“คุณนาย บัญชีของคุณมีเงินเข้ามาจำนวนหนึ่งค่ะ” เลขารายงานบัญชีธนาคารให้คุณนายโจนส์ทราบ
“เท่าไหร่” คุณนายโจนส์ถามเลขา
“หกแสนค่ะ” เลขารายงานตัวเลขกับคุณนายโจนส์
“เฮ่อ มุกดาคนนี้น่าสนใจจริงๆ ฉันหาข้ออ้างแทบแย่ ทำเสื้อผ้าเธอเปื้อน เพื่อที่จะให้กระโปรงตัวนั้นกับเธอ ก็ไม่ถึงจะคืนเงินให้ เด็กโง่จริงๆ ที่ฉันนึกไม่ถึงก็คือ ไม่น่าจะแขวนกระโปรงตัวนั้น วรรณวิมลกลับไปเห็นจะต้องพูดอะไรแน่ๆ” คุณนายโจนส์เห็นบัญชีตัวเองมีเงินเพิ่มขึ้นมาหกแสน ก็ยิ้มจนใจ
อะไรที่ติดค้างลูกสาว เธออยากจะชดเชยมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสนั้น
“อย่างนั้นควรทำยังไงดีคะคุณนาย” เลขาถามคุณนายโจนส์
“ช่างเถอะ เงินโอนมาแล้ว จะคืนก็ไม่ได้ รับไว้เถอะ ตระกูลสุวรรณเลิศก็ไม่เสียดายเงินทองแค่นี้ วันหลังค่อยว่ากัน” คุณนายโจนส์ให้เลขาออกไป
ชีวิตนี้คนที่คุณนายโจนส์ต้องขอบคุณมีแต่ณิชพน เขาเลี้ยงดูลูกของเธอได้เป็นเด็กดีอย่างนี้ เพื่อลูกเขาไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่จะตอบแทนเขาอย่างไรดี
ให้เงิน เขาจะต้องไม่เอาแน่ ให้บริษัท เขาก็ไม่มีทางรับ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา จึงไม่ถนัดทำธุรกิจ
ได้แต่ให้มุกดากตัญญูกับเขา ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เขาเลี้ยงดูเธอมา
คุณนายโจนส์ถอนหายใจ แม้เธอจะเป็นแม่แท้ๆ ของมุกดา แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เลี้ยงดู ตอนนี้เธอก็ไม่มีทางรับมุกดาเป็นลูก คาดเดาจากนิสัยของมุกดาก็ไม่มีทางกลับมาอยู่กับตัวเอง ได้แต่แอบเป็นห่วงลูกคนนี้อยู่เงียบๆ
“หยก คุณมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” คุณโจนส์เดินเข้ามา ก็เห็นสีหน้าของภรรยาเคร่งขรึม
“โจนส์คะ วันนี้ฉันให้กระโปรงลูกสาว แต่เด็กคนนี้โอนเงินคืนมาให้” คุณนายโจนส์ก็คือธาราวดี พูดกับสามีอย่างจนปัญญา
“อ้อ เพราะเรื่องนี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกมากนะ คุณอยากให้อะไรเธอ ก็ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เด็กคนนี้จิตใจดีมาก คุณดูสิ หุ้นของผมยังไม่เอา ถ้าเป็นคนอื่น จะต้องตาลุกวาวอยากได้ไปนานแล้ว” คุณโจนส์เดินเข้าไปปลอบภรรยา
“โจนส์คะ ชีวิตนี้คนที่ฉันต้องขอโทษมากที่สุดก็คือณิชพน คุณช่วยฉันคิดหน่อย ควรจะตอบแทนเขาอย่างไรดี”
มองสามีแล้ว ธาราวดีรู้สึกผ่อนคลายมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็จะคิดรอบด้านเพื่อเธอ แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอไม่อยากรบกวนเขา
“การตอบแทนที่ดีที่สุดก็คือให้มุกดาอยู่กับเขา ในใจเขามีแต่มุกดา คุณไม่ต้องไปแย่งลูกกับเขา” คุณโจนส์พูดกับธาราวดี
“ฉันก็คิดอย่างนี้ค่ะ แต่แค่อย่างนี้ ฉันก็ยังรู้สึกติดค้างอยู่ดี อยากจะช่วยให้เขาลุกขึ้นมาได้ใหม่”
ธาราวดีกอดเอวคุณโจนส์ ใบหน้าแนบกับหน้าท้องของเขา
คุณโจนส์รูปร่างสูงใหญ่หล่อเหลา อายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ดูแล้วยังเหมือนเด็กหนุ่ม
“เรื่องนี้ให้ผมจัดการดีมั้ย ผมไม่อยากให้ภรรยากลุ้มใจอย่างนี้” คุณโจนส์ลูบผมธาราวดี ปลอบใจภรรยา เขาเข้าใจความคิดของภรรยาดี แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ คนอื่นเลี้ยงลูกจนโต พวกเขาทำได้แต่มองดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น”
“ณัฐล่ะ เด็กคนนี้ไม่ได้กลับบ้านตั้งนานแล้ว ไปวาดรูปอะไรอีกแล้วหรือเปล่า” ณฐวรชอบวาดรูปมาก เรียกได้ว่าหมกมุ่นกับการวาดรูป
“ลูกโตแล้วคุณไม่ต้องกังวลหรอก ณัฐรู้อะไรควรไม่ควร คุณวางใจเถอะ” พูดกันว่าแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นอย่างนี้จริง ธาราวดีเป็นห่วงกังวลลูกของตัวเอง
“ฉันรู้ค่ะ แต่ก็อดไม่ได้ ใจก็ยังอดคิดไม่ได้” ธาราวดียิ้มออกมา
“งั้นวันนี้เราไปกินข้าวกัน หลังเลิกงานผมมารับคุณ ตอนนี้ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอก” คุณโจนส์แค่มาบอก ธาราวดีตัวเองจะออกไปข้างนอก
“ก็ดีค่ะ คุณไปเถอะ ฉันมีงานที่ยังต้องจัดการ เดี๋ยวเจอกันค่ะ” ธาราวดีปล่อยคุณโจนส์ สองคนจึงบอกลากันตรงนั้น”
“หญิง นี่พี่เอง พี่กลับมาแล้ว พวกเรามาเจอกันหน่อย” คุณโจนส์ไปแล้ว ธาราวดีก็โทรไปหาน้องสาว นัดเธอให้ออกมาพบกัน เธอรอคอยจะได้พบกับน้องสาวคนนี้”
“กินข้าวทำไมไม่ทักทายผู้ใหญ่ล่ะ” ย่านิ่มเห็นมุกดาก้มหน้ากินข้าว ก็เริ่มบ่นขึ้นมา
“ค่ะ สวัสดีคุณปู่ คุณย่า” มุกดาก็ไม่ทะเลาะกับย่านิ่ม บอกว่าไม่ได้ทักทาย ก็ทักทายเท่านั้น
“ไม่ต้องมากพิธี รีบกินข้าวเร็ว ตอนกินข้าวห้ามพูด” ปู่ปรัณมองย่านิ่มแล้วก็หงุดหงิด เดิมทีครอบครัวมีความสุข พอเธอมาก็วุ่นวาย
คนของครอบครัวเจ้าสอง ก็ไม่มากินข้าว บอกว่าตัวเองไม่สบาย
ปู่ปรัณโกรธมาก เขาชอบบรรยากาศคึกคัก แต่ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อก่อนเป็นครอบครัวมีความสุข ตั้งแต่ย่านิ่มเข้ามา ไม่ชอบนั่น ไม่ชอบนี่ รังเกียจสะใภ้ของเจ้าสองไม่ร่ำรวย อย่างกับบ้านเธอร่ำรวยนักหนา
“เป็นอะไร ฉันสั่งสอนเธอ! ก็เพราะหวังดี ดูอ่อนสิ ทุกวันเรียกคุณย่าคะคุณย่าขา ปากหวานอย่างนั้น ฉันไม่ชอบเธอคงจะยาก” ย่านิ่มเห็นสามีตัวเองต่อต้านตัวเองทุกเรื่อง เธอก็โกรธมาก รู้สึกเสียหน้า
“คุณย่า นี่เป็นเนื้อน้ำแดงที่ย่าชอบกินที่สุด กินเยอะๆ นะครับ” ชลธีรีบคีบอาหารให้ย่านิ่ม
ย่านิ่มฟันไม่ค่อยดี จึงชอบกินเนื้อน้ำแดงที่ตุ๋นเปื่อยนุ่มเป็นพิเศษ
เห็นชลธีคีบอาหารให้ตัวเอง ย่านิ่มก็รู้สึกว่าได้หน้าคืนมาแล้ว
“ดีที่หลานฉันรู้ความ รู้จักวางตัว ดูสิหลานชายหลานสาวสี่คน ใช้ได้หมดทุกคน!” ย่านิ่มดีกับหลานๆ ทุกคนของตัวเอง
มุกดาไม่คิดมากกับย่านิ่ม ในเมื่อเป็นคนแก่ ควรจะอดทนและเคารพผู้ใหญ่ มุกดาทำอย่างนี้มาตลอด
กินอิ่มแล้ว ชลธีจะพามุกดาออกไปข้างนอก เดินเล่นย่อยอาหาร
“กินข้าวแล้วก็ต้องช่วยเก็บหน่อย ขี้เกียจเหลือเกิน” ย่านิ่มหาโอกาสตำหนิมุกดาอีก
“ฉันไปเก็บก่อนค่ะ” มุกดาปล่อยมือชลธี เตรียมจะไปเก็บจาน
“ไร้สาระ เก็บโต๊ะเป็นงานของคนรับใช้ เธอเป็นสะใภ้ของฉัน ไม่ใช้คนรับใช้ที่ฉันจ้าง กินข้าวแล้วควรจะทำอะไรก็ทำ ถือตัวเป็นเจ้านายก็ต้องทำ” นีรชาเห็นย่านิ่มเอาแต่หาเรื่องสะใภ้ของตัวเอง เธอก็ไม่พอใจ
“ผู้ใหญ่ให้ท้ายถึงเป็นอย่างนี้ ดูสะใภ้เธอสิ เหมือนกับแม่ผัวอย่างเธอเปี๊ยบ!” ย่านิ่มทะเลาะกับนีรชาไม่เกรงใจ