ซือหยูค่อนข้างยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของดวงวิญญาณดวงวิญญาณของเขากลายเป็นดวงวิญญาณในระดับเซียนขั้นสูงสุด ซึ่งเหนือกว่าก่อนหน้าหนึ่งระดับ
โอรสสวรรค์จ้องนภาในขั้นที่ห้าปรากฏในใจขึ้นเองและมันคือขั้นสุดท้ายในบันทึกศิลา…ขอบเขตกลืนวิญญาณ
ในขั้นที่ห้าที่เขารอคอยมาเนิ่นนานได้ปรากฏให้เห็นแล้ว
ผู้ที่มาถึงขอบเขตกลืนวิญญาณจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของวิญญาณจนดับระดับวิญญาณเทพได้โดยกลืนกินดวงวิญญาณของคนอื่น
ขอบเขตนี้มีระดับพลังอยู่สามขั้นด้วยกันหากสำเร็จขั้นแรกจะกลืนกินดวงวิญญาณของผู้ที่อ่อนแอกว่าเทพได้ นั่นหมายความว่าจะกลืนกินดวงวิญญาณของว่าที่เทพได้ด้วย ซือหยูเบิกตาโพลงกลืนกินดวงวิญญาณรึ?
นี่ไม่ใช่ความสามารถที่มีเฉพาะเทพหรอกหรือ?
ความทรงจำของทุกคนกักเก็บอยู่ในดวงวิญญาณผู้ที่กลืนกินดวงวิญญาณของคนอื่นเข้าไปจะสูญเสียความทรงจำของตัวเองและเป็นบ้าในท้ายสุด
มีเพียงเทพที่สามารถลบความทรงจำที่กักเก็บไว้ในดวงวิญญาณได้จากนั้นเทพก็จะดูดซับดวงวิญญาณที่ผ่านการชำระล้างแล้ว
แต่ซือหยูเองก็ได้ความสามารถนั้นมาหลังจากถึงขอบเขตกลืนวิญญาณ
ตอนนี้เขามีพลังในขั้นแรก
พอเป็นขั้นสองเมื่อใดเขาจะกลืนกินดวงวิญญาณของเทพได้!
หากไปถึงขั้นสามเขาจะสามารถกลืนกินดวงวิญญาณของ…มัธยเทพ!
ซือหยูไม่รู้ว่ามัธยเทพคืออะไรแต่เขามั่นใจว่ามันจะต้องแข็งแกร่งกว่าเทพทั่ว ๆ ไปแน่นอน!
ขณะที่ซือหยูกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเองเขาได้พบว่าดวงวิญญาณของเขาสามารถมองทะลวงผ่านดวงวิญญาณอื่นได้ และเขาถึงกับมองความทรงจำที่ซ่อนอยู่ได้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นซือหยูยังรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนความทรงจำของผู้อื่นและบิดเบือนได้ตามใจนึก เขายังลบความทรงจำได้ เมื่อดวงวิญญาณถูกลบความทรงจำ เขาจะกลืนกินมันเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง
นี่น่ะรึขอบเขตกลืนวิญญาณ?
มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ทำให้ซือหยูรู้สึกยินดี
โอรสสวรรค์จ้องนภามีขอบเขตถึงเก้าขั้นแต่ในก้อนศิลาที่ได้มาจากหยุนหยาซือมีเพียงห้าขั้น หากขั้นที่ห้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พลังอีกสี่ขั้นที่เหลือคงจะเหนือจินตนาการ! ซือหยูเลียริมฝีปาก เขาเริ่มสนใจในพลังอีกสี่ขั้นที่หายไปแล้ว วิบัติเทพครั้งนี้ทำให้ซือหยูเพิ่มพลังอย่างก้าวกระโดด!
เขาได้แหล่งพลังเทพสองดวงมาถึงขอบเขตกลืนวิญญาณซึ่งทำให้เขาเริ่มบ่มเพาะวิถีเทพใหม่ได้
ซือหยูคิดว่าวิบัติเทพครั้งนี้จะสร้างความปั่นป่วนระหว่างฟ้าดินเหมือนกับในโลกมนุษย์ซึ่งนั่นจะดึงดูดความสนใจของพวกอสูรตระกูลราชวงศ์
แต่ซือหยูรู้แล้วเมื่อได้ผ่านวิบัติเทพเขากังวลมากจนเกินไป พวกตระกูลราชวงศ์มิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย
บอกตามตรงสิ่งที่ซือหยูได้จากวิบัติเทพครั้งนี้นั้นห่างไกลจากที่เขาคาดคิดไว้มาก
หึหึ!ข้าผ่านวิบัติเทพนี้มาแล้ว ถึงเวลาลงทัณฑ์เจ้าเมฆาอสูรสักที!
ซือหยูยิ้มด้วยความเย็นชา
เมฆาวิบัติหายไปเมฆาอสูรกับลี่หยิงพุ่งไปยังเมืองชมทะเลพร้อมกับเทพอีกสองคน ความสะพรึงกลัวยังคงแสดงผ่านดวงตาของพวกเขา
เจ้ารู้จักผู้ที่ผ่านวิบัติเทพเมื่อครู่หรือไม่?
มีคนถามขึ้นมาเมื่อเมฆาอสูรและเทพอีกสองคนเข้าใกล้ซือหยู พวกเขาก็ได้เห็นอสูรผมสีเงินมองกลับมาทางพวกเขา อสูรผมสีเงินยืนมือไพล่หลัง
แม้พวกเขาจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างซือหยูและเทพตำราพวกเขาก็ไม่รู้รายละเอียดใดเลยเพราะวิชาซ่อนเร้นของเทพอสูรเนตรม่วง พวกเขาไม่รู้จักรูปลักษณ์ของซือหยูและลักษณ์ของพลังด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นอสูรหนุ่มที่โลหิตไม่บริสุทธิ์พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าอสูรผู้นี้เป็นอสูรจากตระกูลเทพที่เสื่อมถอยจริง ๆ
แต่พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าลูกหลานเทพจากตระกูลเช่นนี้ได้รับสืบทอดวิถีเทพอันแข็งแกร่งมาได้อย่างไร เมฆาอสูรเลิกล้มความคิดที่จะเป็นพรรคพวกกับชายหนุ่มผู้นี้เขาเพียงอยากจะผูกมิตรเท่านั้น
ยินดีด้วยเจ้าหนุ่ม! ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นว่าที่เทพและเทพในอีกไม่นาน!
เมฆาอสูรเดินไปหาซือหยูพร้อมประสานมือเขาปฏิบัติซือหยูดั่งคนในฐานะเดียวกัน!
เทพอีกสองคนเองก็ได้เห็นภาพอันตระการตาเมื่อซือหยูข้ามวิบัติเทพพวกเขาจึงไม่แปลกใจที่เมฆาอสูรจะทักทายซือหยูเช่นนี้ ทั้งสองรู้ดีว่าจะต้องทำเช่นเดียวกัน
ฮ่าๆๆๆ!ยินดีด้วย สหายตัวน้อย!
สหายข้าไม่มีใครเคยผ่านวิบัติเทพอย่างเจ้ามาก่อน! พวกเราทุกคนประทับใจในความเป็นวีรบุรุษของเจ้ายิ่งนัก!
เมฆาอสูรไม่ได้รับการตอบสนองที่เขาคาดคิดเขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
สหายน้อยข้าว่าเจ้าคงไม่มีผู้อาวุโสในตระกูลเหลืออยู่แล้วใช่หรือไม่?
เขาถาม
ซือหยูที่มาจากธารดาราย่อมไม่มีผู้อาวุโสอยู่ในแดนอสูรเขาพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
เห็นเช่นนั้นเทพทั้งสามตาลุกวาว ชายคนนี้เป็นลูกหลานเทพตระกูลเสื่อมถอยอย่างที่พวกเขาคิด
เมฆาอสูรโล่งใจเขาพูดด้วยรอยยิ้ม
ข้าคือเจ้าดินแดนเมืองเมฆาอสูรแห่งแดนจิงหยูข้าเคยคิดจะช่วยเจ้าเมื่อเจ้าจะผ่านวิบัติเทพ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งจนไม่ต้องการความช่วยเหลือแม้แต่น้อย! แต่ถ้าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อใด ข้าเต็มใจทำสุดความสามารถ!
นั่นไม่จำเป็นหรอก…
ซือหยูตอบด้วยความใจเย็น
เมื่อได้รับการปฏิเสธอย่างโอหังจากซือหยูเมฆาอสูรมิได้ไม่พอใจ เขาพูดต่อไปอย่างนอบน้อม
หึหึ!สบายน้อยเอ๋ย เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย! มีเทพมากมายนักในแดนอสูรอันโหดร้ายแห่งนี้ ข้าเชื่อว่าหลายผู้หลายคนจะริษยาเพราะพรสวรรค์อันสุดยอดของเจ้า เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายหากไร้ผู้ปกป้อง เทพสองคนนี้กับข้ายินดีปกป้องเจ้าพร้อมทั้งยังให้วัตถุดิบบ่มเพาะกับเจ้าก่อนจะกลายเป็นเทพได้ เราไม่อยากเสียโอกาสล้ำค่าในการรู้จักเจ้าในวันนี้ไป!
เขากล่าว
เมฆาอสูรพูดถูกแล้ว!สหายน้อย เจ้าควรจะระวังตัวในโลกอันป่าเถื่อนใบนี้!
เทพทั้งสองพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูมองทั้งสามโดยไม่ตอบอะไร
เมฆาอสูรและเทพอีกสองคนอับอายแต่ก็คิดอยู่ในใจ
‘สมกับที่เป็นผู้ที่จะเป็นใหญ่ในใต้หล้า!’
พวกเขาคิด ‘เขาถือตัวและปฏิเสธเทพที่มาเสนอความช่วยเหลือ!’
แต่แทนที่พวกเขาจะไม่พอใจพวกเขาเลือกที่จะเมินความอวดดีของซือหยู
นั่นก็เพราะว่าพวกเขามองแต่คุณสมบัติอันสุดยอดของซือหยู!
ถ้าซือหยูเป็นอสูรธรรมดาพวกเขาคงจะสังหารไปแล้วหากกล้าหยาบคายต่อหน้าเทพอย่างพวกเขา
‘เขายังระแวงพวกเราอยู่!’
เมฆาอสูรคิดในใจ
ทั้งสามประสานสายฟ้าและพยักหน้าพร้อมกัน
หึหึ!สหายน้อย อย่ากลัวพวกข้าเลย! พวกเราหวังอย่างจริงใจว่าจะได้เป็นสหายกับเจ้า!
เมฆาอสูรกล่าวจากนั้นจึงเรียกศีรษะสัตว์อสูรสีชมพูออกมายืนให้ซือหยูอย่างไม่เต็มใจ
ข้าได้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ลอกเลียนนี้มาจากซากเมืองเก่าโปรดรับของเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้แทนใจพวกข้าและใช้มันปกป้องตัวเจ้าเองเถอะนะ!
หัวสัตว์อสูรสีชมพูปรากฏที่หน้าซือหยู
แม้ซือหยูจะสับสนกับท่าทางของเมฆาอสูรเขาก็รับของขวัญประหลาดไว้โดยไม่ลังเล
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธของขวัญจากศัตรู!
เทพอีกสองคนอ้าปากค้างและเริ่มพูดคุยกันผ่านโทรจิต
อะไรกัน!เมฆาอสูรคิดจะให้สมบัตินั่นกับลูกชายคนโต! มันคือกะโหลกชมพูที่ใช้หลอกหลอนจิตใจของศัตรูได้ แม้แต่พวกเราก็ต้องระวังมัน! ไม่คิดเลยว่าเขาจะใช้ชายหนุ่มผู้นี้!
ฮื่ม!เมฆาอสูรฟุ่มเฟือยนัก!
ถ้าข้าจำไม่ผิดเมฆาอสูรไม่อยากจะให้มันกับลูกชายคนโต แต่มันจะใช้เป็นสมบัติช่วยชีวิตมันยามคับขัน! น่าสิ้นเปลืองยิ่งนัก!