางรู้ว่าหลังจากที่เขาออกมาดูโลก ลูกของนางจะมีหลายสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถมีได้
แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นางไม่สามารถปล่อยให้เขาเลือกเดินในเส้นทางที่ผิดได้
เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้เขาก็คงไม่ส่งเสียงออกมา และทำราวกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆ แล้ววางหนังสือที่อ่านอยู่ลงข้างตัว นางลูบท้องน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนติดจะเกียจคร้านว่า “เจ้าลองคิดดูสิ หูฟังไม้ไผ่ที่อยู่ในสำนักหมอหลวงเป็นสิ่งที่ใช้ในการตรวจคนไข้ แต่เจ้ากลับทำพวกมันพังจนหมด แล้วถ้ามีคนล้มป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร ยิ่งกว่านั้น หมอหลวงหลิวกับหมอหลวงจางก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี พวกเขาเองก็อายุมากแล้ว ลำพังแค่ทำงานในวังหลวงก็เหนื่อยยากพอแล้ว แต่เจ้ากลับยังไปสร้างปัญหาให้กับพวกเขาอีก เจ้าหนู ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะชอบการใช้กำลังหรือทำเรื่องไม่ดีเช่นใดในอนาคต แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี อย่าได้ใช้กำลังกับคนอ่อนแอเชียว การทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก”
การเคลื่อนไหวในท้องของนางอ่อนกำลังลง ดูเหมือนเด็กในท้องกำลังยอมรับผิด
“ไม่เป็นไร แม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบท้องตัวเอง แล้วถามว่า “เราไปหาท่านพ่อของเจ้าที่ห้องทรงอักษรทางทิศใต้กันดีไหม ว่ากันว่าการมองคนสวยๆ ระหว่างท้องเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ลูกเกิดมาหน้าตาดี เจ้าต้องมองท่านพ่อของตัวเองบ่อยๆ ล่ะ ในอนาคตเจ้าจะได้โตไปหน้าตาเหมือนเขา”
ไม่เอาหรอก!
ข้าไม่อยากเหมือนท่านพ่อเสียหน่อย!
ท่านแม่ ตอนที่ข้าออกไป ข้าจะต้องหล่อกว่าท่านพ่อแน่ๆ ขอรับ!
ทารกตัวเล็กกว่าได้ยินดังนั้น เขาจึงหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยแกล้งอีกฝ่ายว่า “ท่านพี่ ต่อให้ท่านตะโกนไปนานกว่านี้ ท่านแม่ก็ไม่ได้ยินท่านหรอก”
“ช่างเถอะ ก็ข้าไม่อยากหน้าตาเหมือนท่านพ่อนี่” ทารกที่โตกว่าหันไปดูแลทารกที่ตัวเล็กกว่าเป็นอย่างดี พร้อมกับถามว่า “วันนี้เจ้ากินอะไรหรือยัง มานี่สิ ข้าจะแบ่งพลังวิญญาณให้” ระหว่างพูด ทารกทั้งสองก็แนบศีรษะเข้าหากัน “ตอนที่เราออกไป ไม่รู้ว่าท่านแม่จะชอบพวกเราไหม”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าสูดพลังวิญญาณเข้าไปสองครั้ง ก่อนตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ต้องชอบแน่นอน การเคลื่อนไหวของนางจะนุ่มนวลอย่างมากทุกครั้งที่นางลูบท้อง อีกทั้งยังพูดกับพวกเราอย่างอ่อนโยนอีกด้วย หากดูจากการกระทำของนางแล้ว ท่านแม่จะต้องชอบพวกเราอย่างแน่นอน”
“อืม เช่นนั้นพวกเราต้องรีบออกไป” ทารกที่โตกว่าขยับตัวแล้วพูดขึ้นว่า “มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่เราจะได้เห็นท่านแม่ ตอนนี้พวกเรามองเห็นแค่ท่านพ่อ และต่อให้เราพูด คนที่ได้ยินเราก็มีแค่เขาคนเดียว ไม่ตลกเอาเสียเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คิดว่ามันไม่ตลกเอาเสียเลยเหมือนกัน เพราะกระแสจิตระหว่างเฮ่อเหลียนเวยเวยกับเขาจะถูกทำลายลงทันทีที่ปีศาจน้อยตัวนี้มีร่างเป็นของตัวเอง แม้แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถอ่านความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้
ยิ่งปัญหานี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยใช้เวลาส่วนใหญ่ของตัวเองไปกับลูกๆ ช่วงเวลาใกล้ชิดของพวกเขาจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าหนูนี่เป็นปัญหาอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นความไม่พอใจขององค์ชาย ดังนั้นนางจึงยิ้มแล้วกอดเอวเขาไว้จากทางด้านหลังพร้อมกับถามว่า “ท่านคิดว่าลูกของเราเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงหรือ”
“ผู้ชาย” เมื่อวานนี้เขาได้เห็นเจ้าหนูนี่มาแล้ว ค่อนข้างเป็นหนามตำตาทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วถามต่อ “ท่านรู้ได้อย่างไร”
“คนที่กินเยอะขนาดนี้มีแต่ผู้ชาย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกและไพเราะน่าฟังเหมือนปกติ แต่อันที่จริงเขาจงใจพูดเช่นนี้เพื่อปรามาสบุตรชาย
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเห็นเป็นจริงเป็นจัง นางแนบใบหน้าของตัวเองเข้ากับแผ่นหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วพูดด้วยความสงสัยว่า “ถ้าเป็นผู้ชาย เขาต้องเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กหรือเปล่า ข้าเคยรู้มาว่าองค์ชายในสมัยโบราณใช้ชีวิตกันเช่นนี้ นอกจากนั้นพวกเขายังต้องฝึกฝนการต่อสู้ด้วยดาบ และเรียนรู้วิชาการศึกเพื่อใช้ทำสงคราม สมัยเด็กๆ ท่านก็ชอบเรียนวิชาการศึกที่สุดมิใช่หรือ”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางม้วนกระดาษในมือลง บนใบหน้าหล่อเหลาของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น เขาชอบอ่านหนังสือพวกนั้นเพราะมันช่วยลับทักษะการฆ่าของเขาให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ไม่ได้อ่านเพื่อไปทำสงครามแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าเจ้าหนูนั่นเองก็คงจะชอบเหมือนกัน เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของปีศาจ…