เมื่อเห็นภาพนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แล้วจึงถามว่า “มีอะไรหรือ หมอหลวงหลิว? ชีพจรเต้นผิดปกติหรือ”
“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ… บางทีด้ายทองอาจจะขาดเองก็ได้” หมอหลวงหลิวตอบพลางตรวจสอบด้ายทองที่เขาใช้จับชีพจรไปพร้อมกัน แปลกจริงๆ ด้ายไม่ได้ขาด แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อเห็นสีหน้าของหมอหลวงหลิว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ว่าเรื่องไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
หากพิจารณาจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นางก็รู้ได้ทันทีว่าความสงสัยและความสับสนที่อยู่บนใบหน้าของหมอหลวงหลิวจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับทารกที่อยู่ในท้องของนางอย่างแน่นอน
แม้จะพยายามคิดหัวแทบแตก แต่หมอหลวงหลิวก็ยังไม่เข้าใจ เขาจึงบอกกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า “หากพระชายาสามไม่ขัดข้อง กระหม่อมขออนุญาตจับชีพจรของท่านโดยตรงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ในสมัยนั้นมีข้อกำหนดอยู่มากมายหากหมอหลวงต้องการตรวจสุขภาพผู้หญิงที่อยู่ในวังหลัง
การจับชีพจรผ่านทางด้ายทองที่เชื่อมระหว่างหมอหลวงกับคนไข้ก็เป็นหนึ่งในข้อกำหนดนั้น
หมอหลวงหลิวกล้าถามเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นนี้เพราะเขารู้ว่าพระชายาแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยเห็นมาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือซ้ายออกไปให้เขาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด หมอหลวงหลิวตรวจต่อเถิด”
หมอหลวงหลิวพยักหน้า เขาจับชีพจรนางอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นกังวล สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้นอย่างมาก ดวงตาของเขาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น ลูกตาของเขาสั่นระริกด้วยความไม่เชื่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกได้ว่าเขากำลังพยายามข่มความตกใจเอาไว้อย่างเต็มที่ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะมีหมอหลวงและนางกำนัลคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ด้วย หมอหลวงหลิวไม่ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องชีพจรนี้ในทันที เขากลับมองไปทางซ้ายทีขวาที
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนเข้าใจคนมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นอาการของเขา นางก็โบกมือสั่งให้นางกำนัลออกไป อีกทั้งยังคิดหาข้ออ้างดีๆ ส่งหมอหลวงคนอื่นๆ กลับไปอีกด้วย สุดท้ายจึงเหลือหมอหลวงหลิวอยู่ที่นี่กับนางเพียงคนเดียว
เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว หมอหลวงหลิวจึงพยายามเรียบเรียงคำพูดของตัวเองอย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พระชายา ชีพจรของทารกในครรภ์แปลกประหลาดนักพ่ะย่ะค่ะ… เด็กอายุสองเดือนไม่น่าจะมีชีพจรเช่นนี้ เมื่อวันก่อนตอนที่กระหม่อมจับชีพจรท่าน ก็ยังไม่ได้เป็นเช่นนี้ ชีพจรของท่านเปลี่ยนไปอย่างมากภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน หากว่ากันตามหลักการแล้วทารกในครรภ์ไม่ควรจะเจริญเติบโตได้รวดเร็วถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ เขาไม่เหมือนเด็กอายุสองเดือน แต่เหมือนกับเด็กที่มีอายุครรภ์ห้าเดือนมากกว่า กระหม่อมคิดไม่ออกเลยพ่ะย่ะค่ะว่าทำไมเขาถึงเติบโตได้เร็วถึงเพียงนี้ กระหม่อมคงต้องขออนุญาตเสียมารยาทเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังพ่ะย่ะค่ะ สมัยที่กระหม่อมยังเป็นหมอฝึกหัดอยู่ กระหม่อมเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านติดชายป่าเล่าว่าบางครั้งจะมีผู้หญิงตั้งครรภ์อย่างกะทันหัน และไม่สามารถระบุได้ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร เด็กในท้องดื้อมากจนไม่สามารถเอาออกได้ แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะการเจริญเติบโตของทารกเหล่านั้นยังรวดเร็วเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย พวกเขาสามารถดูดซับสารอาหารในปริมาณเท่ากับที่ทารกปกติต้องการหนึ่งเดือนได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยปกติแล้วผู้หญิงพวกนี้จะเริ่มเสียสติ และจะถูกทารกพวกนั้นดูดพลังชีวิตจนหมดตัว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและสิ้นใจตายในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ อาจารย์ของกระหม่อมบอกว่าสิ่งที่อยู่ในท้องของพวกนางคือครรภ์มารพ่ะย่ะค่ะ ผู้หญิงที่มีอาการเช่นนี้มีแต่คนที่ท้องลูกของปีศาจอยู่เท่านั้น” หมอหลวงหลิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับบอกว่า “กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ท่านกลัวด้วยการเล่าเรื่องนี้นะพ่ะย่ะค่ะ แต่ชีพจรของท่านคล้ายกับชีพจรที่กระหม่อมเคยจับได้เมื่อตอนนั้นมากเกินไป กระหม่อมจึงเป็นห่วงว่า…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยุงหมอหลวงหลิวให้ยืนขึ้น แล้วปลอบเขาว่า “หมอหลวงหลิว ท่านไม่จำเป็นต้องห่วงสุขภาพร่างกายของข้าหรอก แต่ข้ามีเรื่องจะขอให้ท่านช่วยอยู่เรื่องหนึ่ง”
“พระชายา ท่าน…” หมอหลวงหลิวตระหนักได้ว่าพระชายาเองก็อาจจะรู้อยู่แล้วว่าลูกของนางแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “บอกกระหม่อมมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยแผ่วเบา รอยยิ้มของนางยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าขณะที่นางบอกว่า “ลูกของข้าเพียงแค่กินเก่งกว่าปกติเท่านั้น เขาปกติดีทุกอย่าง ท่านเองก็จับชีพจรของข้าดูแล้ว ดังนั้นท่านย่อมรู้ว่าเขาเป็นเด็กที่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี หากท่านเข้าเฝ้าองค์ชายหรืออดีตฮ่องเต้ ขอให้ท่านช่วยบอกพวกเขาตามนี้ด้วย”
น้ำเสียงของหมอหลวงหลิวเครียดขึง เขาบอกกับนางว่า “แต่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ หากทารกในครรภ์ของท่านยังเจริญเติบโตต่อไปเช่นนี้ ร่างกายของท่านอาจจะรับไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าสบายดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบท้องตัวเองแล้วจึงเสริมขึ้นว่า “เขาเป็นเด็กดีว่าง่าย อย่างไรก็ตาม หมอหลวงหลิว ท่านต้องต้องจำไว้ว่าเขาเป็นเด็กธรรมดา ยิ่งกว่านั้นท่านไม่จำเป็นต้องสงสัยในสายเลือดของเขาแต่อย่างใด เขาเป็นคนของราชวงศ์และไม่ใช่ลูกของปีศาจอย่างแน่นอน”
หมอหลวงหลิวลอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ ในใจ เขารู้ว่าพระชายาตั้งใจที่จะเก็บเด็กคนนี้เอาไว้
เขาเคยเห็นผู้หญิงในวังหลังมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ทุกคนต่างก็เห็นลูกในท้องเป็นเครื่องต่อรอง และหลายคนก็ไม่เคยลังเลที่จะเอาพวกเขาออกหลังจากรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พวกนางรู้ว่าเด็กในท้องเป็นเด็กผู้หญิง อนุภรรยาเหล่านั้นจะแสร้งทำเหมือนตัวเองถูกคนอื่นใส่ร้ายเพื่อให้ได้รับความสงสารแม้เพียงน้อยนิดจากฮ่องเต้
หลายปีก่อน แม้แต่ฮองเฮาก็ยังคิดที่จะเอาองค์ชายสามออกเพราะหัวใจของเขาอยู่ในตำแหน่งไม่เหมาะสม
แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขาบอกกับคนนอก
ความจริงแล้วหมอหลวงในวังหลวงต่างก็รู้ว่าตอนที่ฮองเฮาตั้งท้ององค์ชายสาม จู่ๆ นางก็อยากเสวยเนื้อไก่มากอย่างผิดปกติ นางเสวยเนื้อพวกนั้นอย่างหิวโหยราวกับคนถูกผีสิง ทุกคนที่เห็นภาพนั้นต่างก็ตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นองค์ชายสามก็ประสูติ และวังหลวงก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
แต่เพราะเรื่องนี้ ฮองเฮาจึงเกลียดชังองค์ชายสาม และความรู้สึกนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
หมอหลวงหลิวคิดว่าฮองเฮาคงไม่ต้องการองค์ชายสามมาตั้งแต่แรก
คนเช่นพระชายาสามที่ยังต้องการเก็บเด็กเอาไว้อย่างสุดชีวิตทั้งที่พบว่าเขามีบางอย่างผิดปกตินั้นนับว่าหายากอย่างยิ่งในวังหลัง
ยิ่งกว่านั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่การคลอดเด็กคนนี้จะทำให้ชีวิตของพระชายามีอันตราย…
หมอหลวงหลิวอายุมากแล้ว แต่เขาก็เป็นคนใจดีและไม่เคยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนนอก หลังจากได้ยินการตัดสินใจของนาง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาจริงๆ แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของเขา จากนั้นจึงเอ่ยว่า “หมอหลวงหลิว ข้าสบายดีจริๆ เด็กคนนี้ต้องการพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาย่อมแข็งแรงดีหากเราสามารถมอบมันให้กับเขาได้อย่างเพียงพอ” แต่เห็นได้ชัดว่านอกจากพลังวิญญาณแล้ว เด็กคนนี้ยังต้องการสิ่งอื่นอีกด้วย แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร นางรู้สึกได้เพียงว่าในท้องของนางมีพลังปราณปะปนอยู่ และมันทำให้นางรู้สึกเหมือนกับว่าทารกคนนี้กำลังออกไปหาอาหาร
“ถ้าเขาต้องการพลังวิญญาณ…” หมอหลวงหลิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อว่า “เราบอกองค์ชายจะไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปกลางคัน นางเคาะนิ้วเป็นจังหวะลงกับโต๊ะไม้พลางตอบว่า “รออีกสักระยะก็แล้วกัน ข้าจะบอกเขาเองหลังจากคิดหาวิธีพูดที่เหมาะสมได้แล้ว” นางจะบอกเรื่องนี้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแน่นอน แต่นางรู้จักผู้ชายคนนั้นดีกว่าใคร และเขาย่อมไม่ลังเลที่จะกำจัดสิ่งที่มีอันตรายต่อนางทันที ดังนั้นนางจึงไม่อยากให้เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเด็กในท้องของนางตั้งแต่เขายังไม่คลอด
นอกจากนั้น มันก็เหมือนกับที่นางพูดเอาไว้ นางไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด
อย่างไรในมิติสวรรค์ก็มีสตรอว์เบอร์รีเพียงพอที่จะให้นางกินต่อได้อีกเป็นเวลานาน
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หมอหลวงหลิวไม่ได้ทำการวินิจฉัย และนางเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องในวันนี้นี่เอง นั่นก็คือการที่ร่างของนางไม่หลงเหลือพลังวิญญาณที่จะขับไล่ปีศาจและสัตว์อสูรเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งพลังปราณของนางก็ยังปรับสภาพตามนั้น และอ่อนแอลงเช่นกัน