ตอนที่ 724 หางานให้นักศึกษายากจน
หลังกลับจากกินปิ้งย่าง หลินม่ายโทรหาฟางจั๋วหรานด้วยโทรศัพท์สาธารณะของโรงเรียน โดยบอกว่าเธอสนใจเป็นนักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับ
ฟางจั๋วหรานต้องการเป่าผมให้แห้ง แต่เขาต้องรักษาบุคลิกความเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงต่อหน้าหลินม่าย เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์พังทลาย
หลินม่ายเคยบอกว่าเธอชอบท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่และดูมั่นคงของเขา
เป็นความรู้สึกเดียวกับพ่อหรือพี่ชายคนโต มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอไม่ชอบเขาในฐานะแตงกวาแก่ทาสีเขียว [1] และตกลงแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล
ฟางจั๋วหรานไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นแตงกวาแก่ทาสีเขียว เขามีความสง่าผ่าเผยตามธรรมชาติที่ยากจะต้านทานได้ไม่ใช่หรือ?
ฟางจั๋วหรานพยายามระงับการปะทุของภูเขาไฟในใจ ก่อนถามออกอย่างอ่อนโยน “คุณไม่ได้บอกหรือว่าไม่ชอบการแสดง? ทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”
หลินม่ายบอกเขาว่าตราบใดที่เธอลงทุนในภาพยนตร์เรื่องใหม่ ผู้กำกับโหยวจะแบ่งกำไรให้เธอ 55% โดยมีเงื่อนไขว่าเธอต้องเป็นนักแสดงนำหญิง
เธอยอมรับว่าไม่สามารถทนต่อการล่อลวงเช่นนี้ได้และเกิดความรู้สึกหวั่นไหว
แล้วฟางจั๋วหรานจะทำอะไรได้อีก?
เขาจะห้ามปรามไม่ให้หลินม่ายหาเงินเพิ่มเพราะอ่างล้างหน้าที่บ้านใช้งานไม่ได้หรือ? หรือบอกว่าอากาศร้อนเกินไปนั้นไม่ดี? เขาจำเป็นต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเองหรือเปล่า?
เขาพยักหน้าตอบรับด้วยความลำบากใจ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามมีฉากจูบ เขายอมรับไม่ได้ที่ชายอื่นจะแตะต้องตัวเธอในทำนองนั้น
หลินม่ายรับรู้ได้ถึงความหึงหวงในน้ำเสียงของฟางจั๋วหรานผ่านสายโทรศัพท์
เธอหัวเราะต่อกระซิกและสัญญาว่าจะไม่ถ่ายทำฉากจูบ
ในความจริงฟางจั๋วหรานแทบไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ เพราะหลินม่ายไม่คิดถ่ายทำฉากจูบ
การจูบกับชายอื่นที่ไม่ใช่สามีตัวเอง เธอยอมรับว่าตนเองทำไม่ได้
เธอยังไม่ได้อุทิศตนเองให้แก่งานแสดงถึงขั้นนั้น
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพยายามถามไถ่ฟางจั๋วหรานจากด้านข้าง
เขาจึงบอกว่าหลินม่ายเปลี่ยนใจอยากลองเป็นนักแสดงนำ แล้วในอนาคตเธอจะไม่ทำอีก
จากนั้นคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็พยักหน้าเห็นด้วย
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายโทรกลับไปหาผู้กำกับโหยว โดยบอกว่าเธอจะรับบทนำ แต่ขอไม่ให้มีฉากจูบ หรือฉากวาบหวิวระหว่างนักแสดงนำชายและนักแสดงนำหญิง ทำได้แค่จับมือหรือกอดกันเท่านั้น
ผู้กำกับโหยวรับคำอย่างมีความสุข และเซ็นสัญญากับหลินม่ายในวันเดียวกัน
เพื่อให้ถ่ายทำตรงกับช่วงที่หลินม่ายว่าง ผู้กำกับโหยวจึงกำหนดการถ่ายทำช่วงวันหยุดฤดูร้อนนี้
การทำงานในเป่าเต่าเป็นไปอย่างราบรื่น ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ไม่มีฉากการต่อสู้ ทำให้สามารถถ่ายทำเสร็จภายในเวลาไม่ถึงเดือน
ดังนั้นการถ่ายทำช่วงฤดูร้อนจึงมีเวลาเพียงพอ
ราววันที่ 10 มกราคม หุ้นฮ่องกงพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
เฉินเฟิงโทรบอกข่าวกับหลินม่าย และถามว่าเธอต้องการขายมันหรือไม่
หลินม่ายไม่รู้ว่าตลาดหุ้นฮ่องกงจะแข็งแกร่งต่อไปหรือไม่ในระยะหลัง แต่เวลานี้มันเพิ่มขึ้นมากกว่า 30 เท่าแล้ว
เงินจำนวนห้าแสนของเธอกลายเป็นสิบห้าล้าน นั่นทำให้เธอพอใจมากแล้ว
หลินม่ายไม่ใช่คนโลภมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของโชค เธอยอมรับข้อเสนอทันที และตัดสินใจขอให้เฉินเฟิงขายมัน
เธอขายทิ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นหุ้นไม่กี่ตัวที่เธอซื้อก็ขยับขึ้นในเวลาต่อมา
เฉินเฟิงรู้สึกเสียดายมาก แต่หลินม่ายไม่สนใจ
ความสามารถในการหาเงินสิบห้าล้าน ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์สำหรับการเกิดใหม่ของเธอ
ไม่นานเวลาก็ผันผ่านมาถึงวันที่ 16 มกราคม หลังจากเสร็จสิ้นการสอบครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันหยุดอย่างเป็นทางการ
นักศึกษาส่วนใหญ่ล้วนวางแผนเดินทางกลับบ้านและแทบรอวันหยุดราชการไม่ไหว
วันรุ่งขึ้นหลังจากสอบวันสุดท้ายเสร็จ ทุกคนเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน
นี่เป็นกรณีของนักศึกษาในหอพักของหลินม่าย ยกเว้นเถียนเฟิน
แม้หล่อนจะเก็บข้าวของเช่นกัน แต่หล่อนก็แค่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมห้อง ส่วนข้าวของของหล่อนยังคงอยู่ที่เดิม
หลินม่ายรักษาสัญญาที่มีต่อฟางจั๋วหราน โดยพาเพื่อนร่วมห้องไปกินหม้อไฟที่ร้านเปาห่าวชือสาขาแยกของเธอ เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงถามเถียนเฟินว่า “เธอมีแผนจะออกเดินทางพรุ่งนี้ไหม? ฉันจะได้พาเธอไปขึ้นรถไฟ”
การจราจรในทศวรรษที่ 1980 ไม่สามารถเทียบกับในอีก 2 ถึง 3 ทศวรรษต่อมา การขึ้นรถไฟเดินทางในช่วงวันหยุดฤดูหนาว ฤดูร้อน และเทศกาลฤดูใบไม้ผลิเป็นเรื่องยาก
ไม่ใช่ว่าซื้อตั๋วแล้วจะขึ้นนั่งบนรถไฟอย่างสะดวกสบาย แต่ยังต้องไปเบียดเสียดอย่างหนักเพื่อขึ้นรถไฟอีกด้วย
เถียนเฟินเป็นคนตัวเล็ก หล่อนต้องเบียดเสียดกับคนอื่นขึ้นรถไฟ หลินม่ายจึงรู้สึกกังวลและต้องการไปส่งอีกฝ่าย
แม้หลินม่ายจะมีรูปร่างผอมเพรียว แต่เธอมีพละกำลังมากกว่าที่ตาเห็น
เถียนเฟินยิ้มด้วยความอาย “ฉันไม่ได้วางแผนจะกลับบ้านหรอก ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่ในกานซู ค่าเดินทางไปกลับค่อนข้างแพง การอยู่ที่หอพักจึงประหยัดกว่า”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “เธอไม่ได้ทำงานตลอดวันหยุดฤดูหนาว ทำไมไม่ไปทำงานในร้านซาลาเปาหรือตลาดผักสดของฉันเพื่อหารายได้สักเล็กน้อย เธอสนใจไหม?”
เถียนเฟินพยักหน้ารับอย่างดีใจ “สนใจสิ ฉันไปแน่นอน ฉันยินดีทำทุกอย่างเลย”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันจะจัดโปรแกรมการศึกษาดูงานของเธอให้หลังจากกินหม้อไฟนะ”
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งออกไปกินหม้อไฟกับหลินม่าย
ระหว่างทาง หญิงสาวพูดคุยกันว่าจะสั่งอาหารแพงเมื่อไปถึงร้าน
แต่เมื่อมาถึงร้านเปาห่าวชือสาขาแยก ทุกคนต่างเลือกสั่งของราคาถูก และสั่งเพียงแค่พอกิน
พวกเธอเป็นผู้ใหญ่และเลือกทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีที่เหมาะสม
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะต้อนรับทุกคนอย่างดีเหมือนแขก ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป เราอาจไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้วนะ ไม่ต้องเกรงใจ แค่สั่งอาหารอะไรก็ได้ที่อยากกิน”
เพื่อนร่วมห้องทุกคนหัวเราะ
เหมียวเหมี่ยวหยิบถั่วทอดที่บริกรนำมาบริการเข้าปาก “เธอรวยซะขนาดนี้ เราคงไม่เกรงใจแล้วล่ะ!”
“ใช่แล้ว ตามนั้นเลย!” เพื่อนร่วมห้องคนอื่นพูดเสริม “วันนี้เรามากินอาหารร่วมกันเหมือนครอบครัวใหญ่”
แม้ทุกคนจะพูดอย่างนั้น แต่ไม่มีใครสั่งอาหารเพิ่มอีก
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งเนื้อวัวและเนื้อแกะจำนวนมาก ผ้าขี้ริ้วไก่ อาหารทะเล และอาหารจานอื่นให้พวกหล่อนเป็นการส่วนตัว เพื่อที่พวกหล่อนจะได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ
หลังจากกินหม้อไฟเสร็จ หลินม่ายและเถียนเฟินมาส่งเหมียวเหมี่ยวและคนอื่นด้วยกัน
สถานีรถไฟแน่นขนัดไปด้วยผู้คน หลินม่ายและคนอื่นๆ เป็นกังวล พวกเธออาจไม่สามารถเบียดเสียดผ่านประตูรถไฟเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว
โชคดีที่ชายหนุ่มบางคนจากแผนกเดียวกันมาเห็น พวกเขาและหลินม่ายจึงช่วยกันผลักเพื่อนร่วมห้องเข้าไปผ่านทางหน้าต่างรถไฟ
คราวที่เดินทางออกจากหอพัก ทุกคนล้วนแต่งตัวกันดูดี แต่หลังจากถูกผลักเข้าไปในรถไฟอย่างทุลักทุเล ผมเผ้าของพวกหล่อนก็ยุ่งเหยิงจนน่าขบขัน
หลังจากส่งเพื่อนร่วมห้องแล้ว หลินม่ายและเถียนเฟินเดินทางกลับโรงเรียนด้วยกัน พวกเธอช่วยกันนับจำนวนนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศสื่อสารที่ไม่สามารถกลับบ้านได้เนื่องจากไม่มีเงิน
อย่างไรก็ตามเธอจำเป็นต้องจัดการให้เถียนเฟินทำงานที่ร้านอยู่แล้ว
แทนที่จะจัดการให้กับคนคนเดียว จึงเป็นการดีกว่าที่จะช่วยเหลือนักเรียนยากจนที่เหลืออยู่ในคณะด้วย มันเป็นความช่วยเหลือเล็กน้อยแต่มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนเหล่านี้
ยุคสมัยนี้นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศสื่อสารมีไม่มากนัก นักศึกษาปริญญาตรีมีแค่ 6 รุ่น รวมกันแล้วไม่ถึง 200 คน
แต่กลับมีนักศึกษาที่ไม่กลับบ้านกว่า 20 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากทีเดียว
พูดได้คำเดียวว่า ยุคสมัยนี้มีนักศึกษายากจนจำนวนมาก และพวกเขาไม่มีแม้แต่ค่าเดินทางกลับบ้าน
หากไม่ใช่เพราะเงินเลี้ยงชีพที่รัฐบาลมอบให้ นักศึกษายากจนเหล่านี้อาจไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่านโยบายของประเทศนี้ดีมาก พวกเขาให้โอกาสนักเรียนยากจนที่ตั้งใจทำงานอย่างหนัก เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง
คำว่าครอบครัวยากไร้ให้กำเนิดบุตรชายสูงศักดิ์จะไม่เป็นเพียงตำนานอีกต่อไป
หลินม่ายมีสาขาร้านเปาห่าวชือ 5 แห่ง ซึ่งแต่ละร้านสามารถรองรับพนักงานได้ราว 4 ถึง 5 คน
หลินม่ายจึงเรียกหานักเรียนทั้งหมดที่ไม่ได้กลับบ้าน
บอกกล่าวพวกเขาเกี่ยวกับแผนการที่เธอให้โอกาสพวกเขาได้ทำงานในร้าน และให้พวกเขาลงทะเบียนด้วยความสัมครใจ
ไม่มีนักเรียนคนใดที่ไม่เต็มใจ ทุกคนต่างก็ลงทะเบียนอย่างกระตือรือร้น
หลินม่ายรับกระดาษลงทะเบียนและมอบหมายให้ร้านค้าที่กำหนด
ชายหนุ่มคนหนึ่งถามอย่างกังวล “ถ้าเราไปกันแบบนี้ แล้วผู้จัดการร้านไม่รู้จักเรา เขาจะให้พวกเราทำงานในร้านหรือ?”
นักเรียนคนอื่นๆ หัวเราะ “ผู้จัดการจะมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าของร้านอย่างหลินม่ายได้อย่างไร? หากผู้จัดการไม่กล้าให้เราทำงานนอกเวลา เราจะโทรหาคุณหลินเพื่อตำหนิเขาด้วยกัน!”
หลินม่ายกล่าวคำกับชายหนุ่มที่เป็นกังวลด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ฉันได้บอกกล่าวผู้จัดการเหล่านั้นแล้ว เมื่อไปถึง แค่นำบัตรประจำตัวนักศึกษาให้ผู้จัดการดูเพื่อเป็นการยืนยันตัวตน”
ชายหนุ่มคนนั้นได้ยินก็โล่งใจ
นอกจากนี้นักศึกษายากจนจากคณะอื่นได้ยินว่าหลินม่ายจัดหางานให้เพื่อนร่วมชั้นทำงานที่ร้านในช่วงวันหยุดฤดูหนาว พวกเขาจึงมาหาหลินม่ายเพื่อขอทำงานให้เธอด้วย
งานไม่ได้มีมากมายขนาดนั้นและไม่ต้องการคนเพิ่มเติม หลินม่ายทำได้เพียงปฏิเสธพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเธอจะเต็มใจช่วยเหลือผู้อื่น แต่เธอก็จะทำในสิ่งที่เธอทำได้เท่านั้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
[1] 老黄瓜刷绿漆 แตงกวาแก่ (เก่า) ทาสีเขียว หมายถึง คนที่ทำตัวอ่อนกว่าวัย หรือทำตัววัยรุ่นตลอดเวลา
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อ เธอเป็นแทบทุกอย่างของเรื่องนี้แล้วนะ มีอาชีพไหนบ้างที่เธอยังไม่ได้เป็นอีก
ไหหม่า(海馬)