แต่การที่นางกอดตัวเองอยู่เช่นนี้ก็เอื้อประโยชน์ต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างมาก
รอยยิ้มวาดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอันสูงศักดิ์ของเขา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรีบหันกลับไปกอดเฮ่อเหลียนเวยเวยทันที จากนั้นจึงก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยสับสนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมกับจูบตอบเขาเบาๆ
องค์ชายต้องเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเองเพื่อเห็นแก่ร่างกายของนาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงให้ความร่วมมือกับเขาอย่างมาก
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหยุดไปเสียดื้อๆ เขาเคลื่อนดวงตาคู่สวยขึ้นมาจ้องมองนางอย่างจับผิด จากนั้นจึงถามว่า “ทำไมเจ้าถึงว่าง่ายเช่นนี้”
“ข้าท้องอยู่นะ ย่อมต้องว่าง่ายเป็นธรรมดา” ทันทีที่เห็นสายตาของเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงสง่างามในยามปกติตอนนี้กลับเจือไปด้วยความอิจฉาอย่างคาดไม่ถึงในตอนที่เขากล่าวว่า “เจ้าปีศาจมารผจญนี่ คลอดออกมาเมื่อไหร่ข้าจะจับโยนทิ้งเมื่อนั้น”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ เดี๋ยวลูกได้ยินเข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นจึงบอกว่า “เดี๋ยวลูกก็เกิดแล้ว พอเขาโตขึ้นเป็นเจ้าซาลาเปาตัวน้อยๆ วิ่งตามเรา แล้วขอให้เราอุ้มเขา ท่านจะต้องรักเขามากแน่ๆ”
“หึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างชั่วร้าย อย่าให้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเลยจะดีกว่า มิฉะนั้นเขาคงได้จับเจ้าเด็กที่เกาะขาตัวเองอยู่ขึ้นมาโยนทิ้งแน่
แค่การที่เจ้าเด็กนั่นรบกวนพวกเขาก่อนคลอดก็นับว่าเลวร้ายพออยู่แล้ว แต่หลังจากคลอดแล้วก็ยังคิดที่จะเข้ามาคั่นกลางระหว่าพวกเขาอีกหรือ
ทารกที่โตกว่าเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความรังเกียจจากผู้เป็นบิดา
ทารกที่โตกว่าแอบค้านเขาอยู่ในใจ ใครจะไปอยากให้เขาอุ้มกัน เขาทั้งเย็นชาและเป็นคนแข็งกระด้างถึงเพียงนี้ ท่านแม่ยังดีกว่าเป็นไหนๆ ท่านแม่สิที่รักพวกข้าที่สุด!
“จริงสิ ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ท่านเป็นคนเลี้ยงดูเจ้าเจ็ดมามิใช่หรือ ตอนนั้นท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางควรเรียนรู้ประสบการณ์การเป็นพ่อแม่จากคนอื่นด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเพียงสองคำว่า “กินเก่ง”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
เฮ้อ ข้าถามผิดคนจริงๆ
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการอบรมสั่งสอนส่วนใหญ่ขององค์ชายมีข้อบกพร่องอยู่นั่นเอง
เจ้าเจ็ดเป็นเด็กน่ารัก แต่ถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลี้ยงมาผิดวิธี
อย่าให้ลูกได้รับอิทธิพลจากเขาคงดีกว่า ถ้าเกิดลูกของนางโตมาเป็นคนที่มีมุมมองชีวิตบิดเบี้ยวขึ้นมาจะทำอย่างไร
ความกังวลของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูเหมือนจะได้รับการพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อองค์ชายไม่พอใจเขา บางครั้งเขาก็จะใช้เวลาว่างไปกับการอบรมสั่งสอนบุตรชายเรื่องคุณลักษณะพื้นฐานของการเป็นปีศาจ
ด้วยเหตุนี้ทารกที่โตกว่าจึงเริ่มสังเกตมนุษย์ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ในท้อง
เขาทำเช่นนั้นเพื่อให้ตัวเองสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ และเพื่อบงการพวกเขาได้ดีขึ้นหลังตัวเองเกิด
นอกจากท่านแม่ของเขาแล้ว มนุษย์ทุกคนก็เป็นเพียงแค่หมากสำหรับเขา
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องเรียนรู้การเป็นพี่ชายที่ดีให้ได้
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านพ่อจะสอนเขาได้
จากที่เขาเข้าใจ นอกจากท่านแม่แล้ว ท่านพ่อก็ไม่สนใจใครอื่นอีก
เขาเองก็เป็นปีศาจ ดังนั้นทารกที่โตกว่าไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่ตัวเองพบ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขากลับยิ่งกอดทารกที่ตัวเล็กกว่าแน่นขึ้น มิหนำซ้ำยังเล่าเรื่องที่เขาแกล้งคนให้ทารกที่ตัวเล็กกว่าฟังแทนนิทานก่อนนอนเสียด้วย
ทารกที่โตกว่าอยากออกไปจากที่นี่เร็วๆ ไม่ใช่แค่เพราะเขาอยากเห็นท่านแม่ แต่เป็นเพราะเขาอยากได้ยินเสียงของทารกที่ตัวเล็กกว่าเรียกเขาว่าพี่ชาย
หลังจากได้รับการอบรมจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ทารกที่โตกว่าก็รู้ว่าจะลงมืออย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร
ไม่มีเรื่องน่าสงสัยเกิดขึ้นในวังหลวงอีก
นอกจากบรรยากาศโดยรอบของตำหนักจิ่วฉงที่สะอาดหมดจดแล้ว ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
อดีตฮ่องเต้เป็นคนที่เข้าใจหลานชายน้ำแข็งของตัวเองเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงหาเวลามาคุยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นการส่วนตัว เขากล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้ากำลังจะได้เป็นพ่อคน ดังนั้นเจ้าเองก็ควรที่จะทำตัวให้สมเป็นพ่อ เจ้าจะเลี้ยงเหลนของข้าเหมือนอย่างที่เจ้าเลี้ยงเจ้าเจ็ดอีกไม่ได้ อย่าสอนแนวคิดเหลวไหลของเจ้าให้เขาล่ะ เด็กคนนี้ยังไม่เกิด หรือต่อให้เขาจะเกิดแล้ว เขาก็ยังเด็กนัก ปล่อยให้เขาได้สนุกกับชีวิตตัวเองเสียก่อน”
อดีตฮ่องเต้เป็นคนฉลาด คำพูดของเขาแสดงให้เห็นถึงความรักใคร่เอ็นดูอันลึกล้ำที่เขามีให้กับเหลนที่ยังไม่เกิดของตัวเอง
ขันทีซุนเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงทำตามที่อดีตฮ่องเต้สั่งและปัดกวาดเช็ดถูตำหนักจิ่วฉงเป็นประจำทุกวัน
เขารักองค์ชายน้อยคนนี้อย่างมากแม้เขาจะยังไม่ทันเกิด ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่หายากยิ่งนัก
ถ้าเขาเกิดมาจริงๆ อดีตฮ่องเต้อาจจะไม่สนใจเรื่องราวในราชสำนักอีก แล้วเอาแต่เล่นกับองค์ชายน้อยทั้งวันก็เป็นได้
เจ้าเจ็ดรู้จักแต่เพียงเรื่องกิน
เวลาที่เขากินอะไรเข้าไป เขาจะอ้างว่าอาหารที่เขาเอามาเป็นของทารกน้อยพร้อมกับเคี้ยวปลาทองในปากด้วยความมั่นใจ
แม้กระทั่งปลาที่เขาเสาะหามาอย่างยากลำบากจากเมืองเจียงหนานก็ยังเหลือเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
มิหนำซ้ำเจ้าเจ็ดก็ยังจับห่านป่าที่เป็นสัตว์เลี้ยงของอดีตฮ่องเต้มาจากสวนอีกด้วย
แต่อดีตฮ่องเต้กลับไม่ได้โกรธจนควันออกหู อีกทั้งยังปล่อยให้เจ้าเจ็ดก่อเรื่องไปทั่ววังหลวง
แม้กระทั่งตอนที่เจ้าเจ็ดประกาศว่าเขาอยากออกไปล่ามังกรมาให้ทารกน้อยกิน อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ได้ห้ามเขา
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอดีตฮ่องเต้รักองค์ชายน้อยที่ยังไม่เกิดคนนี้มากเพียงใด
แต่ในขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังที่อดีตฮ่องเต้พูดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน เขาวางถ้วยชาลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “ถ้าเสด็จปู่กลัวว่าข้าจะไม่สามารถเลี้ยงเขาได้อย่างเหมาะสม ท่านจะเอาเขาไปเลี้ยงเองก็ได้”
อดีตฮ่องเต้ชะงักไป รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา แต่เขากลับแสร้งทำเป็นเยือกเย็น แล้วกล่าวว่า “เขาควรอยู่ข้างกายข้าจริงดังว่า เวยเวยคงเป็นห่วงว่าเจ้าจะเลี้ยงให้เขาโตมาเป็นคนเย็นชาเพราะนิสัยเช่นนี้ของเจ้า”
“ข้ารู้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเรียบๆ แล้วพูดต่อราวกับไม่แยแสว่า “แต่ท่านควรนำเรื่องนี้ไปถามกับเวยเวยด้วยตัวเอง”
อดีตฮ่องเต้ไม่รู้ว่าหลานชายกำลังหลอกใช้เขาอยู่ เขาโยนความคิดอื่นๆ ทิ้งไปจนหมดเมื่อคิดว่าเขาจะได้กอดเหลนด้วยมือตัวเอง และจะได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นร่วมกันกับเขา ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “ข้าจะถามนางแน่ เจ้าควรจะยิ้มให้มากกว่านี้ อย่าเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปคิดที่ห้องทรงอักษรทางทิศใต้ให้มากเกินไปนัก หาเวลาว่างไปอยู่กับเวยเวยเสียบ้าง...”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องฟังที่เขาพูดอีกต่อไป เพราะปัญหาเหล่านั้นได้รับการคลี่คลายแล้ว
ถ้าในอนาคตเจ้าหนูนั่นทำตัวไม่เชื่อฟังและก่อกวนพวกเขาเข้าละก็ เขาจะถีบส่งเขาไปที่ตำหนักเจิ้งหยางทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนใจอ่อนมาตลอด ถ้าอดีตฮ่องเต้อยากเห็นหน้าลูก นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธเขา
ไม่ว่าทารกที่โตกว่านั่นจะเฉลียวฉลาดเพียงใด เขาก็นึกไม่ถึงว่าพ่อของตัวเองจะทำเช่นนี้กับเขา เขาอยู่แต่ในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวย และซึมซับสารอาหารจากรอบกายอย่างต่อเนื่อง
คืนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ว่าองค์ชายดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อสองวันที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงถามเขาด้วยความสงสัยว่า “วันนี้มีเรื่องดีเกิดขึ้นหรือ”
“หืม? ทำไมถึงถามเช่นนั้นหรือ?” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดนางด้วยท่าทางเกียจคร้าน แล้วใช้มือข้างหนึ่งป้อนพุทราให้นางกิน บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏอยู่
ดูเหมือนจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นจริงๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปจิ้มแก้มเขา จากนั้นจึงบอกว่า “ท่านยิ้มอยู่”
“ข้าก็แค่เพิ่งแก้ปัญหาเล็กน้อยบางประการได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบพร้อมกับมองไปที่ท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่ตั้งใจ