อวี้หนานเฉิงมองดูทิวทัศน์ทางด้านนอกหน้าต่าง แต่ในขณะนั้นเขาแทบจะไม่มีอารมณ์
คำพูดที่เกาหย่าเหวินเพิ่งเตือน ทำให้เขาได้ย้อนกลับไปคิดทบทวนถึงพฤติกรรมของตัวเองในช่วงเวลานี้ อวี้หนานเฉิงจึงตระหนักได้ว่าเขา เขาทำดีกับเซิ่งอันหรานมากเป็นพิเศษจริงๆ
เป็นเพราะว่าเธอช่วย จิ่งซี อย่างนั้นเหรอ?
ไม่ใช่สิ ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ ผู้ช่วยโจวฟังและพ่อบ้านก็ได้จัดการเรื่องนี้แล้ว โดยการส่งลูกสาวของเธอให้ไปที่หลานเป่า และได้ตกลงกับจิ่งซีแล้วว่าจะส่งเซิ่งเสี่ยวซิงให้ไปเรียนเป็นเพื่อนเขาด้วย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มันอยู่เหนือความคาดหมายของเขา เมื่อเขาคิดมาถึงตรงนี้ เขาจึงรู้สึกเกิดความสับสนขึ้น
เพราะบนถนนรถติดมาก กว่าจะมาถึงโรงแรมก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว
ผู้จัดการและหัวหน้าพนักงาน พนักงานบริการในโรงแรมต่างยืนเรียงเป็นสองแถวอย่างมีระเบียบ อวี้หนานเฉิงเดินผ่านตรงกลาง เขาทอดสายตามองไปทั่วๆ เห็นเซิ่งอันหรานยืนอยู่ตอนท้ายแถว และเมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองเธออยู่สักพัก
แม้ว่าเธอจะสวมเครื่องแบบแบบเดียวกันกับพนักงานคนอื่น แต่เธอก็ดูโดดเด่นอย่างอธิบายไม่ถูก ผ้าพันคอผ้าไหมที่อยู่บนคอของเธอ เธอเป็นคนผูกมันเองใช่ไหม? กระดุมสีฟ้าอ่อนเรียบๆที่อยู่บนผ้าพันคอของเธอมันช่างดูสวยงามมาก
เมื่อเซิ่งอันหรานเห็นว่าอวี้หนานเฉิงจ้องมองตัวเองเป็นเวลานานแล้ว เธอจึงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “ท่านประธานอวี้ มีอะไรหรือเปล่า?”
ทันทีที่อวี้หนานเฉิงได้สติกลับคืนมา เขาก็ขมวดคิ้ว “ป้ายที่หน้าอกมันเบี้ยว”
หลังจากพูดจบ เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในโรงแรมอย่างรวดเร็ว ทิ้งเซิ่งอันหรานให้ก้มมองป้ายหน้าอกลงอย่างงงวย “ก็ไม่เบี้ยวนินา?”
หลังจากที่อวี้หนานเฉิงมาถึง เขาก็เรียกรวมเหล่าผู้จัดการของโรงแรมมาประชุมที่ชั้นสอง หัวข้อที่จะประชุมกันก็คือ ธีมงานการเฉลิมฉลองวันครบรอบในปลายเดือนหน้า
กิจกรรมงานวันครบรอบมีกำหนดจะจัดขึ้นที่นี่ แต่ตอนนี้แผนการดำเนินงานยังไม่มีออกมาเลย
โรงแรมเซิ่งถังเป็นกลุ่มธุรกิจของกลุ่มบริษัทเซิ่งถังกรุป ที่อวี้หนานเฉิงเข้ามารับตำแหน่งต่อเมื่อตอนที่เขาอายุ 20 ปี แม้ว่าจะดำเนินงานและพัฒนามาได้เพียงสิบปี แต่ก็มีผลงานที่โดดเด่น ตอนนี้เครือโรงแรมเซิ่งถังได้เปิดกิจการขึ้นไปทั่วประเทศ และโรงแรมที่เซิ่งอันหรานทำงานอยู่ในสาขานี้ เป็นโรงแรมเซิ่งถังแห่งแรกที่อวี้หนานเฉิงสร้างมันขึ้นด้วยตัวของเขาเอง
ซึ่งมีความสำคัญสำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่งานฉลองวันครบรอบ 100 ปีของกลุ่มบริษัทจะจัดขึ้นที่นี่ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
“งานฉลองครบรอบ 100 ปีครั้งนี้ เป็นโอกาสดีในการโปรโมตบริษัท…”
ในขณะที่ผู้จัดการระดับสูงกำลังนั่งออกความคิดเห็นกัน แต่เซิ่งอันหรานกลับมานั่งสัปหงกอยู่ในห้องประชุม เธอเป็นแค่ผู้จัดการฝึกหัด ดังนั้นจึงต้องนั่งอยู่ท้ายสุดของแถว เซิ่งอันหรานแกล้งทำเป็นจดบันทึก แต่อันที่จริงแล้วเธอนั่งวาดรูปเต่าลงจนเต็มหน้ากระดาษ
“แผนการพวกนี้มันล้าสมัยไปแล้ว ใครมีความคิดเห็นอย่างอื่นอีกไหม?”
เสียงของอวี้หนานเฉิงดังก้องขึ้นในห้องประชุม
เซิ่งอันหรานยกมือขึ้นมาปิดปาก เธอก้มศีรษะลงและแอบหาวอย่างลับๆ
อีกนานแค่ไหนกว่าที่การประชุมจะจบ หิวข้าวจะตายอยู่แล้ว
“ผู้จัดการเซิ่งแล้วคุณล่ะคิดว่าอย่างไรดี?”
“อืม?” เซิ่งเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางงุนงง เมื่อเห็นทุกคนกำลังจับจ้องมาที่เธอ เธอจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “หา? ท่านประธานอวี้เรียกฉันอย่างนั้นเหรอ?”
อวี้หนานเฉิงมองดูเธอด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ทุกคนได้พูดแสดงความคิดเห็นออกมากันหมดแล้ว ผู้จัดการเซิ่งไม่มีอะไรจะพูดบ้างเลยเหรอ?เรื่องที่เกี่ยวกับงานฉลองครบรอบ 100 ปีน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซิ่งอันหรานก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างมีไหวพริบว่า
“ฉันก็ได้คิดทบทวนเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ค่อยมีไอเดียดีๆ รู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยจะเข้าท่าเหมือนไอเดียของท่านอื่นๆ ขอเวลาฉันอีกหน่อยก็แล้วกัน ฉันจะกลับไปลองคิดหาไอเดียดีๆดูก่อน”
“แล้วนั่นคืออะไร?” อวี้หนานเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับจ้องไปที่สมุดบันทึกที่อยู่ตรงหน้าของเธอ “เมื่อกี้ผมก็นึกว่าคุณจดบันทึกอย่างตั้งใจ เห็นเขียนอะไรตั้งหลายอย่าง มันน่าจะสร้างแรงบันดาลใจได้มากทีเดียว”
“เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบยื่นมือทั้งสองข้างปิดลงที่สมุดบันทึกของตัวเอง
“ลองเอามาให้ผมดูหน่อย”
อวี้หนานเฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ใบหน้าของเซิ่งอันหรานซีดเซียวลงในทั้งที มือของเธอก็แข็งทื่อไปหมด
ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เธอไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเจ้านายได้
ดังนั้นเธอจึงจำเป็นที่จะต้องกัดฟันและส่งมันให้กับเขา ก่อนที่ส่งให้สมุดบันทึกให้กับอวี้หนานเฉิง
เธอได้ทำการพลิกหน้ากระดาษไปสองถึงสามหน้า หลังจากที่ส่งมอบสมุดจดบันทึกเสร็จ เซิ่งอันหรานทำได้เพียงแค่พึมพำอ้อนวอนต่อพระเจ้า
ทันทีที่อวี้หนานเฉิงหยิบสมุดบันทึกจากในมือของเธอ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องไปที่เธอ
“ในสมุดบันทึกนี้คือรายงานการประชุมอย่างนั้นใช่ไหม?”
เซิ่งอันหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มว่า “ก็ฉันบอกไปแล้วไงว่า มันเป็นแค่รายงานการประชุม และมันก็ยังไม่ค่อยมีไอเดียดีๆอะไร”
สีหน้าของอวี้หนานเฉิงรู้สึกสงสัย นิ้วชี้ของเขาดูเหมือนว่ากำลังเตรียมจะยกมุมกระดาษพลิกดูหน้าต่อไป และภายใต้สายตาที่ตื่นตระหนกของเซิ่งอันหราน อวี้หนานเฉิงพลิกกระดาษไปในหน้าที่เธอวาดรูปเต่าไว้เต็มไปหมด
เซิ่งอันหรานยกมือขึ้นมาจับที่หน้าผาก และภาวะนาในใจอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่ตัวเองจะเคยช่วยชีวิตของจิ่งซีไว้ หากว่าเธอวาดรูปเต่าสักตัวสองตัว ก็คงจะไม่ได้รับโทษร้ายแรงถึงขนาดไล่ออกหรอกนะ?ความผิดของเธอก็แค่ไม่ใส่ใจฟังในที่ประชุมเท่านั้นเอง
“ผู้จัดการเซิ่งเป็นคนมีพรสวรรค์ ผมไม่น่ามองข้ามคุณเลยจริงๆ”
คำพูดของอวี้หนานเฉิงเหมือนมีความหมายแอบแฝง
เมื่อทุกคนในห้องประชุมได้ยินคำชมเช่นนั้น ก็ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แต่ เซิ่งอันหรานกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เธอรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
เรื่องที่เธอให้เขาขึ้นไปบนชิงช้าเมื่อเช้านี้คงจะทำให้เขาขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เธอดันมาวาดรูปเต่าในที่ประชุมแล้วถูกเขาจับได้อีก นี่ไม่ใช่เป็นการซวยซ้ำซวยซ้อนหรอกเหรอ ?
“ความคิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและตะวันตกนั้นเป็นไอเดียที่ดีมาก มันดูสอดคล้องกับปรัชญาธุรกิจดั้งเดิมของโรงแรมเซิ่งถัง ดูเหมือนว่าผู้จัดการเซิ่งจะทำงานอย่างเป็นหนัก”
น้ำเสียงอันสุขุมของอวี้หนานเฉิงดังก้องขึ้นอยู่ในห้องประชุม
สีหน้าของเซิ่งอันหรานเปลี่ยนไปในทันที เธอรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
อะไรคือการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและตะวันตก? เธอเขียนอะไรลงไป?
“เนื่องจากแต่ล่ะท่านก็ยังไม่มีไอเดียดีๆอะไร และตอนนี้ก็ยังไม่มีแผนดำเนินงานที่ดีสักเท่าไหร่” อวี้หนานเฉิงปิดสมุดบันทึกลงแล้วยื่นส่งให้กับเซิ่งอันหราน
“ถ้าอย่างนั้น งานเฉลิมฉลองครบรอบ100 ปีของบริษัทก็มอบหมายให้ผู้จัดการเซิ่งเป็นคนจัดการแล้วกัน”
หัวของเซิ่งอันหรานแทบจะระเบิดออกมา
มันหมายความว่าอย่างไร? ฉันมีไอเดียอะไรอย่างนั้นเหรอ? แล้วฉันมีแผนการดำเนินงานอะไรในหัวบ้างล่ะ?
“ไม่ค่ะ ไม่น่าจะได้ ฉันไม่มีประสบการณ์ และฉันก็ไม่เหมาะที่จะทำงานนี้”
“ประสบการณ์สามารถฝึกฝนกันได้ แต่ความคิดดีๆนั้นไม่สามารถฝึกฝนได้ ผมคิดว่าทุกท่านคงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
เมื่ออวี้หนานเฉิงถาม ทุกคนก็ส่ายหน้าไปมา
แน่นนอนว่าทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมย่อมไม่กล้ามีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่จะพบบ่อยนักที่อวี้หนานเฉิงยกย่องและชื่นชมใครแบบนี้ พวกเขาล้วนแต่แสดงความชื่นชมกับเซิ่งอันหรานซะมากกว่า แม้แต่อาจารย์ที่สอนงานเธอยังมีท่าทางดีใจออกนอกหน้า เซิ่งอันหรานเองก็แสดงออกถึงความดีใจไปตามๆทุกคนในที่ประชุม
หลังจากเสร็จการประชุม ทุกคนก็แยกย้ายกันเดินออกไป เซิ่งอันหรานเดินไล่ตามอวี้หนานเฉิงออกไปจากโรงแรม “ท่านประธานอวี้ รอเดี๋ยวค่ะ ”
“มีเรื่องอะไร?”
“เอ่อ” เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว “ทำไมคุณถึงได้ปล่อยให้ฉันเป็นคนวางแผนจัดเรื่องงานเฉลิมฉลองวันครบรอบ 100 ปีครั้งนี้ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น อวี้หนานเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่ได้พูดในที่ประชุมไปแล้วเหรอ? คุณหูไม่ดี?สิ่งที่คุณจดบันทึกไว้มันมีประโยชน์มาก ผมคิดว่ามันเหมาะกับธีมของการเฉลิมฉลองครบรอบ100 ปีในครั้งนี้”
“ไม่ใช่นะคะ สมุดบันทึกของฉันเล่มนั้น…”
“สมุดบันทึกเล่มนั้นของคุณ ถ้าไม่ใช่คุณเป็นคนเขียน แล้วใครเป็นคนเขียนล่ะ” อวี้หนานเฉิงจ้องไปที่เซิ่งอันหรานด้วยความสนใจ “ถ้าหากว่าผู้จัดการท่านอื่นที่เข้ามาร่วมในการประชุม รู้ว่าคุณกำลังวาดภาพเต่าตลอดการประชุม คุณคิดว่า คุณยังสามารถทำงานอยู่ที่นี่ได้ต่อไปหรือเปล่า?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ เซิ่งอันหรานตระหนักได้
เซิ่งอันหรานเปล่งเสียงพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ฉัน… แน่นอนว่าฉัน จดบันทึกเอกสารการประชุม”
“อย่างนั้นก็ดี ผมหวังว่าวันพรุ่งนี้ก่อนเวลาเลิกงานผมจะได้เห็นแบบร่างการดำเนินงานฉบับแรกบนโต๊ะทำงาน”
“พรุ่งนี้?”
“ไม่ได้เหรอ? การทำงานของคุณคงจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับเต่าหรอกนะ”
“ได้ค่ะได้ค่ะ…”
เมื่อเซิ่งอันหรานเดินออกจากตรงนั้นไป โจวฟังที่เดินตามอวี้หนานเฉิงอยู่ทางด้านหลังและพวกเขาก็กำลังจะกลับไปที่กลุ่มสำนักงานใหญ่ ได้ถามอวี้หนานเฉิงขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านประธานอวี้ ทำไมคุณถึงได้มอบภารกิจงานวันเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีให้กับผู้จัดการ เซิ่งอย่างกะทันหันแบบนี้ล่ะครับ? ช่วงทดลองงานของเธอยังไม่สิ้นสุด เพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพคงจะยุ่งมากน่าดู…”
โจวฟังยังพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ประสิทธิภาพ? งานเฉลิมฉลอง100 ปี?
“ท่านประธานอวี้ คุณกำลังช่วยผู้จัดการเซิ่งอยู่ใช่ไหมครับ?”