บทที่ 700 ไม่มีอันใดต้องเอ่ยอีกแล้ว!
จิตใจโหดร้ายยิ่งนัก!
นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการทุบตีเขาเสียอีก!
ใบหน้าของฉินหวายเฟิงเย็นชาลงในทันใด สตรีผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงจิตใจเหี้ยมโหดเช่นเคย!
เมื่อครู่เขาหลงเข้าใจไปอยู่ครู่หนึ่งว่าสตรีผู้นี้กำลังขอร้องให้กับเขา แต่ความจริงแล้ว เขาก็เป็นได้เพียงคนโง่งม!
“ฮ่าฮ่า ข้าว่าแล้ว จิ้งเอ๋อร์จะขอร้องให้มันได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาก็ว่าเหตุใดสวีจิ้งจึงมีทีท่าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เอ่ยขอร้องให้กับฉินหวายเฟิง ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง
“จิ้งเอ๋อร์ก็เอ่ยออกมาแล้ว ไยเจ้ายังไม่รีบทำตามอีก? รีบพาสหายของเจ้าที่อยู่ตรงนั้นมาเร็ว ๆ จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนสุนัขให้จิ้งเอ๋อร์ดู”
เขาตะคอกเสียงใส่ฉินหวายเฟิงอย่างไม่แยแส
“เรื่องนี้พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ข้ากับพวกเขาไม่ได้เป็นสหายกัน เจ้าสามารถทำสิ่งใดกับข้าก็ได้ แต่อย่าไปยุ่งกับคนบริสุทธิ์!”
ฉินหวายเฟิงก้าวออกไปด้านหน้า
“เจ้ากำลังสอนข้าว่าควรทำสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?”
ชายคนนั้นยิ้มเยาะเย้ย ยกนิ้วชี้หน้าฉินหวายเฟิง “เจ้านับเป็นตัวอันใดกัน บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถตัดสินเองได้หรือ? กระทั่งตนเองยังไม่อาจปกป้องได้ ยังคิดจะปกป้องผู้อื่นอีกรึ?”
“จ้าวจง เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ละอายบ้างหรือไร! คนทำสิ่งใดฟ้าดินเป็นพยาน ทุกสิ่งล้วนมีต้นเหตุและผลกรรม เจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองบ้างหรืออย่างไร!”
ฉินหวายเฟิงตะโกนออกมา
“มีเพียงแค่เศษขยะที่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เท่านั้น จึงจะฝากความหวังไว้กับผลกรรม!”
จ้าวจงยิ้มเหยียดหยาม “ต่อให้ผลกรรมมีอยู่จริงแล้วอย่างไร? เจ้าเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าไม่สำคัญ จะเอาสิ่งใดมาสร้างผลกรรมให้กับข้าได้?”
เขาหัวเราะออกมา ต่อหน้าเขาแล้วฉินหวายเฟิงเป็นเพียงมดตัวจ้อย ขยี้มดตายไปสักตัวจะมีผลกรรมมากเพียงใดกันเชียว
“หยุดเห่าหอนไร้ประโยชน์เสียที”
สตรีนามว่าสวีจิ้งปรายตามองฉินหวายเฟิงอย่างไม่แยแส “เพียงให้เจ้าเห่าหอนเหมือนสุนัข ยากถึงเพียงนั้นเชียว? หรือว่าต้องหักขาเจ้าเสียก่อนจึงค่อยทำได้?”
“เจ้า!”
ฉินหวายเฟิงโกรธจนร่างกายสั่นเทิ้ม เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจิตใจของคนผู้หนึ่งจะสามารถโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้! สวีจิ้งยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? จะนิสัยชั่วร้ายเลวทรามเกินไปแล้ว!
เมื่อย้อนมองกลับไปในอดีต เขาก็อยากตบตัวเองให้ตายเสีย เขาช่างโง่งมเสียเหลือเกิน ตาหนอก็มืดบอด ไม่อาจแยกแยะดีชั่วได้!
เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของสวีจิ้งเอาไว้ ทั้งยังเคยเป็นอดีตคู่บำเพ็ญเพียรอีกด้วย
ทว่าเขากลับตระหนักได้ในภายหลังว่าทุกอย่างเป็นของปลอม ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นแผนการที่วางเอาไว้อย่างรอบคอบด้วยฝีมือสวีจิ้ง
ในยามนั้น สวีจิ้งไม่ได้มีสิ่งใดเลยเสียด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่ศิษย์นอกสำนักธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ขณะที่ตอนนั้นเขาเป็นถึงศิษย์สายหลักอันแสนโดดเด่น
เขาได้พบกับสวีจิ้งระหว่างช่วงออกทัศนาจร
บังเอิญเจอะเจอกับสวีจิ้งในช่วงวิกฤต นางกำลังถูกกลุ่มอสูรตามล่า เขาจึงลงมือช่วยเหลืออีกฝ่ายไว้ ทำให้เขาเริ่มรู้จักสวีจิ้งตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากนั้น ยิ่งเขาได้คุยกับสวีจิ้งก็ยิ่งถูกคอกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากคนรู้จักกันธรรมดาสู่ความสัมพันธ์แบบคู่บำเพ็ญเพียร
สวีจิ้งได้รับความช่วยเหลือทุกด้านจากเขา ทำให้ขอบเขตการฝึกฝนพัฒนาอย่างมาก
ต่อมา เหล่ายอดนิกายที่เร้นตัวอยู่ในทุกดินแดนได้ปรากฏตัวออกมาเพื่อก่อตั้งสถานศึกษาเทียนตี้ แล้วเปิดรับสมัครศิษย์จำนวนมาก
เขาประสบความสำเร็จสามารถผ่านการทดสอบเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ได้ แต่สวีจิ้งนั้นไม่ผ่านการทดสอบ
เพื่อให้สวีจิ้งสามารถเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ ตัวเขานั้นได้บุกเข้าไปยังแดนอันตรายโดยไม่สนใจความเป็นตาย นำสมบัติล้ำค่ารอดกลับมาได้ชิ้นหนึ่งอย่างหวุดหวิด ก่อนจะให้มันกับสวีจิ้งเพื่อปรับปรุงร่างกายของนาง
ด้วยความช่วยเหลือจากสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ร่างกายของสวีจิ้งได้รับการปรับปรุงพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากจนสามารถผ่านการทดสอบของสถานศึกษาเทียนตี้ได้สำเร็จ
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นชะตากรรมอันน่าเวทนาของเขา
หลังจากเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ได้แล้ว สวีจิ้งก็ละทิ้งเขาไปหาจ้าวจงอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง เขาถึงตระหนักได้ว่าตลอดมาสวีจิ้งไม่เคยชอบเขาเลย ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก นางใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อเป็นทางผ่าน
การช่วยชีวิตในครั้งนั้นก็ล้วนแต่เป็นแผนการที่นางวางเอาไว้
สวีจิ้งล่วงรู้ถึงเส้นทางออกทัศนาจรของเขา จึงจงใจทำให้ตนเองถูกอสูรไล่สังหาร จะได้สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับเขา นางมองเขาเป็นเหยื่อตัวหนึ่งมานานแล้ว เพียงแค่ต้องการพึ่งพาเขาเพื่อก้าวไปให้สูงยิ่งขึ้น
ยามนั้น เขายังโง่งมจนไม่อาจมองออก คิดว่านางจริงใจต่อเขา ทั้งยังยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อนำสมบัติล้ำค่ามาให้นาง เขาส่งสวีจิ้งเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ แต่ก็ส่งตัวเองส่งไปในหลุมไฟเช่นเดียวกัน
สถาบันเทียนตี้เปี่ยมไปด้วยผู้มากความสามารถ หลังจากเขาเข้าไปแล้วก็สูญเสียความเจิดจรัสที่เคยมี ในสถาบันเทียนตี้มีศิษย์จำนวนมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเขา
สวีจิ้งย่อมอดเหยียดหยามเขาไม่ได้ ละทิ้งเขาไปอยู่กับจ้าวจงอย่างรวดเร็ว
จ้าวจงก็ไม่ใช่คนดีแต่อย่างใด หลังจากมาอยู่รวมกับสวีจิ้งแล้วก็เข้าขากันได้เป็นอย่างดี
สวีจิ้งเกรงว่าหากเขายังอยู่ในสถาศึกษาเทียนตี้จะเอ่ยวาจาสร้างความยุ่งยากออกมา ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นจึงร่วมมือกับจ้าวจง ใช้ความปลอดภัยของเหล่าศิษย์จากนิกายเดิมของเขามาบังคับให้เขาถอนตัวออกจากสถานศึกษาเทียนตี้
ไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุง เขาเกรงว่าตนเองจะทำให้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเดิมมีปัญหา ดังนั้นจึงย่อมออกจากสถาบันเทียนตี้ไป
แต่คาดไม่ถึงเลยว่า จนกระทั่งถึงตอนนี้แล้วสวีจิ้งจะยังไม่ยอมปล่อยเขาไป ทั้งยังต้องการให้เขาเห่าหอนเหมือนสุนัข วางศักดิ์ศรีลงให้นางเหยียบ
“เห่าหอนเหมือนสุนัขยากถึงเพียงนั้นเชียว? ถ้าหากไม่อยากทำ เช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองก็ลองทำให้พวกข้าดูก่อนเถิด”
หลี่จิ่วเต้าก้าวออกมายืนเบื้องหน้ารถม้า จากนั้นก็มองไปทางสวีจิ้งพร้อมเอ่ยออกมา
แม้เขาจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ในใจนั้นรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก จ้าวจงและสวีจิ้งบีบบังคับรังแกกันมากเกินไปแล้ว!
ความเกลียดชังคับแค้นอันใดกัน ถึงกับทำให้ฉินหวายเฟิงต้องเห่าหอนเหมือนสุนัขออกมาในที่สาธารณะ กระทั่งพวกเขาเองก็ยังไม่ละเว้น ต้องการให้เห่าหอนเหมือนสุนัขกับฉินหวายเฟิงด้วย!
จ้าวจงและสวีจิ้งช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!
พวกลั่วสุ่ยเองก็เดินตามหลังคุณชายออกมาด้วย ใบหน้าของพวกเขาล้วนเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
จ้าวจงและสวีจิ้งอยากตายมากหรือ?
กล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา!
“ยังจะบอกไม่ใช่สหายอีกหรือ? ทั้งหมดล้วนออกหน้าเพื่อเจ้า…”
สวีจิ้งเหยียดยิ้ม ไม่ได้เห็นหลี่จิ่วเต้าอยู่ในสายตา ทั้งยังไม่สนใจว่าหลีจิ่วเต้าจะมีภูมิหลังอันใดหรือไม่
ในอาณาจักรแห่งนี้ ยอดนิกายคือท้องฟ้าสูงสุด แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าจะมีภูมิหลังอย่างไรก็ไม่สำคัญ นางล้วนไม่เกรงกลัว
แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นแค่ความเข้าใจของนาง
ขอบเขตของนางต่ำเกินไป ฐานะเองก็ไม่สูง เรื่องที่รู้ย่อมมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ายอดนิกายในอาณาจักรแห่งนี้ไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ มีกองกำลังมากมายที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ายอดนิกายดำรงอยู่
“ออกมาเองก็ดี!”
จ้าวจงหัวเราะออกมายกใหญ่ ความรู้ของเขาเองก็น้อยเหมือนสวีจิ้ง ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ยอดนิกายไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้!
“ทุกท่านไยจึงออกมา!”
ใบหน้าของฉินหวายเฟิงแปรเปลี่ยนอย่างมาก เขารีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมพวกหลี่จิ่วเต้าทันที “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับทุกท่าน โปรดรีบจากไปเถิด”
“ไม่เกี่ยวข้องงั้นหรือ?”
หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้ม “ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเรามีความเกี่ยวข้องกัน แม้พวกเราต้องการจะจากไป สองคนนั้นคงไม่ยินยอม…”
“ยังนับว่าฉลาดอยู่ พวกเจ้าไม่อาจจากไปได้จริง!”
สวีจิ้งยกยิ้มไม่แยแส ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของนาง
หลี่จิ่วเต้าไม่สนใจสวีจิ้ง เขาหันไปถามกับฉินหวายเฟิงว่า “ระหว่างพวกเจ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน?”
เขาต้องการทราบสถานการณ์ให้มากขึ้น
ส่วนเรื่องความปลอดภัย เขาไม่กังวลแม้แต่น้อย
ขณะอยู่บนรถม้า เซี่ยเหยียนเอ่ยว่าสองคนนี้เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ไม่มีเรื่องอันใดต้องพะวง จึงคิดอยากออกไปสั่งสอนบทเรียนให้กับจ้าวจงและสวีจิ้ง
เพราะไม่เห็นด้วย เลยต้องการเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก่อนค่อยตัดสินใจ
ฉินหวายเฟิงถอนหายใจ สวีจิ้งกล่าวไม่ผิด ตอนนี้ต่อให้พวกหลี่จิ้วเต้าต้องการจากไป สวีจิ้งและจ้าวจงก็ย่อมไม่ปล่อยพวกหลี่จิ่วเต้าไปง่าย ๆ
“เรื่องระหว่างพวกข้า…”
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างเขาและสวีจิ้ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
หลี่จิ่วเต้าไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสตรีร้ายกาจเพียงนี้อยู่ใบโลก!
สวีจิ้งใช้ฉินหวายเฟิงเป็นบันไดไต่ขึ้นไปก็แล้วไปเถิด แต่อย่างไรเสียฉินหวายเฟิงก็ให้ความช่วยเหลือนางมากมาย ถึงขนาดยอมฝ่าเข้าไปในส่วนลึกแดนอันตรายอย่างไม่สนใจความเป็นตายเพื่อให้นางสามารถเข้าสถานศึกษาเทียนตี้ได้
ทว่าสวีจิ้งไม่ได้รู้สึกขอบคุณซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ยังถึงกับต้องการทำให้ฉินหวายเฟิงขายหน้าอับอาย สั่งให้เขาเห่าหอนอย่างสุนัขในที่สาธารณะ นับว่าสตรีผู้นี้น่ารังเกียจเป็นที่สุดจริง ๆ
“ไม่มีอันใดต้องเอ่ยอีกแล้ว”
หลี่จิ่วเต้ามองไปทางฉินหวายเฟิง “พวกเราเข้าไปนั่งดื่มชาด้านในรถม้าเถิด ส่วนที่เหลือปล่อยให้พวกเซี่ยเหยียนเป็นคนจัดการ”
“หือ?”
ฉินหวายเฟิงตกตะลึง เขาไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนหรือไร?
จ้าวจงมาจากยอดนิกาย หลี่จิ่วเต้ายังสามารถสงบนิ่งได้อีกหรือ?
“ไม่ต้องกังวลไป พวกเซี่ยเหยียนจะจัดการเอง”
หลี่จิ่วเต้าหันไปถามพวกเซี่ยเหยียน “มีปัญหาอันใดหรือไม่?”
“ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
เซี่ยเหยียนตอบกลับ “คุณชายกลับไปเข้าพักผ่อนเถิด เพียงแค่แมลงวันตัวจ้อยสองตัว ไม่อาจสร้างคลื่นลมอันใดได้แม้แต่น้อย”
ยอดนิกายแล้วอย่างไร!
ต่อให้ประมุขยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังจ้าวจงมาด้วยตัวเองก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!
ฉินหวายเฟิงตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม คนกลุ่มนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงไม่กลัวเกรงยอดนิกายแม้แต่น้อย ถึงกับเอ่ยเรียกจ้าวจงและสวีจิ้งว่าเป็นแมลงวันตัวจ้อยสองตัว
เขารู้สึกว่าบางทีเขาอาจเอ่ยสิ่งใดไม่ชัดเจน
“เขาเป็นอนุชนจากยอดนิกายตระกูลจ้าว” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
เซี่ยเหยียนยิ้มจาง ๆ “อย่าว่าแต่เขาที่เป็นอนุชนคนหนึ่งของตระกูลจ้าวเลย กระทั่งประมุขตระกูลจ้าวมาด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้!”
“!!!”
ฉินหวายเฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก เซี่ยเหยียนมีภูมิหลังเช่นไรกัน จึงสามารถเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!
“ตอนนี้เจ้าก็วางใจได้แล้ว”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะออกมา “มาเถิด เข้ามาดื่มชาในรถม้า”
“เสียสติไปแล้วหรือ!?”
อีกด้านหนึ่ง ดวงตาของจ้าวจงเย็นเยียบเปี่ยมด้วยจิตสังหารล้นทะลัก
เดิมทีเขาไม่ได้มีจิตสังหารแต่อย่างใด ทว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่เซี่ยเหยียนเอ่ย เขาก็พลันเกิดจิตสังหารขึ้นมาทันที
กล้าเรียกเขาว่าเป็นแมลงวันตัวจ้อย ทั้งยังเอ่ยออกมาว่ากระทั่งประมุขตระกูลจ้าวมาด้วยตัวเองยังไม่อาจทำสิ่งใดได้!
เขาต้องไว้หน้าเซี่ยเหยียนอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าต่างหากที่เสียสติไปแล้ว!”
เซี่ยเหยียนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ตระกูลเบื้องหลังเจ้าไม่ได้สอนความเป็นมนุษย์ให้หรืออย่างไร? ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าได้หลงคิดว่าตนเองสูงส่งที่สุด!”
“ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนด้วยอย่างนั้นหรือ!?”
จ้าวจงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “จากวาจาเมื่อครู่ของเจ้า วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตาย ไม่มีผู้ใดสามารถรอดไปได้! ตัวข้า และโดยเฉพาะตระกูลจ้าวของข้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาทำให้อับอายขายหน้าได้!”
เอ่ยจบแล้ว ร่างของเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้า ไม่สนว่าพวกเซี่ยเหยียนจะมีที่มาอย่างไร แม้ว่าพวกเซี่ยเหยียนจะมาจากยอดนิกาย เขาก็จะสังหารทิ้งเสียวันนี้!
ภายในตระกูลจ้าวของพวกเขามียอดฝีมืออยู่ผู้หนึ่ง ตามที่เขารู้มา ยอดฝีมือผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด
ดังนั้น เขาจึงไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยในการลงมือสังหารสมาชิกยอดนิกายอื่น!