คนที่มีพลังอำนาจมากที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันประเมินพลังที่มองไม่เห็นนี้ทันที และลงเอยด้วยบทสรุปที่ต่างก็ไม่มีใครพอใจนัก ในตอนนั้นเอง มีคนจำนวนมากเดินเรียงแถวเข้ามาในห้องโถง ซึ่งคนที่สะดุดตาที่สุดก็คือหญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น เสื้อคลุมของนางแสดงให้เห็นว่านางเป็นไฟเตอร์ เสื้อนั้นถูกออกแบบอย่างประหลาดด้วยการดีไซน์ที่แสดงถึงความดุร้ายทุกชนิด เครื่องแต่งกายของนางก็แปลกตาเช่นกัน มันไม่ได้ดูหรูหราเป็นพิเศษนักในด้านวัตถุดิบและเครื่องประดับ ทว่าการปรากฏตัวของนางดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องนี้ได้ในพริบตาราวกับว่านางเป็นราชาแห่งเหล่าอสูร
หญิงสาวมีสัดส่วนที่ดีและมีรูปร่างผอมบาง ผิวแทนเล็กน้อยของนางถึงแม้ไม่ได้สวยงามที่สุดแต่มันก็ดูเปล่งประกาย ผมสีเข้มเกือบดำยาวสลวยถึงเอวนั้นปกคลุมไหล่ทั้งสองอยู่หลวม ๆ มันถูกถักเป็นเปียประมาณ 7–8 ช่อ และประดับด้วยกระดูก ไข่มุก ฟันอสูร และเครื่องประดับอื่น ๆ อีกมากมาย
นี่เป็นความงดงามทางภายภาพ เป็นการผสมผสานของความโดดเดี่ยวและความก้าวร้าวของยุคโบราณที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เส้นสีขาวสองเส้นที่วาดอยู่บนใบหน้าข้างซ้ายของนางนั้นเปล่งรัศมีออร่าความดุร้ายป่าเถื่อนที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องลืมไม่ลง มันเป็นเสมือนเพลนและเทือกเขาที่ไร้ขอบเขต แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ และนั่นทำให้ผู้ทรงพลังทั้งหลายถึงกับทำหน้าบูดเบี้ยว พวกเขารับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่แค่เครื่องประดับทั่วไปทว่าก็ไม่สามารถมองเห็นหรือสรุปได้เช่นกันว่านี่เป็นรูนหรือเป็นเพียงแค่หนึ่งในรูปสลักบูชาที่มีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในทวีปนี้ แต่ไม่ว่ามันคืออะไร หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
นางเป็นหญิงสาวที่มีท่าทางที่สง่างามคนหนึ่ง ทว่าย่างก้าวของนางไม่ได้เบาเลย ทุกย่างก้าวของนางทำให้ทั้งห้องโถงสั่นสะเทือนราวกับว่าเป็นก้าวเดินของอสูรโบราณที่มีน้ำหนักกว่าหลายร้อยตัน ! ไม่ใช่ก้าวเดินของหญิงสาวร่างบางคนหนึ่ง และแรงสะเทือนเหล่านี้ย่อมไม่ได้มาจากเหล่าคนรับใช้ข้างหลังนางอย่างแน่นอน — เพราะจังหวะของการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นควบคู่ไปกับทุก ๆ ก้าวเดินของนางคนเดียวเท่านั้น ในเวลานี้ ขุนนางทุกคนล้วนแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา บางคนแสดงความไม่พอใจที่นางมีท่าทีเมินเฉยต่อทุก ๆ คนที่นี่ ขณะที่บางคนรู้สึกหลงใหลนาง อย่างไรก็ตาม เมื่อการจ้องมองเริ่มจะเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดในดวงตา วิสัยทัศน์การมองเริ่มเบลอและบ้างก็มีน้ำตาไหลออกมา เหล่าคนรับใช้ส่วนตัวของนางเตรียมพร้อมจะโจมตี ทว่าผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นระดับหัวหน้าได้หยุดพวกเขาไว้
ทันใดนั้น ชายชราร่างเล็กที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเหล่าคนรับใช้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งของนาง การมาถึงของเขาเสมือนเป็นการฝ่าทะลุหมอกที่ปกคลุมมายังการมองเห็นของทุกคน เขามีดวงตาสีเหลืองอำพันที่ดูหมอง ๆ และดูแก่ชรามากจนเหมือนจะเดินไม่ได้ เครื่องแต่งกายของเขาคือเสื้อคลุมเมจที่แปลกตาทว่าหรูหรา มีขนนกสีสว่างติดอยู่บนศีรษะของเขา และเขาสวมสร้อยคอที่ทำจากวัสดุที่แตกต่างกันอย่างน้อย 10 เส้นเรียงรายอยู่บนลำคอที่ดูราวกับกิ่งก้านที่เหี่ยวเฉาจนผู้คนกังวลว่ามันจะแตกหักลงหากรับน้ำหนักมากเกินไป
ชายชราถือไม้เท้าที่ทำจากกิ่งไม้ 3 กิ่งไว้ในมือ เห็นได้ชัดว่าผ้าและหนังอสูรที่ผูกพวกมันเอาไว้ถูกผูกอย่างลวก ๆ ไม่สม่ำเสมอ มีรูปงูพิษขดตัวถูกสลักไว้ด้านบน และมีฟันกับกระดูกของอสูรห้อยเป็นเชือกอยู่ด้วย
ชายชราตามหลังหญิงสาวมาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่านางเดินช้าหรือเร็วมากเพียงใดก็ดูเหมือนว่าเขาจะเดินได้เร็วเท่ากัน เขาเดินโซเซราวกับพร้อมที่จะล้มลงและตายไปตอนไหนก็ได้ทว่านั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้น เขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่แรก มีเพียงแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นเขา ทว่าตอนนี้เขาแทรกแซงเข้าไปในการมองเห็นและผลักภาพของหญิงสาวนั้นออกไปจากความคิดของผู้ที่มองดู ใครก็ตามที่ต้องการพุ่งความสนใจไปที่หญิงสาว ใบหน้า เอว หน้าอก และบั้นท้ายของนางนั้น ตอนนี้ได้เห็นแต่เพียงภาพใบหน้าที่เหี่ยวแห้งของชายชราและฟันสีเหลืองเกือบดำของเขาเท่านั้น !
ท้ายที่สุด ผู้คนนับสิบก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มแตกฮือหรือสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แม้กระทั่งผู้ที่ทรงพลังก็เป็นไปด้วยเช่นกัน ใช่ว่าจะไม่มีผู้มีอิทธิพลท่ามกลางคนที่ตื่นตกใจเหล่านั้น แต่ช่วงเวลาความสับสนวุ่นวายนี้มันก็สั้นมากราวกับไม่ได้เกิดขึ้น และใช้เวลาเพียงไม่นาน ผู้คนก็ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย สถานการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้คนกลับไปรวมตัวกันที่จุดประมูลสินค้าอีกครั้งและทำในสิ่งที่พวกเขาต้องทำ ที่นี่คือดีพบลู ไม่ใช่ดินแดนของพวกเขา พลังที่ชายชราคนนั้นแผ่ออกมาแสดงให้เห็นแล้วว่าหญิงสาวไม่ใช่คนที่พวกเขามีสิทธิ์ข้องเกี่ยวด้วย ทุกคนยิ้มออกมาและเปลี่ยนใจ มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย พวกเขาเลือกที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ก่อนจะลงมือทำอะไรมากไปกว่านี้
ส่วนพวกคนโง่เขลาที่รีบร้อนส่งเสียงดังออกมาก็น่าจะกลายเป็นเนื้อสับไปเสียจริง จะได้ไม่ต้องเข้ามาอยู่ในงานประมูลของดีพบลูนาน ๆ จนเกิดความวุ่นวายขนาดนี้
ความจริงแล้ว นี่ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนซะทีเดียว ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังคงศึกษาคุณภาพและตั้งกลยุทธ์การเสนอราคาของสินค้าประมูลอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด เพราะสำหรับพวกเขานั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด บางคนเพ่งความสนใจกับสิ่งตรงหน้ามากซะจนไม่มีอะไรมากระทบได้ ขณะที่บางคนอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอุปสรรคของช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของตัวพวกเขาเองกับผู้ที่มาใหม่
สตีเว่นอยู่ในกลุ่มหลัง เขายืนอยู่ตรงหน้าแผ่นหนังของมังกรไฟและกำลังเขียนตัวเลขทีละตัวลงไปอย่างกระฉับกระเฉงด้วยปากกาของเขาเอง ดูเหมือนว่ายังไม่มีคนสำคัญคนใดมีท่าทีสนใจในหนังมังกรอันนี้ต่อจากเขา และแม้จะมีคนที่อยากแย่งชิงซึ่งก็คงเป็นคนที่มีอำนาจ แต่การที่ราคาประมูลตอนนี้อยู่ที่ 1,300,000 เหรียญ มันก็ถือว่ายากสำหรับคู่แข่งบางคนแล้ว อย่างไรก็ตาม ราคานี้ยังคงไกลจากจำนวน 3,000,000 เหรียญที่เขาพร้อมจะยอมจ่ายอีกมาก และพวกระดับสูงจริง ๆ ก็ยังไม่เริ่มลงมือประมูลในตอนนี้เช่นกัน
ขณะที่สตีเว่นเขียนเลข 3 อยู่นั้น เขามองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนที่เสนอราคาไว้ก่อนเขาได้จากหางตา เขายิ้มออกมาเล็กน้อยขณะที่กำลังเขียนเลข 0 ตัวแรก และตั้งใจเขียนให้กลมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยังไงเขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนเขาจะเขียนเลข 0 ตัวที่สี่ได้สำเร็จ เขาสัมผัสได้ถึงลมกระโชกแรงลุกโชนในอากาศ มันเต็มไปด้วยออร่าความหดหู่อ้างว้างลอยอยู่ข้าง ๆ ตัวเขา รูปร่างสง่างามปรากฏกายขึ้นข้าง ๆ เขาอย่างช้า ๆ และก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนองอะไรไปนั้น ร่างของเขาก็กระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศราวกับถูกช้างแมมมอธพุ่งเข้าชนอย่างเต็มแรง ภาพที่เห็นขาวโพลนไปหมด และหูของเขาก็ได้ยินเพียงแต่เสียงคำรามของลมและอสูรที่ดุร้าย
หลังจากการพุ่งชนนั้น ความเจ็บปวดจากการปะทะมากพอที่จะปลุกให้สตีเว่นตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความสับสน ขณะที่ลูกน้องของเขารีบเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น เคลริคก็รีบร่ายคาถาไร้เวลาเพื่อรักษาศีรษะให้เขา และหลังจากนั้น เขาก็เริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาเกือบกระอักเลือดออกมา หญิงสาวเยาว์วัยเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์แสดงสินค้าและดึงหนังมังกรแผ่นนั้นออกมาเขย่าอย่างทรงพลัง นางขัดถูอยู่สองสามครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวเลย เนื้อมันนิ่มมากเลยล่ะ ! บังเอิญข้าเอาเสื้อผ้ามาน้อยไปชิ้นหนึ่งพอดีด้วย” พูดจบนางก็วางแผ่นหนังมังกรไฟไว้บนไหล่และมองไปข้าง ๆ ราวกับว่านั่นคือผ้าคลุมไหล่ที่หรูหรา
วอริเออร์ผู้แข็งแรงกำยำที่อยู่ข้างหลังนางก้มหัวลงและพูดเตือนข้าง ๆ ใบหูของหญิงสาว “ฝ่าบาท เงินพะย่ะค่ะ”
หญิงสาวนึกขึ้นได้และลูบหัวตัวเองเบา ๆ ก่อนรีบพูดออกมาอย่างขอโทษขอโพย “โอ้ ! ข้าคงลืมไปเลยหากเจ้าไม่เตือนข้า ! ชาวนัวแลนด์นับถือเงินที่สุด ข้าต้องจำไว้แล้วล่ะ ขอบใจมากสตีลร็อค ใครเป็นเจ้าภาพงานประมูลครั้งนี้ล่ะ ?”
หญิงสาวขึ้นเสียงในประโยคสุดท้ายทั้งที่ไม่จำเป็นเลย เพราะว่าคนแคระเกรย์นั้นรีบเร่งฝีเท้าเข้ามาด้วยความเร็วแสงตั้งแต่วินาทีที่มือของหญิงสาวสัมผัสลงบนแผ่นหนังนั้นแล้ว และในขณะนี้เขาก็ยืนรออยู่ข้าง ๆ นางนั่นเอง ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมที่ได้จากการใช้ค้อนทุบตีและสกัดแร่ตลอดหลายปีของแบล็คโกลด์นั้น เขาถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าออร่าของหญิงสาวผู้นี้เป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดที่เขาเคยพบเจอมาในชีวิต มันทรงพลังมากกว่าของชารอนซะอีก ! กลิ่นที่เข้มข้นของทองคำนั้น — ไม่สิ กลิ่นที่มีมูลค่ามากกว่าทองคำนั้นแทบทำให้เลือดของเขาพลุ่งพล่านไปจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นคนแคระเกรย์เข้ามาใกล้ หญิงสาวก็หยิบก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าหนังสัตว์ตรงเอวของนาง และโยนไปให้คนแคระเกรย์โดยไม่เหลือบมองด้วยซ้ำก่อนจะพูดขึ้นว่า “นี่คือ… เงินสำหรับแผ่นหนังมังกร”
ก้อนหินนี้มีสีเทาและไม่โดดเด่น ทว่าขณะที่มันถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ มันเกิดประกายสีเงินจำนวนมากและทิ้งร่องรอยริ้ว ๆ เป็นทางยาวสีเงินในท้องฟ้าราวกับเส้นใยของใยแมงมุม
วินาทีนั้น ทั้งร่างของคนแคระเกรย์แข็งทื่อไปหมดขณะที่เอื้อมมือไปรับหินก้อนนั้น ท่าทางของเขาแสดงออกถึงความกังวล ระมัดระวัง และเคร่งขรึมเช่นเดียวกับเวลาที่เขาทำแบบฟอร์มรายงานการเงินทั้งหมดของดีพบลูทุก ๆ สิ้นเดือน อย่างไรก็ตาม กล้ามเนื้อแขนของเขาเหมือนกำลังเล่นตลก มันแข็งทื่อราวกับเป็นอัญมณีใต้ดิน เมื่อก้อนหินสัมผัสบนฝ่ามือของเขา นิ้วมือทั้งหมดกลับไม่ยอมฟังคำสั่งของเขาเอาซะเลยจนทำให้เขาพลาดปล่อยให้ก้อนหินร่วงลงไปทันที คนแคระเกรย์ร้องออกมาอย่างน่าเวทนาก่อนทรุดตัวลงกับพื้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหินก้อนนั้น เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อยื่นมือออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดเขาก็สามารถคว้าก้อนหินไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้น
สีหน้าของผู้คนหลายสิบคนเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่ได้ฟังคนแคระเกรย์พูดออกมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่มันเบย์สเลซ… สไปเดอร์คริสตัล มันคือสไปเดอร์คริสตัลจริง ๆ !”
สิ่งที่คนแคระเกรย์ถืออยู่ในมือคือหนึ่งในวัตถุดิบที่จำเป็นในการสร้างรูนระดับ 4 มันสามารถขายได้ทุกที่ในทวีปด้วยราคา 5-6 ล้านเหรียญ ซึ่งสำหรับก้อนนี้ จำนวนและความยาวของเส้นที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่านี่คือคริสตัลคุณภาพสูงที่มีมูลค่าเกือบสิบล้าน ! ความรู้สึกของการถือเงินเกือบสิบล้านไว้ในมือนั้นมากพอที่จะทำให้คนแคระเกรย์รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ไม่ใช่คนแคระเกรย์ทุกคนที่ในชั่วชีวิตหนึ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสเงิน 10,000,000 เหรียญในมือ !
และด้วยเหตุนี้เอง หลายคนจึงจับจ้องไปที่กระเป๋าตรงเอวของหญิงสาว ทุกคนต่างเห็นว่านั่นคืออุปกรณ์ห้วงมิติ ทว่าไม่มีใครบอกได้ว่าในนั้นบรรจุอะไรได้มากแค่ไหน แม้จะเป็นแค่กระเป๋าหนังธรรมดา ๆ แต่การที่มันบรรจุเบย์สเลซไว้ได้ ก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนหายใจไม่ออกแล้ว แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะเป็นอุปกรณ์ห้วงมิติในรูปแบบกระเป๋าหนังธรรมดา ๆ ก็ตาม !
อันที่จริงแล้วในตอนที่หญิงสาวเอาหนังมังกรวางไว้บนไหล่ได้ไม่นานนั้น สตีเว่นได้เอื้อมออกไปจับหนังมังกรที่อยู่บนไหล่ของนางและตะโกนด้วยเสียงแหบพร่า “หนังมังกรแผ่นนี้มัน…” แต่ทว่าเมื่อนางโยนสไปเดอร์คริสตัลออกมา คำพูดที่เหลือก็จุกอยู่ในลำคอของเขา เขาอ้าปากค้างก่อนเลือกที่จะหยุดพูดไป และแม้ว่าเขาจะพยายามอ้าปากพูดต่ออีก แต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้ เขารู้ดีว่าแม้เขาจะยอมขายเลือดมังกร ก็ไม่มีทางที่เขาจะได้แม้แต่ผงของเบย์สเลซ มันเป็นการแข่งขันในอีกระดับหนึ่งซึ่งเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมด้วยซ้ำ หากเขาต้องการคัดค้าน เหตุผลเดียวที่เขาจะมีนั้นก็คือการที่เขากระเด็นขึ้นฟ้าเพราะฝีมือของหญิงสาวผู้นี้
หญิงสาวดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และขมวดคิ้ว นางหันกลับไปถามบาร์บาเรียนวอริเออร์ของนาง “สตีลร็อค ข้าเดินชนเข้ากับอะไรรึเปล่า ?”
สตีลร็อคก้มร่างใหญ่โตที่สูงเกือบ 3 เมตรลง และตอบอย่างยิ้มแย้ม “แค่สิ่งเล็ก ๆ ที่ขวางทางท่านเท่านั้น”
เขามองหน้าสตีเว่นและเหล่าลูกสมุนของเขาก่อนพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “แค่กลุ่มคนที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรอก ท่านเป็นถึงนักเรียนของท่านชารอน…”
เมื่อถึงประโยคนี้ สตีลร็อคมองไปรอบ ๆ และจงใจเปล่งเสียงให้ดังขึ้น เขาออกเสียงเน้นทุกพยางค์อย่างชัดเจนว่า “ผู้ซึ่งจ่ายเงินด้วยตัวเอง ! ”